ปัจจุบัน โลกธุรกิจและเศรษฐกิจกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ผลักดันให้แนวโน้มโลกเข้าสู่ภาวะ “Deglobalization” มากขึ้น แต่ละประเทศจำเป็นต้องเร่งเจรจาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ ขณะที่ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกต้องปรับโครงสร้างใหม่เพื่อเลี่ยงอัตราภาษีที่สูงขึ้น หลายบริษัทเลือกย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศที่ถูกตั้งกำแพงภาษีสูง และหันมาใช้วัตถุดิบหรือการผลิตในระดับท้องถิ่นและภูมิภาคมากขึ้น ขณะเดียวกัน ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างต้องเร่งปรับตัว ลงทุนในนวัตกรรม และสร้างรูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืนเพื่อตอบสนองต่อสภาพการณ์ใหม่นี้
ในเวทีสัมมนา TSCN Business Partner Conference และ CEO Panel ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ซึ่งเป็นเวทีที่รวมเอาผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรธุรกิจชั้นนำของไทยถึง 4 ท่าน ได้แก่ คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และคุณธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มาร่วมแลกเปลี่ยน “มุมมองเชิงกลยุทธ์” ต่อการขับเคลื่อนธุรกิจท่ามกลาง “การเปลี่ยนแปลงระดับโลก” ผู้เข้าร่วมได้เห็นมุมมองของผู้นำในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งในด้านการรับมือความท้าทายและการแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ จากพลวัตเศรษฐกิจโลก
การเสวนาครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์และมอบข้อคิดที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการไทย ผ่านวิสัยทัศน์ของผู้บริหารชั้นนำ โดยมีคุณสุทธิชัย หยุ่น ผู้สื่อข่าวอาวุโสดำเนินรายการ เพื่อเปิดมุมมองใหม่ ๆ และจุดประกายแนวทางในการปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลกเศรษฐกิจและธุรกิจในปัจจุบัน
ปัจจุบัน แทบไม่มีปัจจัยใดที่สั่นสะเทือนระเบียบการค้าระหว่างประเทศได้เท่ากับมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพียงหนึ่งปีหลังการเข้ารับตำแหน่ง โลกก็เผชิญความปั่นป่วนที่ลุกลามอย่างกว้างขวาง ผลสะเทือนมิได้จำกัดอยู่แค่การค้าระหว่างประเทศ แต่ยังซัดเข้ามากระทบชีวิตผู้คนในระดับปากท้องอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน คุณสุทธิชัย หยุ่น ผู้ดำเนินรายการชี้ชัดว่า ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือบทพิสูจน์ว่าการเมืองมหาอำนาจสามารถกระแทกเศรษฐกิจครัวเรือนไทยได้โดยตรงและรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางคลื่นความไม่แน่นอน สิ่งที่ยังคงยืนหยัดคือพลังของภาคเอกชน การปรากฏตัวของซีอีโอทั้งสี่บนเวทีสะท้อนว่าเอกชนยังคงเป็น “เสาหลัก” ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าได้ แม้พายุเศรษฐกิจจะพัดแรงเพียงใด ขณะเดียวกัน ภาครัฐเองก็กำลังแสดงบทบาทใหม่ โดยรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ส่งสัญญาณชัดว่า รัฐบาลกำลังเร่ง “บริหารความเปลี่ยนแปลง” เพื่อสร้างสมดุลระหว่างแรงกดดันภายนอกกับศักยภาพภายใน เป้าหมายไม่ใช่เพียงการประคับประคอง แต่เพื่อเสริมแรงให้ภาคเอกชนยังคงเป็นหัวจักรหลักในการสร้างความหวังและขับเคลื่อนการพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ในเวที SX2025 CEO Panel คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และประธานอำนวยการจัดงาน Sustainability Expo (SX) กล่าวว่า นโยบาย America First ของสหรัฐฯ กำลังทำให้กระแสโลกาภิวัตน์ (Globalization) ที่เคยเป็นรากฐานของระบบเศรษฐกิจโลก กลับกลายเป็นกระแส “Localization” และ “Polarization” หรือ “Deglobalization” ที่ทำให้ประเทศต่างๆ ลดการพึ่งพากันในระดับโลกและหันกลับมามองผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก
คุณฐาปนมองว่า กระแส Deglobalization ส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วโลก เพราะเศรษฐกิจโลกมีความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์กันในทุกๆ มิติ เมื่อ “พี่ใหญ่” หรือยักษ์ใหญ่ของเศรษฐกิจโลกอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาตัดสินใจเปลี่ยนนโยบายทางการค้าก็ย่อมส่งผลต่อการค้าทั่วโลก โดยคุณฐาปนเปรียบเทียบนโยบายนี้ของสหรัฐฯ กับการดำเนินชีวิตของครอบครัวหนึ่ง ที่หากสมาชิกคนใดมุ่งสนใจเพียงประโยชน์ของตนเอง ย่อมส่งผลต่อสมดุลของครอบครัวทั้งหมดในที่สุด เช่นเดียวกัน ในประชาคมโลกหากประเทศมหาอำนาจมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ก็ย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนแก่ระบบเศรษฐกิจโลกโดยรวม และประเทศอื่นๆ ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบได้ ดังคำกล่าวที่ว่า “Politics is local but business is global.”
นอกจากนี้ คุณฐาปนยังกล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของโลก เศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ในระหว่างการระบาดของโควิด-19 รัฐบาลหลายประเทศต้องใช้งบประมาณจำนวนมากจากเงินคงคลังเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตและความอยู่รอดของประชาชน ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบและความท้าทายที่เกิดขึ้นตามมาได้
อย่างไรก็ตาม คุณฐาปนได้แสดงความคาดหวังว่า ในปีหน้า ประเทศไทยจะมีบทบาทสำคัญในเวทีโลกในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF-WBG Annual Meetings) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2569 โดยมองว่านี่คือโอกาสสำคัญในการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้นำระดับโลก รวมถึงผู้แทนจากธนาคารโลกที่ให้ความสำคัญกับบทบาททางการเงินและการคลังในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรกว่า 8,000 ล้านคนทั่วโลก เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดี และผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในทุกมิติ ตั้งแต่ระดับครอบครัว องค์กร ไปจนถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ
คุณฐาปนมองว่า ความร่วมมือของทุกภาคส่วนและนานาประเทศในประเด็นดังกล่าวคือปัจจัยสำคัญที่จะชี้วัดในทศวรรษข้างหน้าว่าโลกจะสามารถต่อยอดการค้าและการลงทุนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างประโยชน์ร่วมกันได้อย่างไร พร้อมย้ำว่าการปรับตัวคือเงื่อนไขสำคัญต่อการเผชิญความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว โดยประเทศไทยเองจำเป็นต้องเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ผ่านความร่วมมือและการเป็นพันธมิตรกับทุกภาคส่วน ภายใต้แนวทางตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 17 ของสหประชาชาติ หรือ “Partnership for the Goals” ที่เน้นให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน
ดังนั้น ในมุมมองของคุณฐาปน การปรับตัวอย่างทันท่วงที การเปิดพื้นที่พูดคุยแลกเปลี่ยน และการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง จึงเป็นหัวใจที่จะสร้างโอกาสและเสริมศักยภาพให้ทุกภาคส่วนสามารถก้าวทันโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
ในประเด็นการปรับตัวขององค์กรและการสื่อสารภายในองค์กร คุณฐาปน กล่าวว่า จากการฟังแนวคิดของคุณธีรพงศ์ที่ว่า การบริหารต้อง “Simpler, Leaner and Faster” แล้วทำให้คุณฐาปนหันกลับมาทบทวนว่า องค์กรของตนสามารถเดินไปในทิศทางนั้นได้มากน้อยเพียงใด สำหรับคุณฐาปนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “คิดให้ครบ” แต่ต้องไม่ช้าเกินไป ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วและแม่นยำ หรือ “Making Good Decision, Quickly”
คุณฐาปน อธิบายว่า หนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือ ทุกวันนี้โลกเต็มไปด้วยปัจจัยซับซ้อนที่ถาโถมเข้ามาแทบทุกวัน ทำให้ผู้บริหารไม่สามารถรู้และเข้าใจได้ทุกเรื่องอย่างสมบูรณ์ การ “คิดให้ครบ” แล้วตัดสินใจจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะสิ่งที่เคยเป็นจุดแข็งในอดีตอาจกลายเป็นข้อจำกัดในปัจจุบัน เช่น วิธีการที่เคยทำแล้วประสบความสำเร็จ วันนี้อาจทำให้เรากลายเป็นองค์กรที่ขยับตัวช้า ขณะที่การปรับเปลี่ยนก็เสี่ยงต่อการกระทบรายได้และคู่ค้า แต่หากไม่เปลี่ยนก็อาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
“ในโลกธุรกิจ มีเรื่องราวมากมายที่เราต้องทบทวน แต่ในฐานะผู้บริหาร ทีมงานรอคอยคำตอบจากเรา สิ่งสำคัญคือการ Make Good Decisions, Quickly และต้องเข้าใจว่าเมื่อมีการตัดสินใจแล้ว ย่อมมีเสียงสะท้อนกลับมาเสมอ หากผลลัพธ์ไม่ดีพอ ก็ต้องกล้าที่จะปรับเปลี่ยน” คุณฐาปน กล่าว พร้อมเสริมว่าทุกการตัดสินใจมีผลกระทบตามมา แต่ควรอยู่ในระดับที่ประเมินไว้แล้วและยอมรับได้ เป็น “calculated risk” ที่ต้องรับผิดชอบ
คุณฐาปนยังย้ำว่า สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เสียทีเดียว เช่น นโยบาย America First ของสหรัฐฯ ก็สะท้อนแนวโน้มที่เคยเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่ผู้คนหันมาสนใจตัวเองมากขึ้น บาลานซ์การใช้ชีวิตมากขึ้น และกลายเป็นผู้บริโภคที่ฉลาดและมีความต้องการสูงขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มักเรียกร้องมากกว่าคนรุ่นก่อน
ในประเด็นนี้ คุณฐาปน เผยว่า คนรุ่นใหม่ในองค์กรมีส่วนสำคัญในการผลักดันเรื่อง ESG และความยั่งยืน หลายครั้งพวกเขาเข้ามาตั้งคำถามว่ากระบวนการทำงานจริงยังไม่สอดคล้องกับสิ่งที่บริษัทประกาศไว้ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อผู้บริหาร แต่เขากลับมองว่าเป็นเรื่องดี เพราะแม้จะยากและท้าทาย แต่มุมมองของคนรุ่นใหม่จะเข้ามาช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงและผลักดันให้บริษัทเดินไปข้างหน้า
คุณฐาปน ยังเสริมว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ไม่ได้เป็นเพียงผู้ตั้งคำถาม แต่ยังมองเห็นโอกาสจากสิ่งที่ผู้บริหารบางครั้งมองไม่ทัน พวกเขาให้คุณค่ากับงานที่สร้าง “impact” หรือผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริงมากกว่าหน้าที่ซ้ำซากที่ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงสร้างสรรค์ หากผู้บริหารเปิดใจกว้างและชวนเข้ามามีส่วนร่วม ความคิดสร้างสรรค์และพลังบวกของคนรุ่นใหม่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าอย่างมีพลวัต
“สิ่งที่เขามีคือ passion ที่ดีและตั้งใจจริง ถ้าเรา embrace หรือเปิดกว้างให้พวกเขาเข้ามา ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งองค์กรและสังคม” คุณฐาปน กล่าว
เมื่อถูกถามถึงประเด็นข้อเสนอต่อรัฐบาล คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาคธุรกิจไทยมีการหารือกับรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ผ่านคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เพื่อสะท้อนปัญหาและโอกาสในแต่ละอุตสาหกรรม โดยขณะนี้แต่ละสถาบันกำลังรวบรวมข้อเสนอเพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลอย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ คุณฐาปน ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของพลังของการร่วมมือ โดยชี้ว่าธีมงาน SX2025 ซึ่งก็คือธีม Adaptation และ Collaboration หรือการปรับตัวและการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ไม่ได้มุ่งแค่การจับคู่ธุรกิจ แต่ต้องการให้ผู้ประกอบการสร้างการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง เพราะธุรกิจไทยมักแข่งขันกันเอง แม้จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกัน แต่หากสามารถจับมือกันสร้าง Consortium ก็จะเพิ่มศักยภาพ ขยายฐานลูกค้าใหม่ และต่อยอดไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ โดยยกตัวอย่างว่า “มหาวิทยาลัยไทยยังลงนาม MOU กับต่างประเทศมากกว่าระหว่างกันเอง สะท้อนว่าความร่วมมือภายในประเทศยังน้อยเกินไป ธุรกิจไทยก็เช่นเดียวกัน”
สำหรับประเด็นนี้ คุณฐาปน ยังเปรียบเทียบว่า เวลาญี่ปุ่นหรือจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ธุรกิจในประเทศเหล่านี้มักเข้ามาทั้งซัพพลายเชน แต่ธุรกิจไทยมักเคลื่อนไหวแบบรายเดี่ยว หรือรวมกลุ่มเฉพาะกิจที่ไม่ยั่งยืน ส่งผลให้เสียเปรียบในการแข่งขันระหว่างประเทศ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการสร้างเครือข่ายที่ต่อเนื่องและมั่นคง โดย Thailand Supply Chain Network หรือ TSCN เองก็ถือเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงผู้ประกอบการให้เกิดความร่วมมือมากขึ้น
คุณฐาปนยังกล่าวถึงโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น Space Industry หรืออุตสาหกรรมอวกาศ ที่อาจดูไกลตัว แต่มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจที่ไทยทำได้ดีอยู่แล้ว เช่น เคมีภัณฑ์ วัสดุคอมโพสิต หรือชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งสามารถต่อยอดสู่ห่วงโซ่คุณค่าที่สูงขึ้นได้ หากมีการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการและสถาบันการศึกษา
ในตอนท้ายสำหรับแนวทางในการปรับตัวให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน คุณฐาปนได้น้อมนำพระราชดำรัสจากพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ว่า “ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม และกำลังกายที่สมบูรณ์” เพื่อเป็นข้อคิดและกำลังใจแก่ผู้ประกอบการไทย พร้อมย้ำว่าความเพียรและปัญญาที่ผสานกับสุขภาพที่แข็งแรง จะนำไปสู่ความสำเร็จ โอกาส และความก้าวหน้าในอนาคต
ด้านคุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) อธิบายว่า โลกปัจจุบันได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่โครงสร้าง “สองขั้วมหาอำนาจ” อย่างสมบูรณ์แล้ว โดยมี สหรัฐฯ และจีน เป็นศูนย์กลางอำนาจด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการทหาร ทั้งสองประเทศรวมกันคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของจีดีพีโลก และไม่ว่าจะขยับนโยบายด้านใด ล้วนสะเทือนห่วงโซ่อุปทานและตลาดโลกโดยตรง
เพื่ออธิบายให้เห็นภาพ คุณศุภชัยยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับประสบการณ์ในอดีต เมื่อครั้งประเทศไทยตั้งนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและผลักดันอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ไทยจำเป็นต้องสร้างกำแพงภาษีนำเข้าเม็ดพลาสติกสูงถึง 40% เพื่อปกป้องตลาดไม่ให้ถูก “ดัมพ์ราคา” จนผู้ผลิตในประเทศเสียหาย แต่ในวันนี้สถานการณ์กลับตาลปัตร เมื่อสหรัฐฯ ที่เป็นประเทศมหาอำนาจกลับกลายเป็นฝ่ายที่หันมาตั้งกำแพงภาษีเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศของตนเอง แม้แต่กับเม็ดพลาสติกก็ถูกจำกัดการนำเข้า เนื่องจากรัฐบาลต้องการใช้ทรัพยากรตัวเอง โดยเฉพาะจากเชลก๊าซ และสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมอัปสตรีม-ดาวน์สตรีม
แรงกดดันนี้มีรากมาจากปัญหาโครงสร้างการเงินของสหรัฐฯ ทั้งการขาดดุลการค้าขนาดใหญ่ หนี้สาธารณะสะสม และงบประมาณขาดดุลต่อเนื่อง รัฐบาลจึงหันมาใช้มาตรการ “ลดดอกเบี้ย-กดค่าเงินดอลลาร์” เพื่อดันการส่งออกให้ออกมาแข่งขันได้ ผลลัพธ์คือ เงินบาทแข็งค่า ขณะที่ผู้ส่งออกไทยต้องเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้น และยังถูกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าหลายประเภทที่สหรัฐฯ กำหนดสูงถึง 19% ในขณะที่สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มายังไทยส่วนใหญ่แทบไม่ถูกเก็บภาษี
สำหรับเครือซีพี ผลที่ตามมาคือการ “ปรับซัพพลายเชนครั้งใหญ่” เดิมบริษัทพึ่งพาวัตถุดิบอาหารสัตว์จากยุโรปตะวันออกและอเมริกาใต้ เช่น บราซิล แต่ภายใต้เงื่อนไขใหม่ต้องหันไปนำเข้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น ทำให้ต้องทบทวนต้นทุนและกลยุทธ์อย่างใกล้ชิด
แต่ในอีกมุมหนึ่ง คุณศุภชัยมองว่า วิกฤตยังแฝงด้วยโอกาส เพราะกระแส “China+1” ทำให้หลายบริษัททั่วโลกย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยไม่เพียงแต่นักลงทุนตะวันตกเท่านั้น แม้แต่จีนเองก็ผลักดันการลงทุนออกไปนอกประเทศ ไทยจึงเริ่มได้รับอานิสงส์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอีวีและอิเล็กทรอนิกส์ ล่าสุด “ไฮเปอร์สเกลเลอร์” ของสหรัฐฯ ก็เข้ามาปักหมุดในอาเซียน เนื่องจากตลาดภูมิภาคยังเติบโตได้ดี และจีนไม่สามารถใช้เทคโนโลยีสหรัฐฯ ได้โดยตรง จึงต้องหาทางอ้อมผ่านประเทศที่สาม
สำหรับกระแสย้ายฐานการผลิต คุณศุภชัยยกกรณีศูนย์ข้อมูล หรือ Data Center เป็นตัวอย่างชัดเจน เพราะแต่เดิมหลายแห่งตั้งอยู่ในมาเลเซีย เพราะมีต้นทุนพลังงานถูกจากการอุดหนุน แต่เมื่อพลังงานราคาต่ำหมดสิทธิ์ขยายต่อ ศูนย์ข้อมูลจำนวนหนึ่งจึงย้ายเข้ามาที่ไทยทันที อย่างไรก็ตาม คำถามใหญ่คือ “ไทยมีไฟฟ้าและน้ำเพียงพอหรือไม่” เนื่องจากตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเพิ่มกำลังไฟฟ้าใหม่เพียง 100-150 เมกะวัตต์ แต่ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่หนึ่งแห่งกลับใช้ไฟฟ้า 1,000-3,000 เมกะวัตต์ นี่ยังไม่นับความต้องการจากนิคมอุตสาหกรรมและการผลิตอีวีที่จะตามมา
ดังนั้น ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่แค่การดึงดูดนักลงทุน แต่ยังรวมถึงการรับมือกับโครงสร้างพื้นฐานที่จะต้องรองรับ “กิกะสเกล” ของธุรกิจใหม่อย่างจริงจัง ทั้งไฟฟ้าจากก๊าซ พลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ และพลังงานน้ำจากลาว
นอกจากนี้ คุณศุภชัยเสนอว่า ไทยควรใช้โอกาสนี้ผลักดันตนเองให้กลายเป็น Green Finance Hub ของอาเซียน โดยใช้มาตรการสนับสนุนทางการเงิน เช่น ดอกเบี้ยกู้ต่ำ กองทุนพิเศษ หรือมาตรการภาษี เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุน และช่วยเอสเอ็มอีไทยปรับตัวเข้าสู่ซัพพลายเชนใหม่ คุณศุภชัยมองว่าโลกกำลังหนุนทิศทางนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นธนาคารโลก (World Bank) บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) หรือสถาบันการเงินระดับโลกที่ต้องการสนับสนุนโครงการลดคาร์บอน “ถ้าเงินต้นทุนถูกลง เศรษฐกิจสีเขียวจะเร่งตัวได้เร็วกว่าที่คิด”
ขณะเดียวกัน คุณศุภชัยเตือนว่าเอกชนไทยต้อง “ไม่รอให้ถูกบังคับ แต่ควรเปลี่ยนแปลงเอง” องค์กรธุรกิจควรถูกออกแบบใหม่ให้เป็น “ห้องทดลองเล็กๆ” เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ทดลองแนวคิดใหม่ๆ เรียนรู้จากความล้มเหลวเล็กๆ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พร้อมรับยุค Innovationism หรือยุคที่นวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น AI, Robotics และ Cloud Computing จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
คุณศุภชัยย้ำว่า แม้บริษัทใหญ่ก็ต้องทำงานร่วมกับแล็บอื่น สตาร์ทอัพ และมหาวิทยาลัย เพราะคนรุ่นใหม่กว่า 2 ล้านคนในมหาวิทยาลัยไทยคือคลังไอเดียที่ยังไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ขณะที่ผู้บริหารรุ่นเก่าหลายคนยังติดอยู่กับกรอบความคิดเดิมและเทคโนโลยีที่ล้าสมัย คนรุ่นใหม่เหล่านี้เกิดมาในยุคที่มี AI อยู่แล้ว เป็น “AI-native” และกำลังจะกลายเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา (IP) รายสำคัญ
อีกหนึ่งเงื่อนไขสำคัญคือ “การเปิดประเทศดึงทาเลนต์โลก” ศุภชัยยกตัวอย่างสิงคโปร์ซึ่งมีประชากร 6 ล้าน แต่มีแรงงานต่างชาติคุณภาพสูงถึง 2 ล้านคน ขณะที่ไทยมีประชากร 70 ล้าน แต่แรงงานต่างชาติส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ทักษะ หากไทยสามารถดึงผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีเข้ามาได้ 5-7 ล้านคน พร้อมแพ็กเกจด้านภาษี ความปลอดภัย และคุณภาพชีวิต จะทำให้ประเทศมี “ผู้เสียภาษีเพิ่มทันที” และขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจใหม่อย่างรวดเร็ว
เมื่อถูกถามว่าองค์กรควรปรับตัวอย่างไรในปีหน้า คุณศุภชัยแนะนำว่า ผู้บริหารควรเปลี่ยน “ทริปท่องเที่ยว” ให้เป็น “ทริปเรียนรู้” เดินทางไปพบผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ดูโรงงานและเทคโนโลยีจริงๆ เพื่อให้เห็นว่าคู่แข่งปรับตัวอย่างไร เขาเล่าว่ากองทุนเทคโนโลยีระดับโลกเคยบอกชัดว่า “ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพไทยส่วนใหญ่ไม่มีวิสัยทัศน์นอกประเทศ” และนั่นคือสาเหตุที่นักลงทุนไม่เลือกลงเงิน
โดยสรุป คุณศุภชัย มองว่า ประเทศไทยต้องเดินพร้อมกันสามเสาหลัก คือ 1) เร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและการเงินสีเขียว เพื่อรองรับการลงทุนใหม่ 2) ทำให้เอกชนและเอสเอ็มอีเป็น “ห้องทดลองแห่งนวัตกรรม” ที่เรียนรู้เร็วและเชื่อมโยงกับโลก และ 3) เปิดประเทศดึงทาเลนต์และสร้างวิสัยทัศน์โกลบอลให้ผู้ประกอบการไทย
หากทำได้ คุณศุภชัยเชื่อว่าไทยจะไม่เพียงแค่ “อยู่รอด” ในโลกสองขั้ว แต่จะก้าวขึ้นเป็น ศูนย์กลางซัพพลายเชนและเศรษฐกิจยั่งยืน ของภูมิภาคในที่สุด
ด้านคุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี กล่าวถึงประเด็นที่ภาคธุรกิจไทยต้องเผชิญในปัจจุบันว่า โลกกำลังถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วอำนาจใหญ่ (polarization) และนโยบายทางการค้าที่เกี่ยวข้องกำลังส่งผลโดยตรงต่อการออกแบบซัพพลายเชน โดยเฉพาะ Transshipment Policy ที่สหรัฐอเมริกาใช้เป็นกลไกในการควบคุมการค้าระหว่างประเทศ ด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 40% กับสินค้าที่เข้าข่ายสวมสิทธิ์
แม้ปัจจุบัน สหรัฐฯ ยังไม่ได้ประกาศกฎ Transshipment Policy ออกมาอย่างชัดเจน แต่มีโอกาสค่อนข้างสูงที่สหรัฐฯ จะตั้งเกณฑ์ให้สินค้าที่ผลิตในประเทศนั้นๆ สัดส่วนวัตถุดิบจากท้องถิ่นหรือภูมิภาค (local/regional content) 40% ขึ้นไป โดยหากเป็นจริง สินค้าไทยมีสัดส่วนวัตถุดิบจากท้องถิ่นหรือภูมิภาค ไม่ต่ำกว่า 40% จะสามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษี 19% อย่างที่รัฐบาลไทยได้เจรจาไว้ แต่หากต่ำกว่านั้นจะถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเพียงแค่ตัวเลขสัดส่วน ก็สามารถกำหนดทิศทางการแข่งขันได้โดยตรง คุณธรรมศักดิ์ย้ำว่า สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือความไม่แน่นอน เพราะสัดส่วน 40% อาจถูกปรับขึ้นเป็น 60% ได้ทุกเมื่อ ขึ้นอยู่กับคนๆ เดียว นั่นก็คือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าวันนี้จะบังคับใช้นโยบายแบบไหน
คุณธรรมศักดิ์ชี้ว่า เพื่อเตรียมตัวรับมือนโยบายดังกล่าว ผู้ประกอบการไม่ควรออกแบบซัพพลายเชนเพียงเพื่อให้สอดรับเกณฑ์ปัจจุบัน แต่ควรวางเผื่อไปที่ 60% ตั้งแต่ต้น เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในระยะยาว อีกทั้งยังต้องตระหนักว่า การทำซัพพลายเชนแบบ “Transactional” หรือดีลระยะสั้น ไม่สามารถทำให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน สิ่งที่จำเป็นคือการเปลี่ยนสู่ “Collaboration” เพื่อยกระดับขีดความสามารถทั้งระบบ และทำให้ห่วงโซ่อุปทานมีความแข็งแกร่งท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งสหรัฐฯ และจีน
คุณธรรมศักดิ์ ยังเชื่อมโยงไปถึงปัจจัยใหม่ที่ไม่อาจเลี่ยงได้ เช่น กฎด้าน ESG และ การลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) ซึ่งกำลังกลายเป็นเงื่อนไขบังคับของตลาดโลก โดยมองว่าการปฏิบัติตามแนวทาง ESG กำลังจะกลายเป็น License to Play คือ เป็นเงื่อนไขในการทำการค้าระหว่างประเทศ ไม่ใช่ว่าทำแล้วได้เปรียบ แต่ถ้าไม่ทำอีกหน่อยก็จะไม่สามารถค้าขายกับใครได้ ดังนั้นการปรับตัวล่าช้าจึงอาจทำให้เสียโอกาสทันที และการยกระดับซัพพลายเชนไปสู่รูปแบบ “Green Supply Chain” จึงต้องเกิดขึ้นอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
ด้านการปรับตัวของ SCG รวมถึงภาครัฐและภาคเอกชนไทยต่อระบบการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลง คุณธรรมศักดิ์อธิบายว่า กลยุทธ์หลักในการเผชิญกับ “Perfect Storm” คือการเดินหน้าสองแนวทางไปพร้อมกัน ได้แก่ การปรับธุรกิจเดิมให้ยังคงแข่งขันได้ และการสร้าง “เครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่” (New Economic Engine) เพื่อเป็นฐานการเติบโตระยะยาว
ในระดับบริษัท หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของ SCG คือ Net Zero Accelerated Program และ Go Together Platform ซึ่ง SCG เปิดเป็นพื้นที่ให้เครือข่ายซัพพลายเชนเข้ามาศึกษาและเรียนรู้ร่วมกัน ปัจจุบันมีผู้ประกอบการกว่า 4,000 รายที่เข้ามาเยี่ยมชมและดูงาน จุดเด่นคือ SCG ไม่เพียงแต่โชว์ตัวอย่างความสำเร็จ แต่ยังเปิดเผยประสบการณ์ความล้มเหลวอย่างตรงไปตรงมา เช่น การติดตั้งโซลาร์รูฟที่เคยประสบปัญหาแผ่นลอกหรือไฟไหม้ในอดีต รวมถึงการนำหุ่นยนต์และ AI มาใช้ในโรงงานที่กลับไม่เหมาะสมกับสภาพจริง สิ่งเหล่านี้ถูกแชร์เป็น Lessons-Learned เพื่อให้ทุกฝ่ายรู้ว่าอะไรทำได้ผลและอะไรไม่ควรทำ
“เราต้องแชร์กัน ถ้าลองแล้วไม่เวิร์ก ต้องรีบบอกให้ทุกคนรู้ว่าไม่เวิร์ก แต่ถ้าเวิร์ก ก็ต้องรีบบอกให้รู้ว่าเวิร์ก” เขากล่าว พร้อมย้ำว่าการเปิดเผยทั้ง Good Story และ Bad Story คือสิ่งที่จะทำให้เครือข่ายซัพพลายเชนเข้มแข็งขึ้นจริง นี่คือการเร่งอัพเกรด Competitiveness ควบคู่กับ Agility ของระบบเศรษฐกิจโดยรวม
คุณธรรมศักดิ์ยังเตือนว่า หลายอุตสาหกรรมอาจไม่รอดหากไม่ปรับตัว และไม่ควรยื้อธุรกิจที่ “ไม่ Competitive” หรือ “ไม่สอดคล้องกับ Long-term Trend” ให้ดำเนินต่อไป เพราะจะกลายเป็นภาระทั้งต่อองค์กรและต่อเศรษฐกิจในภาพรวม “สำหรับผม ปิดเร็วยิ่งดี เพราะจะได้โฟกัสทรัพยากร เวลา และการจัดการไปที่สิ่งที่มีศักยภาพจริง ๆ” เขากล่าว พร้อมย้ำว่านี่คือ “Fact of Life” ของโลกธุรกิจ
อีกหนึ่งประเด็นใหญ่ที่คุณธรรมศักดิ์หยิบยกขึ้นมา คือ การลงทุนใหม่ที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI มูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของประเทศ คุณธรรมศักดิ์อธิบายว่า หากแม้เพียงหนึ่งล้านล้านบาทสามารถถูกแปลงเป็นการลงทุนจริง จะเพียงพอที่จะสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนได้อีก 10-20 ปี และประโยชน์จะถูกกระจายลงไปถึง SMEs และ nano SMEs อย่างกว้างขวาง เขาเปรียบเทียบว่าในอดีต การได้ BOI เพียง 2-4 แสนล้านบาทก็ถือว่าเป็นข่าวดีแล้ว แต่ครั้งนี้มากถึง 1.4 ล้านล้านบาท หากรัฐบาลสามารถเร่ง Convert Approval เป็น Real Implementation ได้จริง จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่มีน้ำหนักมหาศาล
เขายังเสนอว่าประเทศไทยต้อง “Clean up Policy” หรือปรับปรุงนโยบายการดึงดูดการลงทุน และสร้างระบบสนับสนุนแบบ One Stop One Pass ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เม็ดเงินลงทุนดังกล่าวเกิดขึ้นจริงโดยเร็ว และแปลงเป็นคุณค่าทางเศรษฐกิจที่ตกผลึกต่อเนื่องลงสู่ทุกภาคส่วน
คุณธรรมศักดิ์ยังชี้ว่า ไทยและอาเซียนยังถือเป็น Bright Spot ของเศรษฐกิจโลก แม้จะมีปัญหาและความท้าทาย แต่ก็ยังเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพและดึงดูดนักลงทุน คุณธรรมศักดิ์เน้นว่าเราจำเป็นต้องเร่ง Ignite Human Power, Startup Process และ Collaboration ให้เร็วขึ้น เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมีพลัง ขณะเดียวกัน ภาวะ Polarization ระหว่างมหาอำนาจที่หลายฝ่ายกังวล สามารถพลิกเป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ หากไทยสามารถปรับซัพพลายเชนให้เหมาะสมกับทั้งสองขั้ว
ท้ายที่สุด คุณธรรมศักดิ์ย้ำว่า ช่วง 1-2 ปีนี้เป็นเหมือนการ “กัดฟัน” เพื่อปรับปรุงธุรกิจเดิมให้แข็งแกร่งและยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมกับทดลองและเร่งลงทุนในเศรษฐกิจใหม่อย่างจริงจัง Perfect Storm ยังไม่จบ จะมีอีกหลายระลอกที่ถาโถมเข้ามา แต่ถ้าเราปรับตัวสองด้านนี้ได้ คือ Transform ธุรกิจเดิม และ Test and Learn สร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ ไทยก็จะสามารถก้าวไปสู่เส้นทางการเติบโตได้อีกครั้ง
คุณธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในช่วงห้าปีที่ผ่านมา โลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและยากคาดการณ์จนทำให้ “ประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอด 37 ปีแทบใช้ไม่ได้เลย” คุณธีรพงศ์ระบุว่าเหตุการณ์ตั้งแต่โควิด-19 การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การปรับขึ้นดอกเบี้ยสูง ไปจนถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครนและความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ล้วนกระทบโดยตรงต่อซัพพลายเชนอาหารทะเลซึ่งเป็นธุรกิจหลักของไทยยูเนี่ยน
คุณธีรพงศ์ เผยว่า ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนพึ่งพาตลาดต่างประเทศถึง 90% ของรายได้ โดยสหรัฐฯ เป็นตลาดหลัก 40% และยุโรปอีก 30% ทำให้บริษัทอยู่ในตำแหน่งที่เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าโลก “เราเหมือนอยู่ผิดที่ผิดเวลาตลอด” คุณธีรพงศ์กล่าว พร้อมชี้ว่าปี 2023 บริษัทต้องปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8-10% จากแรงกดดันเงินเฟ้อ แต่การขึ้นราคากลับทำให้ผู้บริโภคในตลาดหลักลดการใช้จ่าย และส่งผลให้กำลังการผลิตทั่วโลกล้นเกินจนเกิดภาวะ Oversupply
คุณธีรพงศ์ ยังเปรียบสถานการณ์ธุรกิจช่วงนี้ว่าเหมือนภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย “ตอนจบพระเอกอาจไม่ตาย แต่ก็สะบักสะบอม” โดยมองว่าตั้งแต่โควิดเป็นต้นมา แม้ผู้ประกอบการจะหวังว่าธุรกิจจะกลับมาเดินหน้าได้ง่ายขึ้น แต่กลับต้องเผชิญวิกฤตต่อเนื่อง ทั้งสงครามยูเครน, ความตึงเครียดในอิสราเอล และล่าสุดคือการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่สูงถึง 36%
ปัจจุบัน คุณธีรพงศ์ยอมรับว่าการเก็บภาษี 36% จากสหรัฐฯ เป็นปัจจัยที่เหนือความคาดหมายมากที่สุด และเป็นสิ่งที่ “ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นได้” และหากอัตรานี้คงอยู่ ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากอาจหายไปจากตลาดโลก โดยแม้ไทยยูเนี่ยนจะมีฐานการผลิตหลายประเทศ แต่ก็ไม่เคยต้องเผชิญกับความเหลื่อมล้ำของภาษีที่ชัดเจนเช่นนี้ ทำให้ต้องเร่งปรับตัวรับผลกระทบจากมาตรการนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในภาวะเช่นนี้ คุณธีรพงศ์เน้นว่าการมีรัฐบาลที่เข้มแข็งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นระดับรัฐต่อรัฐ โดยยกตัวอย่างว่าช่วงสองเดือนแรกอินโดนีเซียและเวียดนามสามารถเข้าพบรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทันที ขณะที่ไทยต้องรอ แต่สุดท้ายสามารถเจรจาลดภาษีเหลือ 19% ถือเป็นระดับที่ยังแข่งขันได้
ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้ไทยยูเนี่ยนตัดสินใจ “ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่” โดยมองว่านโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็น “Wake up Call” ครั้งสำคัญที่ฉีกกติกาการค้าโลกจนบริษัทต้องเร่งสร้างภูมิคุ้มกันใหม่ กลยุทธ์หลักมีสามข้อ ได้แก่ ทำให้องค์กรง่ายขึ้น (Simpler) คล่องตัวขึ้น (Leaner) รักษาความสามารถด้านต้นทุน (Cost-competitive) และเร่งความเร็วในการตัดสินใจ (Faster) ทั้งหมดเพื่อให้บริษัทมีความยืดหยุ่น (Resilience and Agility) รองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต คุณธีรพงศ์ยังเชื่อว่าผู้ประกอบการไทยต้องมองหาตลาดใหม่อย่างจริงจัง เนื่องจากแรงกดดันเชิงภูมิรัฐศาสตร์บังคับให้ธุรกิจต้อง “เลือกข้าง” โดยเฉพาะในกรณีการค้ากับสหรัฐฯ และจีน ไทยจึงควรเร่งเจรจา FTA กับประเทศหลัก โดยเฉพาะสหภาพยุโรปที่ค้างมานานกว่า 20 ปี ซึ่งอาจถึงเวลาที่เหมาะสมเพราะยุโรปเองก็มองหาตลาดใหม่ ขณะเดียวกัน องค์กรเองต้องลงทุนในบุคลากรและเทคโนโลยีใหม่เพื่อสร้างขีดความสามารถระยะยาว
ซีอีโอไทยยูเนี่ยนสรุปว่า การปรับตัวไม่ใช่ภารกิจเฉพาะกิจ แต่เป็นงานต่อเนื่องที่องค์กรต้องทำทุกวัน เขาฝากข้อคิดว่าภาคธุรกิจจำเป็นต้องเข้าใจบริบทโลกอย่างลึกซึ้ง ทบทวนจุดอ่อนของตนเอง วางระบบป้องกันความเสี่ยง และเตรียมพร้อมรับโอกาสใหม่จากโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน หากทำได้จึงจะสามารถยืนหยัดอยู่รอดในยุคแห่งความผันผวนได้