อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ประกอบไปด้วยหมู่เกาะกว่า 17,000 เกาะ โดยผลการศึกษาชี้ว่า มีอย่างน้อย 115 เกาะ ที่อาจจะจมน้ำภายในปี 2100 อันเนื่องมาจากปัญหาระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น และผืนดินที่ทรุดตัวลง
Spotlight พาถอดปัญหาของอินโดนีเซียว่ากำลังเผชิญอะไรอยู่บ้าง จนนำไปสู่ความพยายามย้ายเมืองหลวง
มีนาคม 2025
ฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้แม่น้ำเอ่อล้นตลิ่ง น้ำท่วมย่านชุมชนแออัดฝั่งตะวันออกของกรุงจาการ์ตา บางจุดสูงถึง 3 เมตร ชาวบ้านต้องอพยพ ขณะที่บางคนพยายามปรับตัวเพราะน้ำท่วมลักษณะนี้เกิดเป็นประจำ
จาการ์ตาตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำ 13 สาย จึงน้ำท่วมง่าย อีกทั้งการสูบน้ำบาดาลมากเกินไปทำให้แผ่นดินทรุด ร่วมกับภาวะโลกร้อนที่ทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศอินโดนีเซียที่มีเกาะกว่า 17,000 แห่ง นักวิจัยคาดว่าภายในปี 2100 อย่างน้อย 115 เกาะจะจมใต้น้ำ
หมู่บ้านติมบุลสโลโก เกาะชวา เป็นหนึ่งในพื้นที่จมเร็วที่สุด น้ำทะเลหนุนสูงกัดเซาะชายฝั่ง ชาวบ้านกว่า 200 คนต้องปรับชีวิตอยู่บนผืนน้ำ อดีตเคยเป็นทุ่งนาและพื้นที่ชุมชน เด็กเล่นกีฬาได้ ปัจจุบันเหลือเพียงทางเดินไม้ เรือพาย และบ้านยกพื้นสูง
การสูบน้ำบาดาลเกินขนาดและการตัดป่าชายเลนในอดีตทำให้พื้นที่เปราะบางต่อคลื่นและน้ำท่วม บ้านต้องยกสูงขึ้นเรื่อยๆ จนบางหลังยืนตรงไม่ได้ ชาวบ้านบางคนหวังเพียงมีเงินย้ายออก
ศ.เดนนี นุโกรโฮ สุกิอันโต เรียกสถานการณ์นี้ว่า “ภัยพิบัติแบบค่อยเป็นค่อยไป” เสนอให้ฟื้นฟูแนวชายฝั่ง และใช้เทคโนโลยีสร้างคันกั้นน้ำ รวมถึงการถมทะเลคืนพื้นที่ แต่ยอมรับว่าอาจไม่เพียงพอ โดยหมู่บ้านนี้ดินทรุด 20 ซม.ต่อปี สูงกว่าปี 2010 ถึงสองเท่า และจาการ์ตายังทรุดตัวรุนแรงกว่านี้
ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมเตือนว่า หากยังไม่มีมาตรการจัดการที่ได้ผล หนึ่งในสามของกรุงจาการ์ตาอาจจมใต้น้ำภายในปี 2050
ปัจจุบัน บางพื้นที่ของกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย เวลานี้อยู่ต่ำกว่าระดับในปี 1970 ถึง 4 เมตร ทำให้เมืองซึ่งถูกสร้างบนดินชุ่มน้ำและเชื่อมด้วยแม่น้ำใหญ่ 13 สาย ไหลลงทะเล ยิ่งอ่อนไหวต่อวิกฤตน้ำท่วมที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ภัยธรรมชาติที่จาการ์ตากำลังเผชิญ ไม่ได้มีเพียงฝนตกหนักหรือพายุรุนแรงเท่านั้น แต่ยังเกิดจากสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ทั้งการทรุดตัวของพื้นดินและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นพร้อมกัน อย่างบ้านเรือนในบริเวณนี้ เมื่อก่อนเคยมีผู้คนอาศัยอยู่ แต่ผ่านระยะเวลามา ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น จนในที่สุด กำแพงกั้นน้ำก็เอาไม่อยู่ ที่เมืองหลวงของอินโดจึงพบบ้านเรือนมากมายที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้เพราะน้ำท่วม แต่ในบางชุมชน พวกเขาไม่มีที่ไป เพราะไม่ได้มีเงินทองมากพอที่จะหาที่อยู่อาศัยใหม่ พวกเขาอดทนอยู่จนกว่าจะอยู่ไม่ไหว ดังนั้นตอนนี้ พวกเขาฝากชีวิตไว้กับกำแพงกั้นน้ำ
ทางการท้องถิ่นพยายามหาทางรอดให้จาการ์ตาด้วยโครงการก่อสร้างเกาะเทียมและกำแพงกันคลื่นมูลค่ากว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ โดยที่ผ่านมาการสร้างกำแพงปูนตามแนวชายฝั่งในย่านที่เสี่ยงน้ำท่วมสูง แต่ในบริเวณนี้กลับพบว่ากำแพงบางส่วนแตกร้าวและเริ่มทรุด น้ำยังคงซึมทะลุเข้าซอยแคบและเพิงพักในชุมชนแออัด เพราะกำแพงกั้นน้ำทะเลได้ แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องแผ่นดินทรุด
ในย่านนี้ไม่มีระบบประปาครอบคลุม ทำให้ภาคอุตสาหกรรมท้องถิ่นและชาวบ้านนับล้านต้องพึ่งพาน้ำบาดาล ผลของการสูบน้ำบาดาลที่มากจนเกินไปคือแผ่นดินทรุดตัวลงเรื่อย ๆ บางพื้นที่ในย่านนี้จมลงถึง 25 เซนติเมตรต่อปี ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของเมืองชายฝั่งใหญ่ทั่วโลกถึงสองเท่า นั่นทำให้การสร้างกำแพงจึงไม่ใช่ทางออกถาวร เพราะสาเหตุสำคัญที่สุดคือการสูบน้ำบาดาลเกินขนาด เมืองนี้ยังขาดระบบกักเก็บและโครงข่ายประปาครบวงจร จึงยากจะหยุดการทรุดตัวได้
รัสดี เจ้าของร้านอาหารข้างทางเคยผ่านน้ำท่วมมานับครั้งไม่ถ้วน เหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2007 วันที่เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทรัพย์สินทุกอย่างถูกน้ำพัดหายไปจนต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง บ้านของเขาอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือทางตอนเหนือของจาการ์ตา พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการทรุดตัวของแผ่นดิน และทุกวันนี้ เขาก็เป็นอีกหนึ่งคนที่หวังฝากชีวิตไว้กับกำแพงกั้นคลื่น โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสาเหตุหลักของการที่น้ำท่วมบ่อย ๆ คืออะไร
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนกว่า 281 ล้านคน เฉพาะที่กรุงจาการ์ตาก็มีประชากรมากถึงราว 11 ล้านคน ยังไม่นับรวมประชากรแฝง ด้วยความที่เป็นเมืองขนาดใหญ่ ความหนาแน่นประชากรสูง การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วไม่ได้ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ทำให้ผู้คนต้องพึ่งพารถยนต์ส่วนบุคคลมากขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดตามมา
นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานบางอย่าง เช่น สะพานลอยและอุโมงค์ก็ยังไม่เพียงพอ และสถานการณ์รถติดจะแย่ไปใหญ่ในวันที่ฝนตก
จาการ์ตาถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่การจราจรติดขัดมากที่สุดอันดับ 7 ของโลก จากรายงานล่าสุดประจำปี 2024 โดยบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลจราจรจากสหรัฐฯ อย่าง INRIX ระบุว่า ตลอดปี 2024 ช่วงเวลาเร่งด่วนในกรุงจาการ์ตาทำให้ผู้ขับขี่ต้องเสียเวลามากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ไม่มีการจราจรหนาแน่น โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใช้รถเสียเวลาไปถึง 89 ชั่วโมงต่อปีบนท้องถนนจากปัญหาการจราจร เพิ่มขึ้นจาก 65 ชั่วโมงในปี 2023 หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นถึง 37% ภายในเวลาเพียงหนึ่งปี
ดังนั้น นอกจากจะเผชิญปัญหาน้ำท่วมและแผ่นดินทรุดแล้ว ยังต้องต่อสู้กับวิกฤตการจราจรที่เลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องด้วย และพ่วงมาด้วยปัญหามลพิษ ทั้งเรื่องขยะ และอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน
มลพิษทางอากาศไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับกรุงจาการ์ตา แต่นับวันสถานการณ์กลับย่ำแย่กว่าที่เคยเป็นมาอย่างชัดเจน สาเหตุหลัก ๆ มาจากสภาพการจราจรที่หนาแน่น ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน
ในทุกเช้า หมอกควันจะปกคลุมท้องฟ้าของกรุงจาการ์ตา หนาจนแทบมองไม่เห็นแสงแดด และเจ้าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 นี่เอง กำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อายุขัยของชาวเมืองสั้นลง
เมื่อปี 2023 IQAir บริษัทด้านเทคโนโลยีคุณภาพอากาศ สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ จัดอันดับให้กรุงจาการ์ตาเป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก เพราะมีระดับมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพแทบทุกวัน แม้ว่าจาการ์ตาจะไม่ได้ติดอันดับหนึ่งของเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลกของ IQAir ทุกวัน แต่ส่วนใหญ่แล้ว กรุงจาการ์ตาก็มักจะติด 1 ใน 10 ของการจัดอันดับดังกล่าวอยู่เสมอ และข้อมูลในเว็บไซต์ของ IQAir ยังระบุว่า กว่า 57 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในกรุงจาการ์ตา มีปัญหาโรคทางเดินหายใจ อันเชื่อมโยงโดยตรงกับมลพิษทางอากาศ