สถานการณ์ ‘หนี้’ ของประเทศไทย ไม่ใช่เพียง ‘หนี้ครัวเรือน’ เท่านั้นที่น่าเป็นห่วง แต่ ‘หนี้ธุรกิจ’ ก็เป็นแผลใหญ่ในระบบเศรษฐกิจที่น่าห่วงไม่น้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กๆ ที่กำลังประสบปัญหาหนัก ทั้งเข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ ขาดสภาพคล่อง และผิดนัดชำระหนี้
เมื่อธุรกิจขาดสภาพคล่อง ไม่มีเงินชำระหนี้ ไปต่อไม่ได้ ก็ส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน กระทบรายได้ครัวเรือน กระทบหนี้ครัวเรือน กระทบสถาบันการเงิน และกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ เชื่อมโยงวนเวียนกันไปหมด นี่จึงเป็นหนึ่งในเรื่องใหญ่ที่หลายภาคส่วนกำลังตะโกนส่งเสียงไปถึงรัฐบาลใหม่ให้ช่วยเหลือด่วน
ในงานสัมมนา ‘เจาะลึกภาวะหนี้สินภาคธุรกิจไทย’ ที่จัดโดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ในวันที่ 11 กันยายน 2568 นางสาวสาลินี บุญตน และนางสาวพรทิพา แซ่เอี้ยว นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ กองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค สภาพัฒน์ นำเสนอข้อมูลจากการศึกษาว่า ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 หนี้ภาคธุรกิจคิดเป็น 83.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดย 94% ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจทั้งหมดเป็นของนิติบุคคลที่มีวงเงินสินเชื่อ 500 ล้านบาทขึ้นไป สะท้อนว่าผู้กู้รายใหญ่จำนวนน้อยรายถือครองสินเชื่อเกือบทั้งหมดในระบบ
ขณะที่การผิดนัดชำระหนี้กระจุกตัวอยู่ในธุรกิจขนาดเล็ก super micro ที่เป็นบัญชีที่วงเงินสินเชื่อน้อย โดยสัดส่วนมูลค่าการผิดนัดชำระหนี้ของธุรกิจกลุ่ม super micro มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จาก 18.3% ในปี 2557 เพิ่มเป็น 24.3% ในปี 2562 และเป็น 34.2% ในปี 2567
เมื่อแยกเป็นสาขาธุรกิจ พบว่า ณ ไตรมาส 4 ปี 2567 สาขาการก่อสร้าง มีสัดส่วนการผิดนัดชำระหนี้ต่อสินเชื่อรวมในแต่ละสาขามากที่สุด โดยครองอันดับ 1 ต่อเนื่องมาแล้วหลายปี ตามด้วยสาขากการขายส่งและการขายปลีก สาขาการผลิต สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ ‘เครดิตบูโร’ กล่าวว่า ปัญหาหนี้สินของภาคธุรกิจประเด็นหนึ่งที่ควรแก้ไข คือการคิดอัตราดอกเบี้ยสูงเกินควร ทำให้ภาคธุรกิจทำกำไรได้ยาก แม้ว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกิน 15% แต่ปัจจุบันก็มีกฎหมายที่กำหนดให้สถาบันการเงินเก็บดอกเบี้ยเกิน 15% ได้
“ผมตั้งคำถามว่าอัตราดอกเบี้ย 25% จะมีธุรกิจอะไรที่ทำกำไรได้ … ต้องตั้งคำถามต่อหน่วยงานกำกับดูแลว่าทำอะไรอยู่”
ส่วนปัญหาการเข้าไม่ถึงสินเชื่อของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก นายสุรพลกล่าวว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดพลาดในกระบวนการพิจารณาสินเชื่อ สถาบันการเงินปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ขอสินเชื่อบางส่วนที่ไม่ใช่ ‘กลุ่มเสี่ยง’ จริง เนื่องจากผู้ยื่นกู้บางรายไม่มีข้อมูลอยู่ในระบบ เมื่อสถาบันการเงินไม่รู้จักผู้ยื่นขอสินเชื่อมากพอ จึงมองผู้ยื่นขอสินเชื่อรายนั้นเป็นกลุ่มเสี่ยงแล้วปฏิเสธให้สินเชื่อ หรือในกรณีที่ให้สินเชื่อก็ให้ในอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งไม่ยุติธรรมกับผู้กู้
นายสุรพลกล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีนิติบุคคลประมาณ 1 ล้านราย แต่เป็นนิติบุคคลที่มีข้อมูลสินเชื่อเพียงประมาณ 280,000 ราย ตัวเลขนี้อธิบายสาเหตุความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสินเชื่อซึ่งเชื่อมโยงกับหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน หรือหนี้เสีย (NPL) โดยในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กมาก (super micro) มีสัดส่วนหนี้ NPL คิดเป็น 14.81% ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่ (Larg) มีสัดส่วนหนี้ NPL เพียง 1.37%
“ระหว่างคนตัวใหญ่กับคนตัวเล็ก เราควรใช้กติกาเดียวกันหรือไม่ อะไรคือ fair for all” ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร ฝากคำถามไว้สำหรับผู้กำหนดนโยบาย
นายวุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ กรรมการรองเลขาธิการหอการค้าไทย และรองประธาน คณะกรรมการ SMEs หอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยมีสมาชิกที่เป็น SME คิดเป็นสัดส่วน 70% ของสมาชิกทั้งหมด ดังนั้นจึงได้รับรู้ปัญหาจากการพูดคุยกับ SME มามากว่า ผู้ประกอบการจำนวนมากประสบปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อ และส่วนหนึ่งต้องกู้สินเชื่อนอกระบบ ดังนั้น ตัวเลข NPL ในความเป็นจริงอาจจะมากกว่าข้อมูลที่เห็นในระบบ ถ้าสามารถนำผู้ประกอบการที่กู้นอกระบบกลับเข้าไปอยู่ในระบบได้ จะช่วยลดต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการได้มาก
“ประเทศไทยกำลังจะมีรัฐบาลใหม่ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ และมีเลขาธิการสภาพัฒน์คนใหม่ การแก้หนี้ก็ควรคิดใหม่ ทำใหม่ เพราะหลายเรื่องที่ภาครัฐเคยทำมาแม้จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ทำเหมือนเดิมแล้วประสิทธิผลลดลง อย่าง สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เป็นการช่วยเหลือที่ดี แต่ผู้ประกอบการจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อ ดังนั้น ภาครัฐต้องคุยกับสถาบันการเงินมากขึ้นในการช่วยผู้ประกอบการ”
วุฒิชัยเสนอแนวทางต่อภาครัฐในการช่วยผู้ประกอบการ SME ให้เข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น 5 แนวทาง ดังนี้ 1.การยืดหยุ่นนโยบายดูแลความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน (Macro-prudential) โดยปรับอัตราส่วนการให้สินเชื่อโดยเทียบกับมูลค่าหลักประกัน (LTV) และอัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้ (DSR) ตามเศรษฐกิจ
2. ลดความเสี่ยงหนี้โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) หนุนค้ำประกันสินเชื่อ
3. รัฐเป็นผู้ให้กู้ร่วม (co-lending) แชร์ความเสี่ยงกับธนาคาร
4. มีการวัด KPI หน่วยงานกํากับดูแล วัดผลการเข้าถึงทุนจริง
5. ปลดล็อกสินทรัพย์ค้ำประกันที่มูลค่าสูงกว่าวงเงินสินเชื่อให้แปลงเป็นทุนใหม่ได้ และใช้ พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจให้เกิดผลจริง โดยให้สถาบันการเงินยอมรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (IP) และสินค้าคงคลัง (inventory) เป็นหลักประกัน
นอกจากนั้น วุฒิชัยกล่าวกับ SPOTLIGHT เพิ่มเติมว่า การเข้าถึงสินเชื่อเป็นประเด็นใหญ่ปัญหาใหญ่ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก เพราะในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ สถาบันการเงินจะวัดคุณภาพผู้ขอสินเชื่อโดยใช้มาตรฐานเดียวกัน แต่ในความเป็นจริง การวัดคุณภาพของบริษัทรายใหญ่กับผู้ประกอบการรายย่อยไม่ควรใช้มาตรฐานเดียวกัน
“SME บ้านเรามีประเด็นเฉพาะกลุ่ม เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากเห็นภาครัฐทำคือ หากลุ่มเป้าหมายที่รัฐอยากสนับสนุน อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ควรสนับสนุนไม่ใช่เพียงธุรกิจยุคใหม่เท่านั้น แต่ควรจะรวมถึงกลุ่มที่เป็นธุรกิจดั้งเดิมที่มีศักยภาพจะอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ อย่างเช่นร้านอาหาร ร้านก๋วยเตี๋ยวที่ทำมาหลายชั่วอายุคน รัฐควรจะต้องมองที่อายุของกิจการนั้นๆ ถ้าเขาอยู่มาได้หลายชั่วคน ก็ควรสนับสนุนเขาให้อยู่ได้ต่อไป นายกรัฐมนตรีท่านใหม่ก็เป็นคนที่ชอบไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง กินอาหารอร่อยๆ ร้านดั้งเดิม ท่านก็น่าจะเข้าใจ อยากให้ภาครัฐมองดูแบบเจาะจงกลุ่มและเลือก แล้วผลักดันให้คนเหล่านี้เข้าถึงแหล่งเงินทุน”
เมื่อถามถึงอีกด้านหนึ่งที่ผู้ประกอบการรายย่อยมักจะไม่ทำบัญชีอย่างตรงความเป็นจริงและยื่นภาษีให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นดาบสองคมทำให้ไม่สามารถขอสินเชื่อได้ วุฒิชัยแสดงความเห็นว่า เป็นเพราะระบบของไทยไม่ได้ให้รางวัลหรือสิทธิประโยชน์แก่คนที่ทำถูกต้อง แต่ลงโทษคนที่ทำพลาด จึงไม่มีใครอยากเข้าระบบ
“ถามว่าทำไมผู้ประกอบการไม่ทำบัญชีให้ตรงความจริง เพราะทำไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะร้านข้างๆ ก็ไม่ทำ เขาคิดว่าถ้าทำดีอยู่คนเดียวแล้วจะได้อะไร ลองถ้ารัฐบอกว่าใครทำบัญชีอย่างถูกต้อง รัฐการันตีว่าจะกู้ได้ในวงเงินที่จำกัด จะมีคนทำบัญชีไหม… มันก็ชัดเจน คุณมีคะแนนเด็กดีไหม คุณไม่มี มันก็เป็นปัญหา เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ผู้ประกอบการเข้าระบบ ก็ควรจะมีการให้รางวัล”
อย่างไรก็ตาม วุฒิชัยเข้าใจว่าภาครัฐไม่มีทรัพยากรมากพอที่จะดูแลผู้ประกอบการได้ทุกราย ดังนั้นจึงมองว่ารัฐควรเลือกว่าจะสนับสนุนธุรกิจกลุ่มไหน โดยมีโจทย์มีเกณฑ์ในการคัดเลือกที่ชัดเจน เช่น จะสนับสนุนสตาร์ทอัพ ครีเอทีฟอีโคโนมี และท่องเที่ยว แล้วเลือกไปตามโจทย์
“ฝากไปถึงทีมเศรษฐกิจใหม่ ท่านว่าที่รองนายกฯ ซึ่งท่านมีความชำนาญเรื่องเศรษฐกิจ เพราะท่านมาจากกระทรวงการคลัง มาจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ท่านน่าจะเข้าใจ ขณะเดียวกันก็มีผู้รับตำแหน่งใหม่หลายท่าน ทั้งผู้ว่าฯแบงก์ชาติและเลขาฯสภาพัฒน์ หวังว่าทุกท่านเข้ามาแล้วจะนำความคิดใหม่ๆ เข้ามา สำหรับท่านว่าที่รัฐมนตรีคลัง แม้ว่าจะมีเวลาไม่นาน แต่ถ้าท่านแอกทีฟก็น่าจะทำได้เยอะ ก็อยากเห็นหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือกับท่าน” นายวุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ ตัวแทนภาคธุรกิจกล่าว