ในโลกการลงทุนมีเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้การลงทุนของเราได้ผลตอบแทนมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ Leveraged ETF และ Inverse ETF (L&I ETF) ซึ่งเป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่ง ที่ช่วยเพิ่มโอกาสสร้างกำไรและช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงของพอร์ตในระยะสั้น
Leveraged ETF และ Inverse ETF กำลังมาแรงทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา สำหรับในประเทศไทย เครื่องมือการลงทุนตัวใหม่นี้ก็มาถึงแล้ว โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้แถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่นี้เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา
รินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวในงานแถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ว่า Leveraged ETF และ Inverse ETF เป็นนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและกลยุทธ์การลงทุน
สำหรับ Leveraged ETF และ Inverse ETF ที่จะซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครั้งแรกในวันศุกร์ ที่ 26 กันยายน 2568 มี 3 กองทุน อ้างอิงดัชนี SET50 Total Return Index (SET50 TRI) ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บางกอกแคปปิตอล จำกัด (BCAP) และมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่ายและผู้ดูแลสภาพคล่อง นักลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนได้เช่นเดียวกับหุ้นสามัญทั่วไป
ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลักทรัพย์บัวหลวง และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บางกอกแคปปิตอล จำกัด หรือ BCAP จับมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ Leveraged EFT และ Inverse ETF (L&I ETF) อ้างอิงดัชนี SET50 Total Return Index (SET50 TRI) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสเพิ่มผลตอบแทนและบริหารความเสี่ยงของพอร์ตในสภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง
ทั้งนี้ การออก Leveraged EFT และ Inverse ETF เป็นไปตามการปรับปรุงเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่สามารถให้ผู้ลงทุนทั่วไปศึกษาข้อมูลและลงทุน L&I ETF ได้ โดยเกณฑ์ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา
“ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ L&I ETF ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา, ยุโรป และฮ่องกง เนื่องจากสามารถเพิ่มผลตอบแทนและช่วยบริหารความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่ตลาดผันผวน เราเชื่อว่า กองทุน L&I ETF ชุดแรกของไทย จะเป็นหนึ่งก้าวสำคัญของพัฒนาการตลาดทุนไทยที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นสภาพคล่อง พร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงเครื่องมือการลงทุนที่ทันสมัย ใช้งานง่าย และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งอาวุธใหม่ของนักลงทุนที่จะช่วยให้การลงทุนมีความครบเครื่องมากยิ่งขึ้น” ชัยพรกล่าว
ในโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยกำลังมีโปรดักต์ใหม่ให้เลือกลงทุนนี้ SPOTLIGHT ขอชวนรู้จัก Leveraged ETF และ Inverse ETF หรือ L&I ETF ว่าทำงานอย่างไร จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนอย่างไร
Leveraged ETF เป็น ETF ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทนในช่วงตลาดขาขึ้น โดยมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนรายวันไปทางเดียวกันกับดัชนีตามอัตราทด เช่น 2 เท่า (2X) เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มั่นใจในทิศทางตลาดและต้องการขยายโอกาสทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของดัชนี
ตัวอย่างเช่น หากดัชนี SET50 TRI รายวันปรับตัวขึ้น 1% กองทุน Leveraged ETF (2X) ก็จะมีผลตอบแทนรายวันปรับขึ้นประมาณ 2% ในทางกลับกัน หากดัชนี SET50 TRI รายวันปรับตัวลง 1% ผลตอบแทนรายวันของกองทุน Leveraged ETF จะปรับลดลงประมาณ 2% และถ้าดัชนีปรับตัวขึ้น 5% กองทุน กองทุน Leveraged ETF (2x) ก็จะทำให้ผลตอบแทนกลายเป็น 10%
แต่ในทางกลับกัน ถ้าดัชนีปรับตัวลดลง 1% กองทุน Leveraged ETF (2x) ก็จะทำให้ผู้ลงทุนต้องขาดทุน 2% และถ้าดัชนีปรับตัวลง 5% กองทุน Leveraged ETF (2x) จะทำให้ผู้ลงทุนต้องขาดทุน 10%
ดังนั้น Leveraged ETF จึงเหมาะใช้กับกรณีที่คาดว่าตลาดจะมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นเท่านั้น
ส่วน Inverse ETF เป็นกองทุนรวมที่ออกแบบมาเพื่อสร้างผลตอบแทนรายวันไปในทิศทางตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิง ทำหน้าที่เป็น “ตัวเสริมพอร์ต” ช่วยสร้างโอกาสการทำกำไรหรือใช้ป้องกันความเสี่ยง ลดการขาดทุน เหมาะสำหรับการลงทุนในช่วงเวลาที่คาดการณ์ว่าตลาดจะปรับตัวลง
โปรดักต์ Inverse ETF ที่มีในตลาด คือ Inverse ETF (-1X) ซึ่งมีเป้าหมายให้ผลตอบแทน -100% ของผลตอบแทนรายวัน คือเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิง เช่น หากดัชนีอ้างอิงลดลง 1% กองทุน Inverse ETF (-1x) จะเพิ่มขึ้น 1% และในทางกลับกัน หากดัชนีอ้างอิงเพิ่มขึ้น 1% มูลค่ากองทุน Inverse ETF (-1x) จะลดลง 1%
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอีกตัวทีเด็ดสำหรับใครที่มั่นใจว่าตลาดจะปรับตัวลง คือ Inverse Leveraged ETF (-2X) ที่ให้ผลตอบแทนตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิงพร้อมกับทวีคูณผลตอบแทนนั้นด้วย เหมาะใช้สร้างกำไรในสภาพตลาดขาลง ตัวอย่างเช่น หากดัชนีอ้างอิงลดลง 1% กองทุน Inverse Leveraged ETF (-2X) จะเพิ่มขึ้น 2% แต่หากดัชนีอ้างอิงเพิ่มขึ้น 1% กองทุนจะลดลง 2%
Leveraged ETF และ Inverse ETF จะรีเซ็ตผลตอบแทนใหม่ทุกวัน (Daily Reset) โดยใช้ราคาปิดของวันก่อนหน้าเป็นฐานในการคำนวณ หากนักลงทุนถือสถานะเกิน 1 วัน ต้องทราบว่าผลตอบแทนอาจแตกต่างจากระดับ Leveraged ที่ระบุไว้ เนื่องจากการคำนวณผลตอบแทนใหม่ทุกวันทำให้เกิดผลของการทบต้น (Compounding Effect) ซึ่งส่งผลต่อผลตอบแทนโดยรวม
ดังนั้น Leveraged ETF และ Inverse ETF จึงเหมาะกับการลงทุนระยะสั้น ควรพิจารณาการถือครองไม่เกิน 1 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดผันผวน
เบื้องหลังของกลยุทธ์ Leveraged ETF และ Inverse ETF คือ การใช้เครื่องมือทางการเงินในการบริหารจัดการเพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามที่ระบุไว้ ได้แก่
Futures: ใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเลียนแบบการเคลื่อนไหวของดัชนี โดย Leveraged ETF จะซื้อสัญญา Futures หากคาดว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้น ส่วน Inverse ETF จะขายสัญญา Futures เพื่อสร้างผลตอบแทนในทิศทางตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิง
Swaps: ใช้สัญญาแลกเปลี่ยนกระแสเงินสด (Swaps) กับสถาบันการเงิน เพื่อแลกเปลี่ยนผลตอบแทนของสินทรัพย์อ้างอิง
Leverage: Leveraged ETF จะใช้การกู้ยืมเงิน (Borrowing) หรือการใช้มาร์จิ้น (Margin) เพื่อเพิ่มอำนาจในการซื้อหลักทรัพย์หรือสัญญา Futures ต่างๆ
Options: Inverse ETF บางกองอาจใช้ Put Options (ขาย) สินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อสร้างผลตอบแทนตรงข้ามกับดัชนีอ้างอิง หรือ Leveraged ETF อาจใช้ Call Options (ซื้อ) สินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อเพิ่มผลตอบแทน
Leveraged และ Inverse ETF มอบโอกาสทำกำไรที่สูงขึ้น และช่วยป้องกันหรือลดการขาดทุน แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงด้วยเช่นกัน
จุดเด่นของ Leveraged และ Inverse ETF ได้แก่
ส่วนความเสี่ยงที่นักลงทุนควรตระหนักถึง คือ
อ้างอิง: SET, Bualuang Securities, Dime, InnovestX