
รัฐบาลหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเร่งฟื้นฟูพื้นที่และช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากพายุไซโคลนและพายุฝนรุนแรงระลอกล่าสุด ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 1,500 รายในอินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม และศรีลังกา ความเสียหายทางเศรษฐกิจถูกประเมินว่าสูงราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์ สะท้อนขนาดของแรงกระแทกที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โครงสร้างพื้นฐานหรือภาคเกษตร หากแต่แผ่ขยายไปถึงระบบเศรษฐกิจในวงกว้าง
ท่ามกลางวิกฤตนี้ ภาคธุรกิจประกันภัยเริ่มออกมาเตือนอย่างเปิดเผยว่า รูปแบบการจัดการความเสี่ยงแบบเดิมอาจไม่เพียงพอในโลกที่สภาพอากาศผันผวนรุนแรงขึ้น อุตสาหกรรมกำลังผลักดันให้เกิด “โมเดลใหม่” เพื่อยกระดับความยืดหยุ่นด้านการเงินและการคุ้มครองภัยพิบัติ ให้รองรับความถี่และความรุนแรงของเหตุการณ์สุดขั้วที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจหมายถึงการเพิ่มเบี้ยประกันหรือการลงทุนล่วงหน้าในโครงสร้างพื้นฐานที่ทนต่อสภาพอากาศ และมาตรการป้องกันที่ช่วยลดความเสียหายตั้งแต่ต้นทาง
ปัจจุบัน กรอบคิดของภาคประกันจึงกำลังเปลี่ยนไป โดยมองว่าภัยธรรมชาติไม่ใช่อุบัติการณ์ตามฤดูกาลอีกต่อไป แต่เป็น “ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง” ที่ฝังอยู่ในระบบเศรษฐกิจและชีวิตผู้คน หากการคุ้มครองยังไม่เข้าถึงอย่างทั่วถึง ความเสียหายจะไม่หยุดอยู่แค่บ้านเรือนหรือธุรกิจรายใดรายหนึ่ง แต่จะลุกลามไปสู่ฐานะการคลังและเสถียรภาพของประเทศในระยะยาว
ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญผลพวงจากพายุรุนแรงที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 1,500 รายในอินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม และศรีลังกา ขณะที่มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจประเมินสูงราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ภัยพิบัติรอบนี้ไม่เพียงทิ้งร่องรอยด้านมนุษยธรรม แต่ยังกระหน่ำซ้ำเติมเศรษฐกิจของภูมิภาคซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับผกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ต่อภาคการส่งออกอยู่แล้ว
นักวิเคราะห์เตือนว่าหากการฟื้นตัวล่าช้า ผลกระทบจะไม่จำกัดอยู่แค่ความเสียหายเฉพาะหน้า แต่จะลุกลามไปถึงห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญอย่างน้ำมันปาล์มและยางพารา ซึ่งเป็นสินค้าหลักของหลายประเทศในภูมิภาค ความเสี่ยงด้านอุปทานดังกล่าวอาจซ้ำเติมแรงกดดันเงินเฟ้อและต้นทุนภาคการผลิต ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง
สถานการณ์เลวร้ายที่สุดในช่วงต้นเกิดขึ้นที่เกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย พายุที่พัดถล่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 800 ราย และยังมีผู้สูญหายประมาณ 500 คน หลายชุมชนยังถูกตัดขาดจากภายนอก โดยความเสียหายต่อถนนและเส้นทางคมนาคมเป็นอุปสรรคต่อการค้นหาและการส่งความช่วยเหลือ ฮัยลี โยคะ ผู้ว่าราชการเขตอาเจะห์กลาง เปิดเผยว่า เส้นทางบกสายหลัก 4 สายถูกปิด เกือบ 90 จาก 295 หมู่บ้านไม่สามารถเข้าถึงได้ และหลายพื้นที่กำลังเผชิญภาวะขาดแคลนอาหาร
เกาะสุมาตรามีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ต่อเศรษฐกิจอินโดนีเซีย โดยเป็นแหล่งสร้าง GDP มากกว่าหนึ่งในห้า ของอินโดนีเซียรองจากเกาะชวาที่เป็นที่ตั้งของกรุงจาการ์ตา ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและกฎหมายในจาการ์ตาประเมินความสูญเสียจากภัยพิบัติครั้งนี้ที่ 68.67 ล้านล้านรูเปียห์ หรือราว 4.11 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 0.29% ของ GDP ประเทศ ถนนได้รับความเสียหายประมาณ 14,600 กิโลเมตร นาข้าวกว่า 1,500 เฮกตาร์ถูกน้ำท่วม และสวนปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นหัวใจของอุตสาหกรรมตั้งแต่มาร์การีนจนถึงผงซักฟอก รวมถึงภาคเหมืองแร่ ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง
ก่อนเกิดภัยพิบัติ รัฐบาลอินโดนีเซียตั้งเป้าให้เศรษฐกิจปีนี้เติบโต 5.2% หลังเผชิญแรงกดดันทางสังคมจากการประท้วงครั้งใหญ่ตั้งแต่เดือนสิงหาคมซึ่งมีต้นตอจากความไม่พอใจต่อสภาพตลาดแรงงาน โดยก่อนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว แอร์ตางกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจ เคยระบุว่าไตรมาสตุลาคม-ธันวาคมคาดว่าจะขยายตัวถึง 5.4%-5.6% จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์เริ่มมองว่าอินโดนีเซียอาจไปไม่ถึงเป้าหมายดังกล่าว โดยเตอูกู รีฟกี นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ชี้ว่า เมื่อสุมาตราซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของประเทศได้รับผลกระทบโดยตรงจากภัยพิบัติ โอกาสที่การเติบโตจะสะดุดยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
ในประเทศไทย น้ำท่วมในภาคใต้ลุกลามเป็นวงกว้าง มีผู้เสียชีวิตแล้ว 185 รายใน 8 จังหวัด ธุรกิจมากกว่า 700 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกิจการท้องถิ่น ได้รับความเสียหายในอุตสาหกรรมหลักอย่างยางพาราและแปรรูปอาหารทะเล รัฐบาลประเมินว่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจเกิน 5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นราว 3% ของ GDP ปี 2567 และได้เริ่มจ่ายเงินเยียวยาครัวเรือนละ 9,000 บาทให้พื้นที่ประสบภัยแล้วกว่า 186,000 ครัวเรือน
เวียดนามเผชิญฝนหนัก น้ำท่วม และดินถล่มหลายครั้งตลอดทั้งปี โดยพายุที่กระหน่ำภาคกลางในเดือนพฤศจิกายนทำให้มีผู้เสียชีวิตหรือสูญหายมากกว่า 100 ราย และบ้านเรือนกว่า 200,000 หลังจมอยู่ใต้น้ำ สื่อท้องถิ่นรายงานว่าความเสียหายจากภัยพิบัติของเวียดนามตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไปอาจพุ่งเกิน 85 ล้านล้านด่อง หรือคิดเป็นราว 0.7% ของ GDP ปี 2567 โดยรัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติงบช่วยเหลือ 3.52 ล้านล้านด่องให้ 8 จังหวัดและเมือง พร้อมเดินหน้าแผนฟื้นฟูบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน
ด้านศรีลังกาเป็นประเทศที่ได้รับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจหนักที่สุด โครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากพังเสียหายจากน้ำท่วมและดินถล่ม รัฐบาลประเมินมูลค่าความสูญเสียอยู่ระหว่าง 6-7 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 3%-5% ของ GDP ประเทศ
ศรีลังกายังคงอยู่ในภาวะเปราะบางทางเศรษฐกิจ หลังเคยเผชิญวิกฤตผิดนัดชำระหนี้ในปี 2565 จากภาระหนี้ที่พอกพูนจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ซึ่งพึ่งพาเงินกู้จากจีนเป็นหลัก ซ้ำเติมด้วยรายได้จากภาคท่องเที่ยวที่ทรุดตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงการระบาดของโควิด-19 จนรัฐบาลต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศเพื่อพยุงเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
ล่าสุด ประธานาธิบดีอนุรา กุมารา ดิซซานายเก ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหลังพายุพัดถล่ม พร้อมย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนของความช่วยเหลือจากนานาชาติ เพื่อพาประเทศก้าวผ่านวิกฤตเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ สะท้อนชัดว่าเศรษฐกิจศรีลังกายังไม่อาจฟื้นตัวได้ด้วยกำลังของตัวเองเพียงลำพัง
จากความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างดังกล่าว สมาคมบริษัทประกันภัยต่อแห่งสิงคโปร์ ซึ่งทำหน้าที่สนับสนุนบริษัทประกันในการบริหารความเสี่ยง ระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้บริษัทประกันในภูมิภาคได้รับคำร้องค่าสินไหมทั้งจากภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจเป็นจำนวนมาก โดยประธานสมาคมกล่าวว่า เมื่อความเสียหายถูกประเมินครบถ้วน ภาพที่ชัดเจนจะสะท้อน “ช่องว่างการคุ้มครอง” ที่ผู้ได้รับผลกระทบจำนวนไม่น้อยไม่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมได้เพียงเพราะไม่มีประกันมารองรับ
ในระดับภูมิภาค สภาประกันภัยอาเซียนยอมรับอย่างเป็นทางการว่า เหตุการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วยสภาพภูมิอากาศจะไม่ได้เป็นเรื่องฉุกเฉินรายครั้งอีกต่อไป แต่กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่จะเกิดขึ้นซ้ำเป็นประจำ
สมาคมประกันวินาศภัยแห่งอินโดนีเซียเปิดเผยว่า บริษัทสมาชิกกำลังทบทวนหลักเกณฑ์การรับประกันภัยสำหรับภัยพิบัติ โดยปรับใช้แผนที่ความเสี่ยงใหม่ โมเดลน้ำท่วมล่าสุด และข้อมูลจากตลาดประกันภัยต่อ เพื่อให้กรมธรรม์ใหม่สะท้อนการแบ่งกลุ่มความเสี่ยงได้ละเอียดและแม่นยำขึ้น ควบคู่กับการกำหนดมาตรการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติของผู้เอาประกันให้ชัดเจนขึ้น และการทำงานร่วมกับภาครัฐในเรื่องการลดความเสี่ยงและการจัดหาเงินทุนรับมือภัยพิบัติ
ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ของอินโดนีเซีย เตือนว่า ในอนาคตภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเกิดถี่และรุนแรงขึ้น ประชาชนจึงต้องเร่งเตรียมความพร้อม ขณะที่รัฐบาลเดินหน้าอุดช่องโหว่นโยบาย ล่าสุดกระทรวงการคลังเปิดตัว “ประกันทรัพย์สินของรัฐ” หลังเกิดอุทกภัยและดินถล่มในสามจังหวัดบนเกาะสุมาตรา เป้าหมายคือยกระดับขีดความสามารถของบริษัทประกัน และดึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าสู่ระบบกองกลาง เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินสาธารณะและกระจายความเสี่ยงเชิงระบบ
กลไกสำคัญคือการจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อบริหารเงินจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณรัฐ เงินช่วยเหลือ เงินลงทุน และเงินค่าสินไหม เพื่อนำมาใช้รองรับความเสียหายจากภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุว่า ภายในปี 2569 หน่วยงานรัฐทุกแห่งจะถูกกำหนดให้นำทรัพย์สินเข้าประกัน โดยเฉพาะทรัพย์สินในภาคการศึกษา สาธารณสุข และสำนักงาน ซึ่งรวมมูลค่าสูงถึงราว 250 ล้านล้านรูเปียห์ ปัจจุบันทรัพย์สินที่ทำประกันแล้วอยู่ที่ 61 ล้านล้านรูเปียห์ และเมื่อโครงการกองทุนรวมเดินหน้าเต็มรูปแบบ วงเงินคุ้มครองจะขยับเป็น 91 ล้านล้านรูเปียห์
ประเทศไทยก็ขยับในอีกมิติหนึ่ง โดยสำนักงานคปภ. ขอความร่วมมือบริษัทประกันตรึงเบี้ยประกันเพื่อบรรเทาภาระผู้ประสบภัย พร้อมเรียกร้องให้ลดขั้นตอนและเอกสารเพื่อเร่งการจ่ายค่าสินไหม หลังเหตุอุทกภัยมีการยื่นเคลมแล้วอย่างน้อย 500 รายการ ขณะที่ในเวียดนาม บริษัทประกันรายใหญ่รายงานว่า คำร้องค่าสินไหมรถยนต์จากเหตุดังกล่าวทะลุ 800 ราย ขณะที่คำร้องอื่น ๆ เพิ่มขึ้นทะลุ 500 รายแล้วภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์
แรงกดดันจากจำนวนเคลมที่พุ่งสูง ทำให้เกิดความกังวลว่า เบี้ยประกันในอนาคตอาจปรับขึ้น หรือความคุ้มครองถูกจำกัดในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารในอุตสาหกรรมบางรายชี้ว่า ความเสี่ยงที่สูงขึ้นไม่จำเป็นต้องผลักเบี้ยประกันให้แพงขึ้นเสมอ หากมีการลงทุนล่วงหน้าในโครงสร้างพื้นฐานที่ทนต่อสภาพอากาศ และมาตรการป้องกันที่ช่วยลดความเสียหายตั้งแต่ต้นทาง
ในมุมของอุตสาหกรรมประกันภัย บทบาทของบริษัทประกันภัยจึงกำลังเปลี่ยนจากการเป็นเพียง “ผู้จ่ายค่าสินไหม” ไปสู่ผู้มีส่วนร่วมในการลดความเสี่ยงเชิงระบบ เพื่อให้การคุ้มครองภัยพิบัติยังคงเข้าถึงได้และยั่งยืน ท่ามกลางโลกที่ภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในบางฤดูกาลอีกต่อไป
ที่มา: Nikkei Asia 1, Nikkei Asia 2