
นโยบาย “รื้อโครงสร้างการลดหย่อนภาษีเพื่อการออม” ของรัฐบาล กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนในสังคม เพราะไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคทางภาษี หากแต่กระทบตรงไปยังคำถามใหญ่เรื่องความเป็นธรรมของระบบการคลังไทย ระหว่างความพยายาม “ดึงแรงจูงใจลงสู่คนรายได้กลาง-ล่าง” กับผลกระทบที่จะมีต่อกลุ่มผู้มีรายได้สูงกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นผู้แบกรับภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาส่วนใหญ่ของประเทศ และถูกมองว่าเป็น “เดอะแบก” ของระบบมาโดยตลอด
ในท่ามกลางเสียงสนับสนุนและเสียงคัดค้าน ศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ชวนสังคมมองนโยบายนี้ให้รอบด้าน ผ่านมิติของแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ความเป็นธรรมเชิงโครงสร้าง ต้นทุนค่าธรรมเนียมในการออม ไปจนถึงความเสี่ยงระยะยาวต่อเสถียรภาพตลาดทุน ขณะเดียวกัน นักวิชาการอีกฟากอย่าง ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์ ก็ออกมาตั้งคำถามว่า ตัวคูณภาษีแบบใหม่อาจไม่ได้แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง แต่อาจซ้ำเติมความเปราะบางของคนรายได้ปานกลาง และบั่นทอนแรงลงทุนของกลุ่มที่เป็นฐานทุนสำคัญของตลาดการเงินไทยมากกว่าเดิม
ศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เปิดมุมมองต่อนโยบายปรับโครงสร้างการลดหย่อนภาษีเพื่อการออม ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยชวนสังคมมองนโยบายใหม่นี้ในหลายมิติ ทั้งเรื่องการสร้างแรงจูงใจ ความเป็นธรรมทางภาษี การลดภาระค่าธรรมเนียม และโจทย์ท้าทายที่รัฐต้องรับมือในระยะยาว
ศ.ดร.อธิภัทร ระบุว่า ระบบการลดหย่อนภาษีแบบเดิมมีปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะผูกกับ “ขั้นบันไดภาษี” โดยตรง ส่งผลให้ผู้มีรายได้สูงได้รับอานิสงส์มากกว่าโดยปริยาย ผู้ที่อยู่ในช่วงอัตราภาษี 30-35% เสมือนรัฐช่วยอุดหนุนเงินลงทุนในอัตราใกล้เคียงกับภาษีที่ต้องจ่าย ในขณะที่ผู้มีรายได้ระดับกลางถึงต่ำ ซึ่งเสียภาษีเพียง 5-15% กลับไม่เห็นแรงจูงใจเพียงพอในการออมระยะยาว
ด้วยเหตุนี้ นโยบายใหม่จึงปรับมาใช้ระบบ “ตัวคูณ” เพื่อถ่วงดุลสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้สมเหตุสมผลมากขึ้น กลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปีจะได้ตัวคูณ 1.3 เท่า ยกตัวอย่าง ผู้เสียภาษีในขั้น 15% หากลงทุน 100,000 บาท จะนำไปหักลดหย่อนได้เสมือน 130,000 บาท ทำให้ส่วนลดภาษีที่แท้จริงขยับขึ้นเป็น 19.5% จาก 15% ในทางกลับกัน ผู้มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาทจะถูกปรับตัวคูณลงเหลือ 0.7 เท่า ผู้ที่อยู่ในขั้นภาษี 30% เมื่อลงทุนในจำนวนเดียวกัน จะใช้สิทธิลดหย่อนได้เพียง 70,000 บาท ทำให้อัตราส่วนลดภาษีลดลงเหลือประมาณ 21% จากเดิม 30% แนวทางนี้สะท้อนความพยายามของรัฐในการส่งแรงจูงใจไปยังผู้มีรายได้ระดับกลางและล่างมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ศ.ดร.อธิภัทร ชี้ว่าระบบใหม่ย่อมนำมาซึ่งความซับซ้อนทางเทคนิค และอาจกระทบความรู้สึกของผู้ที่มีรายได้สูงกว่าเกณฑ์เพียงเล็กน้อยจนเกิดความรู้สึกว่าตน “เสียสิทธิ” โดยทางออกที่เรียบง่ายและตรงจุดกว่านี้คือการใช้ระบบ Tax Credit แต่ในบริบทกฎหมายปัจจุบันของไทยยังไม่เอื้อให้ดำเนินการได้
ศ.ดร.อธิภัทร ระบุว่า ปัจจุบันต้นทุนทางการคลังจากการลดหย่อนเพื่อการออมเกือบครึ่งหนึ่งตกอยู่กับกลุ่มรายได้สูงสุดเพียง 5% การลดตัวคูณของผู้มีรายได้สูง และเพิ่มให้กับผู้มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท จึงไม่ใช่แค่การประหยัดเงินรัฐ แต่เป็นความพยายามกระจายแรงจูงใจให้เป็นธรรมมากขึ้นในเชิงโครงสร้าง
อีกจุดเปลี่ยนสำคัญจากมาตรการนี้คือการรวมเพดานสิทธิการลงทุน จากเดิมที่แยกหลายกรอบ เช่น RMF/PVD วงเงิน 30% ของรายได้ไม่เกิน 500,000 บาท และ Thai ESG อีก 300,000 บาท มาเป็นเพดานเดียว 800,000 บาทต่อปี ลดความซับซ้อนของระบบ และช่วยให้ผู้ลงทุนตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ที่สำคัญ โครงสร้างใหม่ถูกออกแบบให้รองรับระยะยาว ลดความเสี่ยงจากแรงขายพร้อมกันแบบในอดีตเมื่อกองทุน LTF ครบกำหนด ช่วยให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดทุนอย่างสม่ำเสมอ และสร้างเสถียรภาพให้ตลาดในระยะยาว
ศ.ดร.อธิภัทร ชี้ว่าปัจจุบันผู้ใช้สิทธิลดหย่อนมักต้องลงทุนผ่านกองทุนรวมลดหย่อนภาษี ซึ่งมีค่าธรรมเนียมสูงกว่ากองทุนทั่วไป ทำให้ต้นทุนการออมเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น นโยบายใหม่จึงเปิดทางให้มี Individual Saving Account (ISA) ซึ่งจะยืดหยุ่นขึ้น และเปิดโอกาสให้ลงทุนในสินทรัพย์ต้นทุนต่ำอย่าง ETF ช่วยลดภาระค่าธรรมเนียมของผู้เสียภาษี
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหญ่จากการดำเนินมาตรการนี้คือ การดูแลผลกระทบต่อผู้มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็น “เดอะแบก” ของระบบภาษี และรับภาระจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามากกว่า 70% ของทั้งระบบ โดยแม้นโยบายตั้งใจส่งแรงจูงใจไปสู่คนรายได้กลางและล่าง แต่ภาครัฐไม่ควรมองข้ามความรู้สึกของผู้ที่อยู่ในระบบภาษีมาตลอด
ศ.ดร.อธิภัทร ระบุว่าหากรัฐตัดสิทธิของกลุ่มนี้ ก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความเคารพต่อเงินภาษีที่พวกเขาจ่าย ไม่ควรชดเชยด้วยนโยบายระยะสั้นเชิงประชานิยม เช่น แจกสิทธิใช้จ่ายรายครั้ง แต่ควรเดินหน้าไปสู่การปฏิรูปสิทธิประโยชน์ทางภาษีทั้งระบบ ตั้งแต่ PIT สิทธิ BOI ไปจนถึงการใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ว่ามีประสิทธิภาพและคุ้มค่าจริงหรือไม่
“เพื่อไม่ให้คนรายได้เกิน 1.5 ล้าน “เจ็บตัวฟรี” การปรับสิทธิลดหย่อนเพื่อการออมไม่ควรจบแค่ตรงนี้ แต่ควรเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปสิทธิประโยชน์ทางภาษีทั้งระบบ เพื่อให้คนที่อยู่ในระบบภาษีรู้สึกว่า รัฐเห็นคุณค่า และให้เกียรติการมีส่วนร่วมของพวกเขาอย่างแท้จริง” ศ.ดร.อธิภัทร ทิ้งท้าย
ด้าน ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์ นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง และภาษี จากมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม เทรนต์ ประเทศอังกฤษ อธิบายผลกระทบของนโยบายลดหย่อนภาษีผ่านการลงทุนในกองทุน ภายใต้โครงสร้างตัวคูณที่กำหนดไว้ที่ 1.3 เท่า สำหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี และ 0.7 เท่า สำหรับผู้มีรายได้มากกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปีผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยตั้งข้อสังเกตว่า แนวคิดดังกล่าวกำลังส่งแรงจูงใจไปผิดกลุ่ม กล่าวคือ เพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ที่แทบไม่มีศักยภาพลงทุนจริง ขณะเดียวกันกลับลดแรงจูงใจของกลุ่มที่เป็นฐานสำคัญของตลาดทุนในระยะยาว
สำหรับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี ดร.นงนุชจำลองภาพมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้เดือนละ 100,000 บาท ซึ่งโดยทั่วไปถูกหักเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) สูงสุดราว 10% เหลือรายได้สุทธิประมาณ 90,000 บาทต่อเดือน คนในกลุ่มนี้มักอยู่ในช่วงภาระค่าใช้จ่ายสูง ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และอุปกรณ์สื่อสารอย่างสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ต รวมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ประมาณ 20,000 บาท เหลือเงินประมาณ 70,000 บาท
จากนั้นยังมีค่าใช้จ่ายประจำอื่น ๆ เช่น ค่าประกันรถ ประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ ค่าส่วนกลางที่อยู่อาศัย ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์ รวมถึงค่าบริการสตรีมมิ่งต่าง ๆ โดยรวมเฉลี่ยอีกประมาณ 10,000 บาท เหลือเงินประมาณ 60,000 บาทต่อเดือน ส่วนค่าใช้จ่ายด้านอาหารและการใช้ชีวิต อาทิ ค่าอาหารวันละราว 100 บาท นัดพบเพื่อนหรือคนรักเป็นครั้งคราว ค่าเดินทาง ค่าน้ำมัน และค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่น ๆ หากประเมินแบบไม่ฟุ่มเฟือยนัก จะอยู่ที่ราว 20,000 บาทต่อเดือน ทำให้เหลือเงินสุทธิประมาณ 40,000 บาท
หากเป็นผู้มีวินัยทางการเงิน และแบ่งเงินก้อนนี้ออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน ได้แก่ เงินช่วยเหลือพ่อแม่ เงินออม เงินลงทุน และเงินสำรองยามฉุกเฉิน จะทำให้มีเงินสำหรับลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีประมาณเดือนละ 10,000 บาท หรือปีละ 120,000 บาท สมมติว่ามีการหักลดหย่อนด้านประกันชีวิตและสุขภาพแล้ว 50,000 บาท ภาษีที่ต้องชำระจะอยู่ราว 73,916 บาท คิดเป็นอัตราภาษีแท้จริงประมาณ 20% เท่ากับว่าตลาดทุนจะได้รับเงินออมใหม่เข้าสู่ระบบปีละประมาณ 120,000 บาทจากคนคนหนึ่ง หากถือครองกองทุนตามเงื่อนไขจนครบ 10 ปี ผลตอบแทนขั้นต่ำที่ “ยอมรับได้” ณ วันขายคืน ควรไม่ต่ำกว่า -5% เพราะหากขาดทุนมากกว่านั้น การนำเงินไปฝากออมทรัพย์หรือบัญชีดอกเบี้ยสูงอาจคุ้มค่ากว่า
ในอีกทางหนึ่ง หากต้องการใช้สิทธิลดหย่อนเต็มวงเงิน โดยไม่กันเงินให้พ่อแม่ ไม่ออม และไม่สำรองไว้ยามฉุกเฉินเลย และนำเงินไปลงทุนในกองทุนเดือนละประมาณ 38,500 บาท จะเท่ากับลงทุนปีละ 462,000 บาท ทำให้ภาษีที่ต้องจ่ายลดลงเหลือราว 12,398 บาท หรืออัตราภาษีแท้จริงประมาณ 10% อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เท่ากับนำชีวิตทางการเงินไป “แขวนบนเส้นด้าย” เนื่องจากไม่มีเงินสดสำรอง หากเกิดเหตุฉุกเฉินจำเป็นต้องขายกองทุนก่อนกำหนด ก็จะถูกเรียกเก็บภาษีคืน และหากเป็นช่วงที่ตลาดขาลง ขายได้ในภาวะขาดทุน ก็ยังต้องรับภาระภาษีเพิ่มอีก
ดังนั้น สำหรับผู้มีรายได้ระดับนี้ การลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีแบบ “เต็มสิทธิ” อาจไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด สิ่งสำคัญคือการจัดสรรเงินให้สมดุลระหว่างการใช้ชีวิต การออม การลงทุน และเงินสำรองฉุกเฉิน พร้อมเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงสอดคล้องกับฐานะทางการเงิน โดยควรตั้งเป้าให้ขาดทุนไม่เกินระดับที่ยอมรับได้ เมื่อครบกำหนดไถ่ถอน
สำหรับผู้มีรายได้มากกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี ดร.นงนุชยกกรณีตัวอย่างผู้มีรายได้เดือนละ 200,000 บาท หลังหักเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะเหลือเงินสุทธิประมาณ 180,000 บาท คนกลุ่มนี้มักผ่านช่วงภาระหนักมาแล้ว มีบ้าน มีรถ ไม่ต้องผ่อนสมาร์ตโฟนหรืออุปกรณ์ดิจิทัล และอาจผ่อนอสังหาริมทรัพย์หลังที่สองหรือมีภาระสินเชื่อคงเหลือไม่มาก โดยกำหนดค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยและยานพาหนะไว้เท่ากับกลุ่มแรกคือ 20,000 บาท เหลือเงิน 160,000 บาท จากนั้นหักค่าใช้จ่ายประจำอีกราว 10,000 บาท เหลือ 150,000 บาท และเมื่อหักค่าใช้จ่ายด้านการครองชีพอีก 20,000 บาท จะเหลือเงินสุทธิประมาณ 130,000 บาทต่อเดือน
หากเป็นผู้มีวินัยทางการเงิน และแบ่งเงินก้อนนี้ออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน ได้แก่ เงินช่วยเหลือพ่อแม่ เงินออม เงินลงทุน และเงินสำรองฉุกเฉิน จะมีเงินสำหรับการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีประมาณเดือนละ 32,500 บาท หรือปีละ 390,000 บาท สมมติว่ามีการหักลดหย่อนประกันชีวิตและสุขภาพ 50,000 บาท และสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้เพียง 0.7 เท่า ภาษีที่ต้องชำระจะอยู่ราว 304,145 บาท หรือคิดเป็นอัตราภาษีแท้จริงประมาณ 25% เท่ากับว่าตลาดทุนจะได้รับเงินลงทุนใหม่จากคนรายได้นี้ราว 390,000 บาทต่อปี ซึ่งมากกว่ากลุ่มแรกกว่า 3 เท่า หากถือครองกองทุนตามเงื่อนไขจนครบ 10 ปี ผลตอบแทนขั้นต่ำที่ “ยอมรับได้” ณ วันขายคืน ควรไม่ต่ำกว่า -10% เพราะหากขาดทุนมากกว่านั้น การนำเงินไปฝากออมทรัพย์หรือบัญชีดอกเบี้ยสูงอาจคุ้มค่ากว่า
ในอีกกรณีหนึ่ง หากใช้สิทธิลดหย่อนได้เต็ม มีเงินเหลือในระบบมากกว่า จุดคุ้มทุนจากภาษีต่ำกว่ากลุ่มรายได้น้อยกว่า และไม่จำเป็นต้องแบ่งเงินเป็น 4 ส่วนเท่ากันอีกต่อไป ผู้มีรายได้ระดับนี้อาจเลือกเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี จากเดือนละ 32,500 บาท เป็นราว 47,000 บาท หรือปีละประมาณ 560,000 บาท จะทำให้ภาษีที่ต้องจ่ายลดลงเหลือประมาณ 232,395 บาท
กรณีนี้ ตลาดทุนจะได้รับสภาพคล่องเพิ่มเติมจากคนคนเดียวราว 170,000 บาทต่อปี หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1.43 เท่าเมื่อเทียบกับกรณีที่ใช้สิทธิได้เพียง 0.7 เท่า และยังมากกว่าการลงทุนของคนรายได้เดือนละ 100,000 บาทถึงราว 4.67 เท่า ขณะที่ฐานะทางการเงินของผู้ลงทุนยังคงแข็งแรง เพราะหลังหักเงินลงทุนแล้ว ยังคงเหลือเงินสดราว 83,000 บาทต่อเดือน ซึ่งสามารถนำไปจัดสรรเป็น 3 ส่วน ได้แก่ เงินช่วยเหลือครอบครัว เงินออม และเงินสำรองฉุกเฉินได้โดยไม่ตึงตัว
ดร.นงนุชเน้นว่า การคำนวณทั้งหมดตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าไม่มีบุตร หากมีบุตร ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทจะตึงตัวจนแทบไม่เหลือเงินลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี แม้จะให้ตัวคูณ 1.3 เท่าก็ตาม ขณะที่ผู้มีรายได้สูงยังพอมีช่องว่างในการบริหารจากเงินคงเหลือเดือนละ 83,000 บาทเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้
ในเชิงนโยบาย ดร.นงนุชตั้งข้อสังเกตว่า หลายวิกฤติที่ผ่านมา รัฐใช้เม็ดเงินลงทุนของผู้มีรายได้สูงเป็นกำลังหลักในการพยุงตลาดหุ้นไทย ผ่านมาตรการจูงใจด้านภาษีในช่วงที่นักลงทุนต่างชาติเทขาย แต่โครงสร้างปัจจุบันกลับลดแรงจูงใจของกลุ่มที่เป็น “กระดูกสันหลัง” ของตลาดทุน และหันไปเพิ่มแรงจูงใจให้กับกลุ่มที่มีข้อจำกัดด้านสภาพคล่อง พร้อมตั้งคำถามว่า หากเกิดวิกฤติรอบใหม่ รัฐจะย้อนกลับมาปรับตัวคูณอีกครั้งเพื่อพยุงตลาดแทนการขยายเพดานลดหย่อนหรือไม่
ดร.นงนุชสรุปว่า เมื่อเงื่อนไขการหักลดหย่อนได้เพียง 0.7 เท่า ผลตอบแทนสุทธิของการลงทุนในกองทุนเริ่มด้อยกว่าทางเลือกอย่างประกันบำนาญ กองทุนออมเงิน หรือแม้แต่เงินบริจาคที่หักได้เต็มจำนวน ผู้มีรายได้สูงอาจตัดสินใจโยกเงินออกจากตลาดทุนไปยังสินทรัพย์ที่ความแน่นอนสูงกว่า ส่งผลให้เงินลงทุนอาจหายไปเป็นแสนบาทต่อคน และสุดท้าย รายได้ภาษีที่รัฐคาดว่าจะจัดเก็บได้ อาจลดลงต่ำกว่าที่ประเมินไว้ มากกว่าจะเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายของนโยบาย