สหภาพยุโรป (EU) และอินโดนีเซียลงนามในข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA EU–Indonesia) ในวันนี้ (23 กันยายน 2025) หลังเจรจามานานเกือบสิบปี โดย มาโรส เซฟโควิช (Maros Sefcovic) กรรมาธิการด้านการค้าของสหภาพยุโรป กับแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต (Airlangga Hartarto) รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เป็นผู้ลงนาม ณ จังหวัดบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
ข้อตกลงการค้าเสรีกับอินโดนีเซีย ซึ่งมีชื่อเต็มๆ ว่า ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม (CEPA) แบบทวิภาคีระหว่างสหภาพยุโรปกับอินโดนีเซีย นับเป็นข้อตกลงการค้าเสรีฉบับที่ 3 ที่สหภาพยุโรปลงนามกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อจากสิงคโปร์ และเวียดนาม
อินโดนีเซียเริ่มเจรจา FTA กับสหภาพยุโรปตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2016 ในระยะแรกความคืบหน้าในการทำข้อตกลงมีน้อย โดยมีประเด็นน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซีย ซึ่งสหภาพยุโรปชี้ว่าเป็นสินค้าที่มีการตัดไม้ทำลายป่าในกระบวนการผลิต เป็นอุปสรรคสำคัญในการเจรจา แต่ภาษีศุลกากรของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ของสหรัฐฯเป็นตัวเร่งให้สรุปการเจรจาอย่างเร่งด่วนในปีนี้
เมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดี ปราโบโว สุเบียนโต (Prabowo Subianto) ของอินโดนีเซีย ได้เดินทางไปกรุงบรัสเซลส์ เพื่อประชุม และได้ประกาศร่วมกับ เออร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน (Ursula von der Leyen) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ว่าทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุ “ข้อตกลงทางการเมือง” เพื่อสรุปการเจรจาแล้ว หลังจากเจรจามาแล้ว 19 รอบ
เออร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่า สหภาพยุโรปมุ่งมั่นที่จะเพิ่มความหลากหลายและความร่วมมือเป็นสองเท่า เพื่อสนับสนุนการจ้างงานในสหภาพยุโรปและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ข้อตกลงกับอินโดนีเซียจะสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจและเกษตรกรในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่กำลังเติบโต นอกจากนี้ยังช่วยให้สหภาพยุโรปมีแหล่งวัตถุดิบสำคัญที่มั่นคงและคาดการณ์ได้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาดและเหล็กกล้าของยุโรป
ด้านแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย กล่าวว่าข้อตกลงนี้เป็นก้าวสำคัญที่จะบรรเทาความเสี่ยงจากผลกระทบของสงครามภาษีโลก
สหภาพยุโรปเผยแพร่ข้อมูลอย่างเป็นทางการว่า ข้อตกลงนี้ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญภายใต้กลยุทธ์ของสหภาพยุโรปในการกระจายการค้าผ่านความร่วมมือใหม่ๆ ได้แก่ (1) เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ (2) เปิดโอกาสการส่งออกสำคัญสู่ตลาดที่มีผู้บริโภค 283 ล้านคน ซึ่งจะมีการเปิดกว้างต่อสินค้าเกษตรและอาหารจากสหภาพยุโรป (3) ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและการเปลี่ยนผ่านสีเขียว (4) สร้างความมั่นคงให้กับห่วงโซ่อุปทานและกระจายแหล่งพลังงานและวัตถุดิบ (5) ส่งเสริมการค้าดิจิทัล (6) กระตุ้นการค้าและการลงทุนทั้งสองฝ่าย ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตและสร้างงาน
โดยรายละเอียดของข้อตกลงต่างๆ มีดังนี้
การค้าสินค้า
การค้าทวิภาคีระหว่างสหภาพยุโรปกับอินโดนีเซียมีมูลค่า 27,300 ล้านยูโรในปี 2024 โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซียของสหภาพยุโรปอยู่ที่ 17,500 ล้านยูโร ขณะที่การส่งออกสินค้าจากสหภาพยุโรปสู่อินโดนีเซียอยู่ที่ 9,800 ล้านยูโร
ตามข้อตกลงนี้ สหภาพยุโรปและอินโดนีเซียจะยกเลิกภาษีศุลกากรสำหรับสินค้ากว่า 98% ของรายการภาษีศุลกากรทั้งหมด และเกือบ 100% ในแง่ของมูลค่า โดยที่สินค้า 80% จะได้รับการปรับลดภาษีศุลกากรตั้งแต่ข้อตกลงเริ่มบังคับใช้ และหลังจากการยกเลิกการปรับลดภาษีศุลกากรเป็นเวลา 5 ปี การปรับลดภาษีศุลกากรจะครอบคลุมถึง 96% ของการค้า
กฎถิ่นกำเนิดสินค้า
สหภาพยุโรปและอินโดนีเซียได้ตกลงกันเรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งรับรองว่าเฉพาะสินค้าที่ผ่านการแปรรูปอย่างมีนัยสำคัญในประเทศภาคีประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรตามข้อตกลง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลประโยชน์ของข้อตกลงจะตกอยู่กับสินค้าที่ผลิตในสหภาพยุโรปหรืออินโดนีเซีย ไม่ใช่สินค้าที่ผลิตในประเทศที่สาม
การอำนวยความสะดวกด้านศุลกากรและการค้า
ข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทต่างๆ ที่ทำธุรกิจค้าขายสินค้าระหว่างสหภาพยุโรปและอินโดนีเซียสามารถส่งสินค้าผ่านศุลกากรได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น และจะทำให้การควบคุมทางศุลกากรมีประสิทธิผล เพื่อให้สินค้าที่นำเข้าเป็นไปตามกฎเกณฑ์ทั้งหมดของประเทศผู้นำเข้า รวมถึงข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ความมั่นคง และการเคารพสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
พิธีสารว่าด้วยความช่วยเหลือทางการบริหารร่วมกันในเรื่องศุลกากร
พิธีสารว่าด้วยความช่วยเหลือทางการบริหารร่วมกันในเรื่องศุลกากร เป็นกรอบทางกฎหมายสำหรับ สำนักงานต่อต้านการฉ้อฉลแห่งสหภาพยุโรป (OLAF) และหน่วยงานศุลกากรจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป และอินโดนีเซีย ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ขอความช่วยเหลือ และดำเนินการตรวจสอบแบบประสานงาน เป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้จริงในการต่อสู้กับการฉ้อโกง ปกป้องการเงินสาธารณะ และปกป้องประชาชนจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยหรือสินค้าปลอมแปลง
การเยียวยาทางการค้า
ข้อตกลงนี้อนุญาตให้ใช้เครื่องมือปกป้องทางการค้า เพื่อแก้ไขปัญหาการค้าที่ไม่เป็นธรรมระหว่างคู่สัญญา รวมถึงกลไกการป้องกันทวิภาคี ซึ่งอนุญาตให้สหภาพยุโรปและอินโดนีเซียกำหนดมาตรการชั่วคราวในกรณีที่การเพิ่มปริมาณการนำเข้าที่ได้รับสิทธิพิเศษอย่างมีนัยสำคัญ เป็นการคุกคามหรือก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมในประเทศ
มาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช
มาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชซึ่งครอบคลุมถึงความปลอดภัยของอาหารและสุขภาพสัตว์และพืช จะใช้แนวทางและกฎระเบียบที่สหภาพยุโรปใช้ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้า
อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า
ข้อตกลงนี้มีเป้าหมายที่จะขจัดอุปสรรคทางเทคนิคในการค้าสินค้าระหว่างสหภาพยุโรปและอินโดนีเซีย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่โปร่งใส คาดการณ์ได้ และคุ้มค่ามากขึ้น ส่งเสริมการเข้าถึงตลาด และลดต้นทุน
โดยมาตรการที่จะดำเนินการ ได้แก่ การรับรองมาตรฐานจากสหภาพยุโรป สำหรับภาคส่วนสำคัญ อย่าง อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงาน อินโดนีเซียตกลงที่จะยอมรับใบรับรองและรายงานการทดสอบจากหน่วยงานที่ได้รับการรับรองที่อยู่ในสหภาพยุโรป วิธีนี้จะช่วยลดความจำเป็นในการทดสอบซ้ำและการรับรองใหม่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน, การติดฉลากสินค้าได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น, การปรับปรุงความโปร่งใสและความคาดการณ์ได้ของกฎระเบียบ และกำหนดกรอบความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ด้านการเฝ้าระวังตลาดและความปลอดภัยของผู้บริโภค
การค้าบริการและการลงทุน
ในภาคการค้าบริการและการลงทุน ข้อตกลงนี้จะขยายโอกาสให้กับผู้ให้บริการและนักลงทุนจากสหภาพยุโรปและอินโดนีเซีย และสร้างสภาพแวดล้อมทางการค้าที่คาดการณ์ได้มากขึ้น โดย
(1) รับประกันว่าผู้ให้บริการและนักลงทุนของสหภาพยุโรปในภาคส่วนที่ระบุไว้ในข้อตกลงจะไม่ถูกเลือกปฏิบัติจากคู่ค้าชาวอินโดนีเซีย
(2) ทำให้ผู้ประกอบการในสหภาพยุโรปสามารถขอรับใบอนุญาตหรือคุณสมบัติที่จำเป็นเพื่อให้บริการได้ง่ายขึ้นผ่านกระบวนการที่ชัดเจน ยุติธรรม และทันท่วงที
(3) ซัพพลายเออร์บริการของสหภาพยุโรปไม่จำเป็นต้องมีสำนักงานในพื้นที่ (เช่น สาขา) ในอินโดนีเซียสำหรับบางภาคส่วน
(4) สหภาพยุโรปและอินโดนีเซียจะงดเว้นการกำหนดข้อจำกัดในหลายภาคส่วน รวมถึงจำนวนผู้ประกอบการและมูลค่าการทำธุรกรรม
(5) ปรับปรุงเงื่อนไขการกำกับดูแลสำหรับผู้ให้บริการและนักลงทุน
(6) ปูทางไปสู่ความร่วมมือทางธุรกิจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและกรอบการกำกับดูแลด้านบริการและการลงทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
(7) อำนวยความสะดวกในการย้ายถิ่นฐานของผู้เชี่ยวชาญในหลายๆ ภาคส่วนที่ระบุในข้อตกลง เช่น บริการทางการเงิน บริการไปรษณีย์ โทรคมนาคม การขนส่งทางทะเล การผลิต การทำเหมือง และพลังงานหมุนเวียน
การเคลื่อนย้ายเงินทุน การชำระเงินและการโอนเงิน และมาตรการป้องกันชั่วคราว
หากมีการเปิดเสรีธุรกรรมบางอย่างภายใต้ข้อตกลง เช่น การจัดตั้งธุรกิจที่ต่างชาติเป็นเจ้าของ เงินทุนที่ใช้ในการดำเนินธุรกรรมนั้นจะต้องได้รับอนุญาตให้เคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนได้ด้วย มิฉะนั้น ข้อตกลงในการเปิดธุรกรรมดังกล่าวจะไม่สามารถใช้ได้ในทางปฏิบัติ ในขณะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายยังคงสามารถบังคับใช้กฎหมายและกฎเกณฑ์ของตนเองได้หากจำเป็น เช่น ในกรณีล้มละลาย หรือเมื่อทำธุรกรรมเกี่ยวกับหลักทรัพย์
การค้าดิจิทัล
เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการค้าดิจิทัลที่คาดการณ์ได้ ปลอดภัย และเป็นธรรม ข้อตกลงนี้กำหนดกฎเกณฑ์ที่มีผลผูกพัน ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและรับรองความแน่นอนทางกฎหมายสำหรับธุรกิจ และสนับสนุนนวัตกรรม ขณะเดียวกันก็รักษาสิทธิในการกำกับดูแลนโยบายสาธารณะ ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัย และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรปและอินโดนีเซียในเศรษฐกิจดิจิทัล
การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐต้องมีความโปร่งใส ยุติธรรม และไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อธุรกิจบนพื้นฐานของการเป็นเจ้าของจากต่างประเทศ ทั้งธุรกิจอินโดนีเซียในสหภาพยุโรป และธุรกิจจากสหภาพยุโรปในอินโดนีเซีย
ทรัพย์สินทางปัญญา
สหภาพยุโรปและอินโดนีเซียได้ตกลงกันเรื่องการคุ้มครองและบังคับใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมีประสิทธิผล โดยมีบทบัญญัติเกี่ยวกับลิขสิทธิ์และสิทธิที่เกี่ยวข้อง, เครื่องหมายการค้า, การออกแบบ, สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) สิทธิบัตร, การคุ้มครองความลับทางการค้าและข้อมูลที่ไม่เปิดเผย และพันธุ์พืช
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)
CEPA ให้การคุ้มครองโดยตรงแก่สินค้า GI ของสหภาพยุโรป 221 รายการ และสินค้า GI ของอินโดนีเซีย 72 รายการ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหารที่สำคัญ เช่น เนื้อสัตว์และชีสของสหภาพยุโรป เครื่องเทศและกาแฟของอินโดนีเซีย การคุ้มครอง GI ระดับสูงนี้ช่วยเสริมสร้างศักยภาพการส่งออกในภาคเกษตรและอาหารมูลค่าสูง รับรองมาตรฐานสินค้า GI เฉพาะ และช่วยให้ผู้ผลิตสามารถจำหน่ายสินค้าพรีเมียมได้
อินโดนีเซียเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 12 ของโลก และใหญ่ที่สุดของอาเซียน มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) 1.3 ล้านล้านยูโรต่อปี เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 5 ของสหภาพยุโรป ในปี 2024 สหภาพยุโรปส่งออกสู่อินโดนีเซียเป็นมูลค่า 9,700 ล้านยูโร โดยมีผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กในสหภาพยุโรปจำนวน 15,000 รายที่ส่งออกสู่อินโดนีเซีย สนับสนุนการจ้างงานในสหภาพยุโรป 200,000 ตำแหน่ง
สหภาพยุโรประบุว่า CEPA จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อเกษตรกรในยุโรป โดยจะช่วยลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหาร และปกป้องสินค้าดั้งเดิมของสหภาพยุโรป รวมถึงภาคอุตสาหกรรมสำคัญๆ เช่น ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักร โดยรวมแล้ว ผู้ส่งออกของสหภาพยุโรปจะประหยัดภาษีนำเข้าสินค้าที่เข้าสู่ตลาดอินโดนีเซียได้ประมาณ 600 ล้านยูโรต่อปี และสินค้ายุโรปจะมีราคาเข้าถึงได้มากขึ้นและเข้าถึงผู้บริโภคชาวอินโดนีเซียได้มากขึ้น
อีกทั้ง CEPA ยังเป็นก้าวสำคัญสำหรับสหภาพยุโรปและอินโดนีเซียในการส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและการเปลี่ยนผ่านสู่สีเขียว ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของสหภาพยุโรปและอินโดนีเซียที่มีต่อการเปิดกว้างและระบบที่ยึดหลักกฎเกณฑ์ ซึ่งสร้างเขตการค้าเสรีที่มีผู้บริโภคมากกว่า 700 ล้านคน บนพื้นฐานความโปร่งใสและความสามารถในการคาดการณ์ได้
นอกจากสิทธิพิเศษในการเข้าถึงตลาดอินโดนีเซียที่ธุรกิจในยุโรปจะได้รับจากข้อตกลงแล้ว ภาคส่วนที่สำคัญที่จะได้ประโยชน์คือ ภาคการเกษตร ซึ่งสหภาพยุโรปกล่าวว่า “ข้อตกลงนี้เป็นชัยชนะครั้งสำคัญของเกษตรกรยุโรป” เพราะเป็นข้อตกลงที่ทั้งจะส่งเสริมการส่งออกของสหภาพยุโรปไปยังอินโดนีเซีย และปกป้องสินค้าเกษตรที่มีความอ่อนไหวของสหภาพยุโรปด้วย
สหภาพยุโรประบุว่า ข้อตกลงนี้จะทำให้เกษตรกรในสหภาพยุโรปมีโอกาสที่ดีขึ้นมากในการขายผลผลิตให้อินโดนีเซีย เนื่องจากการยกเลิกภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าส่งออกสำคัญของสหภาพยุโรป เช่น ผลิตภัณฑ์นม เนื้อสัตว์ ผลไม้และผัก และอาหารแปรรูปหลากหลายชนิด นอกจากนี้ ข้อตกลงยังมีการคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) อีกทั้งยังคุ้มครองผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหารที่มีความอ่อนไหวด้วย
สำหรับอินโดนีเซีย จะได้รับสิทธิทางภาษีจากสหภาพยุโรปเทียบเท่าเวียดนาม คาดว่าข้อตกลงนี้จะช่วยเพิ่มการส่งออกของอินโดนีเซียไปยังสหภาพยุโรปได้ถึง 50% ภายใน 3 ปี ช่วยเพิ่ม GDP ได้ 0.04 จุดเปอร์เซ็นต์ และส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด และไอที
ส่วนประเทศไทยนั้น ได้เริ่มเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (FTA ไทย–EU) ตั้งแต่ปี 2013 (พ.ศ. 2556) กล่าวคือไทยเริ่มเจรจาก่อนอินโดนีเซีย แต่การเจรจาสะดุดลงด้วยเหตุผลทางการเมืองของไทยเอง ก่อนจะกลับมารื้อฟื้นการเจรจาใหม่ในปี 2023 (พ.ศ. 2566)
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา จตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ณ ขณะนั้น กล่าวว่า จะต้องเร่งรัดให้เสร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ภายในปีนี้ แม้ว่าการเจรจายังเหลืออีกหลายประเด็นท้าทาย เช่น การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และพลังงาน ซึ่งหลายเรื่องน่าจะยังติดในรายละเอียดด้านสิ่งแวดล้อม
ในวันเดียวกันนั้น โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ตั้งแต่เริ่มการเจรจา มีการกำหนดข้อตกลงไว้ 20 กลุ่ม รวม 24 ข้อบท ผ่านการเจรจามาแล้ว 6 รอบ ซึ่งทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าจะให้เสร็จสิ้นภายในปี 2025 นี้ แต่ยอมรับว่ายังเหลือประเด็นที่ท้าทายอีกจำนวนมาก โดยขณะนี้สามารถสรุปในหลักการได้เพียง 7 ข้อบท จากทั้งหมด 24 ข้อบท ทั้งนี้ ตามแผนในยังเหลือการเจรจาอีก 2 รอบ ในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ จะเป็นเจรจาในรอบที่ 7 และรอบที่ 8 ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน
“ทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งมั่นเพื่อให้การเจรจาสรุปผลได้โดยเร็ว ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของไทยทั้งภาคการผลิต-การค้าและการลงทุน ที่สำคัญ เพื่อให้ทันกับการแข่งขัน ซึ่งล่าสุด EU สรุปผลการเจรจา FTA กับอินโดนีเซียได้แล้ว ทำให้อินโดนีเซียได้เปรียบในตลาด EU ก่อนประเทศไทย” อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกล่าว
ทั้งนี้ เมื่ออินโดนีเซียลงนามข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงจาการ์ตา (อินโดนีเซีย) กระทรวงพาณิชย์ มีข้อคิดเห็นว่า ข้อตกลง CEPA ของสหภาพยุโรปกับอินโดนีเซีย ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในยุทธศาสตร์การเปิดเสรีทางการค้าของอินโดนีเซีย และมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจภูมิภาค โดยเฉพาะในบริบทของความตึงเครียดทางการค้าโลก
การลดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าหลัก เช่น ปาล์มน้ำมัน สิ่งทอ และอาหารทะเล จะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของสินค้าอินโดนีเซียในตลาดยุโรป ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการยุโรปในการเข้าถึงตลาดที่มีขนาดใหญ่และกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การตอบสนองต่อมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป เช่น EUDR ซึ่งอาจกลายเป็นอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีในอนาคต หากอินโดนีเซียไม่สามารถยกระดับระบบการตรวจสอบย้อนกลับและการผลิตอย่างยั่งยืนได้ทันเวลา ภาครัฐและเอกชนของไทยจึงควรติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด และพิจารณาศึกษาแนวทางการเจรจาข้อตกลง FTA ไทย–EU โดยใช้กรณีอินโดนีเซียเป็นกรณีศึกษา ทั้งในแง่โอกาสและข้อท้าทายที่ต้องเตรียมรับมือต่อไป” สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงจาการ์ตา (อินโดนีเซีย) แสดงความเห็น