สัปดาห์ที่ผ่านมา บาหลี จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยอดนิยมของผู้คนทั่วโลก ซึ่งตั้งอยู่ในอินโดนีเซีย เผชิญกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ และดินถล่ม ซึ่งส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิต 16 ราย
แต่ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกาะบาหลีกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาขยะที่ล้นทะลัก และการจัดการที่ไม่ดีพอ
นายฮานิฟ ไฟโซล นูโรฟิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า เหตุน้ำท่วมในเมืองเดนปาซาร์ เกิดจากท่อระบายน้ำอุดตันหลังเผชิญฝนตกหนักติดต่อกันสองวัน
เขาระบุว่า ปัญหาการจัดการขยะที่ไม่เป็นระบบยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง โดยน้ำท่วมครั้งนี้รุนแรงขึ้นเพราะกองขยะมหาศาลที่อุดตันท่อระบายน้ำ และย้ำว่า “โศกนาฏกรรมนี้ต้องเป็นบทเรียนสำคัญ”
ปัญหาขยะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่บนเกาะบาหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขยะพลาสติก แต่ข้อมูลชี้ว่านักท่องเที่ยวสร้างขยะมากกว่าชาวบ้านถึงสามเท่า ทำให้นักท่องเที่ยวกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม การปรับพฤติกรรมอย่างง่าย เช่น หลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และสนับสนุนธุรกิจที่ดำเนินงานอย่างยั่งยืน ถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยปกป้องบาหลี
หลายโครงการท้องถิ่นได้ลุกขึ้นมามีบทบาทสำคัญ เช่น Community Waste Project ที่สามารถจัดการขยะได้มากถึงวันละ 10 ตัน ช่วยลดการนำไปฝังกลบ พร้อมส่งเสริมการรีไซเคิลในโรงแรมและร้านอาหาร ขณะเดียวกัน องค์กร Bye Bye Plastic Bags มีส่วนผลักดันให้เกิดการแบนถุงพลาสติกและหลอดพลาสติก และโครงการ Sungai Watch ก็ติดตั้งแนวกั้นในแม่น้ำเพื่อสกัดขยะไม่ให้ไหลลงทะเล สามารถเก็บขยะได้แล้วหลายล้านกิโลกรัม
แม้รัฐบาลท้องถิ่นกำลังเร่งจัดการปัญหาขยะตกค้าง แต่รัฐมนตรีก็ยอมรับว่า ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น
รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของอินโดนีเซียยังย้ำถึงอีกหนึ่งประเด็น คือการเปลี่ยนพื้นที่นาและพื้นที่สีเขียวให้กลายเป็นโรงแรม วิลลา และคาเฟ่เพื่อรองรับการท่องเที่ยวว่า เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้บาหลีสูญเสียความสามารถตามธรรมชาติในการดูดซับน้ำ
“เราไม่ควรประมาท เพราะเมื่อภูมิทัศน์ถูกทำลาย ธรรมชาติก็จะปรับสมดุลของตัวเองด้วยภัยพิบัติแบบนี้” เขากล่าว พร้อมเรียกร้องให้ทางการวางแผนการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นายอี วายัน โคสเตอร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบาหลี ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าการเปลี่ยนการใช้ที่ดินในนครเดนปาซาร์เป็นต้นเหตุโดยตรงของน้ำท่วม โดยระบุว่า การพัฒนาเชิงพาณิชย์เกิดขึ้นมากในพื้นที่นอร์ทกูตา (บาดุง) และบางส่วนของจิอันยาร์ ไม่ใช่ในตัวเมืองเดนปาซาร์ ดังนั้นจึงมองว่า น่าเป็นปัญหาเส้นทางการไหลของน้ำ ไม่ใช่การใช้ที่ดินในเมือง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิ่งแวดล้อม วอลฮี บาหลี เปิดเผยรายงานว่า ระหว่างปี 2018 ถึง 2023 พื้นที่ในเขตมหานครซาบากิตา ซึ่งครอบคลุมเดนปาซาร์ บาดุง จิอันยาร์ และตาบานัน มีการเสื่อมโทรมของที่ดินเพิ่มขึ้นราว 3–6% ส่งผลให้พื้นที่เกษตรกรรมลดลงอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้นักท่องเที่ยวเกินขีดความสามารถในการรองรับของบาหลี ได้แก่ ราคาตั๋วเครื่องบินที่ถูกและวีซ่าง่าย สายการบินราคาประหยัดที่ดึงดูดผู้คนจำนวนมหาศาล รวมถึงกระแสโซเชียลมีเดียที่ทำให้จุดถ่ายรูปดังแน่นขนัด ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม ถนนแคบ ขาดแคลนน้ำ ปัญหาจัดการขยะ
หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปโดยไร้การควบคุม บาหลีเสี่ยงเผชิญหายนะทางสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ชายหาดเต็มไปด้วยพลาสติก แหล่งน้ำร่อยหรอ แนวปะการังตาย ไปจนถึงชาวบ้านถูกบีบให้ย้ายออกเพราะค่าเช่าแพงและความแออัด นอกจากนี้ยังเสี่ยงสูญเสียวัฒนธรรม เมื่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ถูกเปลี่ยนเป็นเพียงฉากถ่ายรูป
ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวผ่านกระแสอย่าง “Bali is Not for Tourists, Bali is for Balinese” ที่สะท้อนเสียงคนท้องถิ่น ขณะที่นักวิชาการและนักอนุรักษ์เรียกร้องให้บาหลีหันมาสู่ “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” ซึ่งหมายถึงการพัฒนาที่สร้างสมดุลทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต
แนวคิดนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบโต้ผลกระทบด้านลบจากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวมวลชนที่เติบโตแบบไร้แผน คุมไม่อยู่ และเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก จนนำไปสู่การเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นในหลายพื้นที่ทั่วโลก
CNA, thejakartapost