ขณะที่ประเทศในกลุ่มอาเซียน (สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ถูกจับจ้องและถูกกดดันจากโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐมากอยู่แล้ว ในฐานะบรรดาประเทศที่เป็น ‘ทางผ่าน’ ให้สินค้าจีนเข้าไปยังสหรัฐ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนที่พยายามเร่งการลงนามข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) จีน-อาเซียนฉบับปรับปรุง ให้ได้ภายในปีนี้ ก็ยิ่งทำให้อาเซียนเผชิญแรงกดดันจากทั้งสองมหาอำนาจมากยิ่งขึ้น
อย่างที่มีหลายฝ่ายวิเคราะห์กันมาก่อนหน้านี้ว่า การที่สินค้าจีนส่งเข้าไปขายสหรัฐยากขึ้น จะทำให้จีนต้องพยายามส่งสินค้าไปตลาดอื่นๆ มากขึ้นเพื่อทดแทนตลาดสหรัฐที่สูญเสียไป ยิ่งยอดส่งออกไปสหรัฐลดลงเท่าไหร่ จีนยิ่งต้องส่งสินค้าไปตลาดอื่นๆ มากเท่านั้น
ท่ามกลางการหลั่งไหลของสินค้าจีนเข้าสู่ประเทศต่างๆ นั้น ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ สินค้าจีนส่วนหนึ่งที่ส่งเข้าไปยังประเทศต่างๆ เป็นสินค้าที่พยายามหาทางผ่านไปยังสหรัฐ โดยเฉพาะหลายประเทศในอาเซียน รวมถึงไทย ที่ถูกทรัมป์หมายหัวว่าเป็นแหล่งสวมสิทธิหรือทางผ่านของสินค้าจีน
นั่นทำให้หลายประเทศในอาเซียนเผชิญปัญหายากสองชั้น ทั้งปัญหาที่สินค้าราคาถูกของจีนเข้ามาแย่งตลาด ทำให้ผู้ผลิตภายในประเทศสู้ไม่ไหว บริษัทจำนวนมากต้องล้มหายไป และปัญหาที่ต้องตกเป็นเป้าของประธานาธิบดีสหรัฐในการปราบปรามและลงโทษประเทศที่เป็นแหล่งสวมสิทธิของสินค้าจีน ดังที่เห็นจากการประกาศอัตราเก็บภาษีนำเข้าสูงๆ ก่อนจะมีการเจรจาลดลงได้ในเวลาต่อมา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2025 หยาน ตง (Yan Dong) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีนกล่าวในการแถลงข่าวว่า จีนกำลังผลักดันให้อาเซียนลงนามข้อตกเขตลงการค้าเสรีจีน-อาเซียน (CAFTA) ฉบับปรับปรุง หรือ ‘CAFTA 3.0’ ภายในสิ้นปีนี้
“ท่ามกลางลัทธิการกระทำฝ่ายเดียวและลัทธิกีดกันทางการค้าในห่วงโซ่อุตสาหกรรมระดับโลก จีนและอาเซียนยังคงยืนหยัดที่จะร่วมมือกันแบบพหุภาคีเพื่อรักษาเสถียรภาพและการดำเนินงานที่ราบรื่นของห่วงโซ่อุตสาหกรรมระดับภูมิภาค” รมช.พาณิชย์จีนกล่าวโดยเหน็บนโยบายการค้าของทรัมป์
ทั้งนี้ การเจรจาปรับปรุงข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างจีนกับอาเซียนนั้นทั้งสองฝ่ายได้ข้อสรุปไปแล้วในพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยบรรลุข้อตกลงในการยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ 14 บทสำคัญ มีการเพิ่มประเด็นใหม่ให้สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน ทั้งเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน หากไม่มีอะไรผิดพลาดไปจากกำหนดการ จะมีการลงนามกันในการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ในเดือนตุลาคมนี้
เหตุผลที่ทำให้มีข่าวการเร่งลงนาม FTA ฉบับปรับปรุงกับอาเซียนให้ได้เร็วที่สุดออกมาในเวลานี้ คาดว่าเป็นเพราะยอดการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐที่ลดฮวบลงจนฉุดรั้งตัวเลขการส่งออกภาพรวมให้ชะลอลงด้วย
ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยอดการส่งออกของจีนไปสหรัฐลดลง 33% (มูลค่าลดลง 283,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ส่งผลให้ยอดการส่งออกรวมเพิ่มขึ้นเพียง 4.4% ซึ่งนับเป็นการเติบโตที่ต่ำสุดในรอบ 6 เดือน นับตั้งแต่กุมภาพันธ์ และต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ที่ตอบแบบสำรวจของรอยเตอร์ (Reuters) คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5% นอกจากปัจจัยการส่งออกไปยังสหรัฐที่ลดฮวบลงแล้ว ตัวเลขฐานในปีก่อนหน้าที่สูงมาก เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้การส่งออกของจีนในเดือนสิงหาคมปีนี้โตน้อยลงด้วย
ในขณะที่การส่งออกไปสหรัฐร่วงลงแรง การส่งออกของจีนไปยังปลายทางอื่นๆ ยังเพิ่มขึ้น โดยการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้น 10.4% การส่งออกมายังอาเซียนเพิ่มขึ้น 22.5% และการส่งออกไปแอฟริกา เพิ่มขึ้น 26% ซึ่งผู้ผลิตสินค้าของจีนกำลังพยายามส่งออกไปยังตลาดเหล่านี้ให้มากขึ้น เพื่อชดเชยผลกระทบจากมาตรการภาษีของทรัมป์
ส่วนยอดสะสม 8 เดือน จีนส่งออกไปสหรัฐลดลง 15.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สวนทางกับการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป อาเซียน แอฟริกา และละตินอเมริกา ที่เพิ่มขึ้น 7.7%, 14.6%, 24.6% และเกือบ 6% ตามลำดับ ซึ่งจีนกำลังพยายามส่งออกไปยังตลาดเหล่านี้ให้มากขึ้น เพื่อชดเชยผลกระทบจากมาตรการภาษีของทรัมป์
มูลค่าการส่งออกของจีนมายังอาเซียนในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 57,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,616,500 ล้านบาท) ทำให้อาเซียนเป็นจุดหมายปลายทางการส่งออกอันดับ 1 ของจีน
ตัวเลขล่าสุดนี้เน้นย้ำถึงสำคัญของตลาดอาเซียนต่อจีน แม้ว่าจีนและ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นสมาชิกของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) อยู่แล้ว แต่นักวิเคราะห์มองว่า RCEP เป็นข้อตกลงการค้าที่มีความทะเยอทะยานน้อยกว่า ACFTA 3.0 โดยมีบทบัญญัติที่อ่อนแอกว่าในบางด้าน เช่น อีคอมเมิร์ซ และมาตรฐานสุขอนามัยพืช
นอกจากการลงนาม ACFTA 3.0 จะช่วยให้จีนทำการค้ากับอาเซียนได้สะดวก-ส่งง่ายขายคล่องขึ้น ยังเป็นความพยายามกระชับความสัมพันธ์เพื่อคานอำนาจสหรัฐด้วยในเวลาเดียวกัน ขณะที่ฝั่งอาเซียนที่ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างสองมหาอำนาจก็ตกอยู่ภายใต้ความกดดันต่อไป
อ้างอิง : Reuters [1], Reuters [2], CNBC, กระทรวงพาณิชย์