Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
รู้จัก L&I ETF ตัวช่วยเพิ่มกำไร-ลดขาดทุน เอาอยู่ทั้งตลาดขาขึ้น-ขาลง
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

รู้จัก L&I ETF ตัวช่วยเพิ่มกำไร-ลดขาดทุน เอาอยู่ทั้งตลาดขาขึ้น-ขาลง

24 ก.ย. 68
16:50 น.
แชร์

ในโลกการลงทุนมีเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้การลงทุนของเราได้ผลตอบแทนมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ Leveraged ETF และ Inverse ETF (L&I ETF) ซึ่งเป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่ง ที่ช่วยเพิ่มโอกาสสร้างกำไรและช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงของพอร์ตในระยะสั้น

Leveraged ETF และ Inverse ETF กำลังมาแรงทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา สำหรับในประเทศไทย เครื่องมือการลงทุนตัวใหม่นี้ก็มาถึงแล้ว โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้แถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่นี้เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา 

รินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวในงานแถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ว่า Leveraged ETF และ Inverse ETF เป็นนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและกลยุทธ์การลงทุน 

สำหรับ Leveraged ETF และ Inverse ETF ที่จะซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครั้งแรกในวันศุกร์ ที่ 26 กันยายน 2568 มี 3 กองทุน อ้างอิงดัชนี SET50 Total Return Index (SET50 TRI) ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บางกอกแคปปิตอล จำกัด (BCAP) และมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่ายและผู้ดูแลสภาพคล่อง นักลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนได้เช่นเดียวกับหุ้นสามัญทั่วไป 

ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลักทรัพย์บัวหลวง และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บางกอกแคปปิตอล จำกัด หรือ BCAP จับมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ Leveraged EFT และ Inverse ETF (L&I ETF) อ้างอิงดัชนี SET50 Total Return Index (SET50 TRI) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสเพิ่มผลตอบแทนและบริหารความเสี่ยงของพอร์ตในสภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง 

ทั้งนี้ การออก Leveraged EFT และ Inverse ETF เป็นไปตามการปรับปรุงเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่สามารถให้ผู้ลงทุนทั่วไปศึกษาข้อมูลและลงทุน L&I ETF ได้ โดยเกณฑ์ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา 

“ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ L&I ETF ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา, ยุโรป และฮ่องกง เนื่องจากสามารถเพิ่มผลตอบแทนและช่วยบริหารความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่ตลาดผันผวน เราเชื่อว่า กองทุน L&I ETF ชุดแรกของไทย จะเป็นหนึ่งก้าวสำคัญของพัฒนาการตลาดทุนไทยที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นสภาพคล่อง พร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงเครื่องมือการลงทุนที่ทันสมัย ใช้งานง่าย และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งอาวุธใหม่ของนักลงทุนที่จะช่วยให้การลงทุนมีความครบเครื่องมากยิ่งขึ้น” ชัยพรกล่าว 

ในโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยกำลังมีโปรดักต์ใหม่ให้เลือกลงทุนนี้ SPOTLIGHT ขอชวนรู้จัก Leveraged ETF และ Inverse ETF หรือ L&I ETF ว่าทำงานอย่างไร จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนอย่างไร 

Leveraged ETF ช่วยเพิ่มกำไร 

Leveraged ETF เป็น ETF ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทนในช่วงตลาดขาขึ้น โดยมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนรายวันไปทางเดียวกันกับดัชนีตามอัตราทด เช่น 2 เท่า (2X) เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มั่นใจในทิศทางตลาดและต้องการขยายโอกาสทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของดัชนี 

ตัวอย่างเช่น หากดัชนี SET50 TRI รายวันปรับตัวขึ้น 1% กองทุน Leveraged ETF (2X) ก็จะมีผลตอบแทนรายวันปรับขึ้นประมาณ 2% ในทางกลับกัน หากดัชนี SET50 TRI รายวันปรับตัวลง 1% ผลตอบแทนรายวันของกองทุน Leveraged ETF จะปรับลดลงประมาณ 2% และถ้าดัชนีปรับตัวขึ้น 5% กองทุน กองทุน Leveraged ETF (2x) ก็จะทำให้ผลตอบแทนกลายเป็น 10% 

แต่ในทางกลับกัน ถ้าดัชนีปรับตัวลดลง 1% กองทุน Leveraged ETF (2x) ก็จะทำให้ผู้ลงทุนต้องขาดทุน 2% และถ้าดัชนีปรับตัวลง 5% กองทุน Leveraged ETF (2x) จะทำให้ผู้ลงทุนต้องขาดทุน 10%

ดังนั้น Leveraged ETF จึงเหมาะใช้กับกรณีที่คาดว่าตลาดจะมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นเท่านั้น 

Inverse ETF ช่วยป้องกัน-ลดขาดทุน 

ส่วน Inverse ETF เป็นกองทุนรวมที่ออกแบบมาเพื่อสร้างผลตอบแทนรายวันไปในทิศทางตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิง ทำหน้าที่เป็น “ตัวเสริมพอร์ต” ช่วยสร้างโอกาสการทำกำไรหรือใช้ป้องกันความเสี่ยง ลดการขาดทุน เหมาะสำหรับการลงทุนในช่วงเวลาที่คาดการณ์ว่าตลาดจะปรับตัวลง 

โปรดักต์ Inverse ETF ที่มีในตลาด คือ Inverse ETF (-1X) ซึ่งมีเป้าหมายให้ผลตอบแทน -100% ของผลตอบแทนรายวัน คือเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิง เช่น หากดัชนีอ้างอิงลดลง 1% กองทุน Inverse ETF (-1x) จะเพิ่มขึ้น 1% และในทางกลับกัน หากดัชนีอ้างอิงเพิ่มขึ้น 1% มูลค่ากองทุน Inverse ETF (-1x) จะลดลง 1% 

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอีกตัวทีเด็ดสำหรับใครที่มั่นใจว่าตลาดจะปรับตัวลง คือ Inverse Leveraged ETF (-2X) ที่ให้ผลตอบแทนตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิงพร้อมกับทวีคูณผลตอบแทนนั้นด้วย เหมาะใช้สร้างกำไรในสภาพตลาดขาลง ตัวอย่างเช่น หากดัชนีอ้างอิงลดลง 1% กองทุน Inverse Leveraged ETF (-2X) จะเพิ่มขึ้น 2% แต่หากดัชนีอ้างอิงเพิ่มขึ้น 1% กองทุนจะลดลง 2%

คำนวณผลตอบแทนอย่างไร

Leveraged ETF และ Inverse ETF จะรีเซ็ตผลตอบแทนใหม่ทุกวัน (Daily Reset) โดยใช้ราคาปิดของวันก่อนหน้าเป็นฐานในการคำนวณ หากนักลงทุนถือสถานะเกิน 1 วัน ต้องทราบว่าผลตอบแทนอาจแตกต่างจากระดับ Leveraged ที่ระบุไว้ เนื่องจากการคำนวณผลตอบแทนใหม่ทุกวันทำให้เกิดผลของการทบต้น (Compounding Effect) ซึ่งส่งผลต่อผลตอบแทนโดยรวม 

ดังนั้น Leveraged ETF และ Inverse ETF จึงเหมาะกับการลงทุนระยะสั้น ควรพิจารณาการถือครองไม่เกิน 1 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดผันผวน

Leveraged และ Inverse ETF ทำงานอย่างไร จึงได้ผลลัพธ์แบบนี้ 

เบื้องหลังของกลยุทธ์ Leveraged ETF และ Inverse ETF คือ การใช้เครื่องมือทางการเงินในการบริหารจัดการเพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามที่ระบุไว้ ได้แก่ 

Futures: ใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเลียนแบบการเคลื่อนไหวของดัชนี โดย Leveraged ETF จะซื้อสัญญา Futures หากคาดว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้น ส่วน Inverse ETF จะขายสัญญา Futures เพื่อสร้างผลตอบแทนในทิศทางตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิง  

Swaps: ใช้สัญญาแลกเปลี่ยนกระแสเงินสด (Swaps) กับสถาบันการเงิน เพื่อแลกเปลี่ยนผลตอบแทนของสินทรัพย์อ้างอิง 

Leverage: Leveraged ETF จะใช้การกู้ยืมเงิน (Borrowing) หรือการใช้มาร์จิ้น (Margin) เพื่อเพิ่มอำนาจในการซื้อหลักทรัพย์หรือสัญญา Futures ต่างๆ  

Options: Inverse ETF บางกองอาจใช้ Put Options (ขาย) สินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อสร้างผลตอบแทนตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิง หรือ Leveraged ETF อาจใช้ Call Options (ซื้อ) สินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อเพิ่มผลตอบแทน

จุดเด่นและความเสี่ยงของ L&I ETF

Leveraged และ Inverse ETF มอบโอกาสทำกำไรที่สูงขึ้น และช่วยป้องกันหรือลดการขาดทุน แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงด้วยเช่นกัน 

จุดเด่นของ Leveraged และ Inverse ETF ได้แก่ 

  • ได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ไม่มีหมดอายุ อัตราทดคงที่ ช่วยเพิ่มผลตอบแทนในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ทำกำไรในตลาดขาลง ไม่ต้องวางหลักประกันเพิ่ม โดย Inverse ETF จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวลดลง
  • ความยืดหยุ่นในการซื้อขาย สามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นสามัญทั่วไป

ส่วนความเสี่ยงที่นักลงทุนควรตระหนักถึง คือ 

  • Tracking Error Risk: ความเสี่ยงจากการคลาดเคลื่อนของผลตอบแทนจากดัชนีอ้างอิงที่ใช้เปรียบเทียบ
  • Market Risk: ผลกระทบจากภาวะตลาดที่อาจทำให้มูลค่ากองทุนเปลี่ยนแปลงตามสภาพตลาด เนื่องจาก L&I ETF มีความผันผวนสูงกว่าดัชนีอ้างอิง
  • Liquidity Risk: ความเสี่ยงจากการที่ไม่สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ในราคาที่ต้องการ
  • Foreign Exchange Rate Risk: ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจส่งผลต่อมูลค่าการลงทุน
  • Counterparty Risk: ความเสี่ยงที่เกิดจากคู่สัญญาไม่สามารถทำตามข้อตกลงได้
  • Compounding Effect Risk: ความเสี่ยงจากผลของการทบต้นในระยะยาวที่อาจทำให้ผลตอบแทนแตกต่างจากที่คาดไว้
  • Long-Term Holding Risk: ความเสี่ยงที่ไม่เหมาะสมในการถือครองกองทุน L&I ETF ในระยะยาว เนื่องจาก L&I ETF มีการคำนวณมูลค่าของผลิตภัณฑ์เป็นรายวัน (Daily reset) และมีการคำนวณผลตอบแทนแบบทบต้น ซึ่งอาจทำให้การถือครองเกินกว่า 1 วัน ได้ผลตอบแทนเบี่ยงเบนจากดัชนีอ้างอิง และอาจเกิดการขาดทุนโดยเฉพาะในภาวะตลาดที่มีความผันผวน
  • Leveraged & Inverse Risk: ความเสี่ยงเฉพาะที่เกิดจากการใช้กลยุทธ์เลเวอเรจและย้อนกลับในกองทุน L&I ETF
  • ต้นทุนและค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม: L&I ETF ลงทุนในตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ซึ่งอาจมีต้นทุนเพิ่มเติม เช่น ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม และค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น

อ้างอิง: SET, Bualuang Securities, Dime, InnovestX 

แชร์
รู้จัก L&I ETF ตัวช่วยเพิ่มกำไร-ลดขาดทุน เอาอยู่ทั้งตลาดขาขึ้น-ขาลง