ราคาทองคำโลกปี 2568 ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยมีโอกาสแตะระดับ 3,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากแรงหนุนของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับนาโต้ แม้จะยังเผชิญแรงกดดันจากท่าทีเฟดและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เพิ่มความผันผวนให้ตลาด
ในวันนี้ (24 ก.ย. 68) นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการและนักวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว SPOTLIGHT ว่า ราคาทองคำโลกและราคาทองคำไทยในช่วงที่เหลือของปี 2568 ยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยมีโอกาสแตะระดับเป้าหมายที่ 3,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือราว 57,500 บาทต่อบาททองคำ หากคำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันที่ 31.90 บาทต่อดอลลาร์
นายวรุต ระบุว่าหลายสถาบันวาณิชธนกิจระดับโลกประเมินสอดคล้องกันว่า ทองคำยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งที่ขยายวงระหว่างรัสเซียกับกลุ่มนาโต้ซึ่งกลับมาสร้างแรงซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์บานปลายรุนแรงจนกลายเป็นสงครามระดับภูมิภาคหรือมีความเสี่ยงต่อการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง ราคาทองคำอาจพุ่งขึ้นไปถึง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือกว่า 60,000 บาทต่อบาททองคำได้
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ราคาทองคำยังเผชิญแรงกดดันจากท่าทีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจปรับลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ทั้งภาวะเงินเฟ้อ ตลาดแรงงานที่อ่อนแรง และความเป็นไปได้ของ Government Shutdown ของรัฐบาลสหรัฐฯ ต้นเดือนตุลาคม ซึ่งล้วนเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำในปีนี้ยังมีทั้งโอกาสและความผันผวนสูง
นายวรุตเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 ราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 3,790 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังมีรายงานว่าเครื่องบินรบรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้าของเอสโตเนียและโรมาเนีย ซึ่งต่างเป็นประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) โดยครั้งนี้นาโต้มีคำสั่งตรงให้เครื่องบินรบของอิตาลีขึ้นสกัด แตกต่างจากกรณีก่อนหน้าที่โปแลนด์ต้องจัดการเอง สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนกำลังลุกลาม และอาจบานปลายไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียกับนาโต้โดยตรง
ต่อมา ที่ประชุมฉุกเฉินของนาโต้มีมติยืนยันว่าจะใช้ “ทุกวิถีทาง” เพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติสมาชิก โดยมาตรการตอบโต้ครอบคลุมทั้งด้านการทูต เศรษฐกิจ และการทหารหากจำเป็น แม้ถ้อยแถลงดังกล่าวช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนบางส่วนว่านาโต้น่าจะเลือกใช้วิธีทางการทูตเป็นอันดับแรก และไม่น่าจะมีการโจมตีรัสเซียก่อน แต่ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ และบรรยากาศตึงเครียดจะยังดึงดูดแรงซื้อทองคำต่อเนื่องในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
นอกจากนี้ ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะกรณีอิสราเอล-ฮามาส ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญ หากสถานการณ์กลับมารุนแรงก็มีโอกาสกระตุ้นแรงซื้อทองคำรอบใหม่เช่นกัน ขณะเดียวกัน หากรัสเซียเดินหน้ารุกล้ำเขตแดนของประเทศสมาชิกนาโต้เพิ่มเติม เช่น โปแลนด์ เอสโตเนีย หรือโรมาเนีย ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่ตลาดจะตอบสนองด้วยแรงซื้อเก็งกำไรในทองคำอย่างเข้มข้นขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังราคาทองคำทำสถิติสูงสุด นักลงทุนบางส่วนได้ทยอยขายทำกำไร ส่งผลให้ราคามีการปรับฐานลงในระยะสั้น สะท้อนว่าตลาดยังคงจับตาความเคลื่อนไหวทั้งในยุโรปและตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำในระยะถัดไป
อีกด้านหนึ่ง ราคาทองคำในวันนี้ถูกกดดันจากถ้อยแถลงของประธานเฟด เจอโรม พาวเวล ที่ชี้ว่าการปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ยังไม่ใช่ข้อผูกมัดตายตัว โดยต้องประเมินจากภาวะเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแอ และเงินเฟ้อที่ยังสูง ทำให้นักลงทุนคาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่เคยส่งสัญญาณไว้
หลังถ้อยแถลง ราคาทองโลกอ่อนตัวจาก 3,790 ดอลลาร์ ลงมาแถว 3,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือลดลงราว 30 ดอลลาร์ ขณะที่ทองคำในประเทศลดลงเพียง 50 บาทต่อบาททองคำ เนื่องจากเงินบาทกลับมาอ่อนค่าเล็กน้อย
ปัจจุบัน ตลาดกำลังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กำลังทยอยประกาศ ไม่ว่าจะเป็นจีดีพีไตรมาส 2 ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนี Core PCE ซึ่งถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ข้อมูลเหล่านี้อาจกำหนดทิศทางการเงินครั้งต่อไปของเฟดโดยตรง
นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขเสี่ยงใหญ่รออยู่ในต้นเดือนตุลาคมกับความเป็นไปได้ของ government shutdown หากสองพรรคการเมืองของสหรัฐฯ คือเดโมแครตและรีพับลิกันไม่สามารถตกลงเรื่องงบประมาณได้ โดยเฉพาะประเด็นประกันสุขภาพ หากเกิดขึ้นจริง การปิดหน่วยงานรัฐและการเลิกจ้างเจ้าหน้าที่อาจทำให้อัตราว่างงานพุ่งทันที และกดดันเฟดให้รีบตัดสินใจลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่เคยคาด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนทองคำในช่วงนี้ นายวรุตแนะนำให้นักลงทุนอย่าเข้าซื้อเมื่อราคาทองอยู่ในระดับสูง กลยุทธ์ที่ปลอดภัยกว่าคือรอให้ราคาย่อตัวลงมาใกล้แนวรับสำคัญที่ 3,712 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือราว 56,100 บาทต่อบาททองคำ หากราคายืนเหนือระดับนี้ได้ ถือเป็นจังหวะเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไร แต่หากราคาหลุดแนวรับดังกล่าว นักลงทุนควรพิจารณาขายตัดขาดทุน และรอเข้าซื้อใหม่ที่โซน 3,626 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 54,900 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งเป็นระดับที่มีโอกาสเห็นได้จากความผันผวนของตลาดในช่วงที่ผ่านมา
ในระยะสั้น ปัจจัยที่ต้องติดตามใกล้ชิดคือการเคลื่อนไหวของกองทุน SPDR Gold Trust ที่มีอิทธิพลสูงต่อทิศทางราคา ช่วงที่ราคาทองพุ่งแรง SPDR มักเข้าซื้อกว่า 18-20 ตันต่อวัน เช่น ในวันจันทร์ที่ผ่านมาที่ซื้อถึง 18.9 ตัน และวันอังคารที่ซื้ออีกกว่า 9 ตัน แต่เมื่อใดที่กองทุนหยุดซื้อหรือเริ่มขายทำกำไร ราคาทองก็มักจะอ่อนตัวลงทันที สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงในเชิงจังหวะและแรงกดดันระยะสั้นที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
ด้านความผันผวน นายวรุตชี้ว่า ราคาทองคำปีนี้เคยแกว่งตัววันละ 100-130 ดอลลาร์ต่อออนซ์หลายครั้ง เช่น วันที่ 8 พฤษภาคมแกว่ง 126 ดอลลาร์ วันที่ 12 พฤษภาคมแกว่ง 118 ดอลลาร์ และวันที่ 15 พฤษภาคมแกว่งกว่า 120 ดอลลาร์ ซึ่งบ่งชี้ว่าการพักฐานแรงยังเป็นไปได้ ดังนั้นโอกาสที่ราคาจะอ่อนตัวลงมาถึงระดับแนวรับที่แนะนำก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรตัดทิ้ง แต่หากปัจจัยพื้นฐานยังหนุนอยู่ เช่น ภาวะสงครามที่ยืดเยื้อ ราคาทองก็อาจอ่อนตัวลงเพียงระยะสั้นและถูกมองเป็นโอกาสสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว
สำหรับแนวโน้มทั้งปี YLG มองว่า scenario ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดคือ ราคาทองคำยืนใกล้ระดับ 3,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือราว 57,500 บาทต่อบาททองคำ โดยอ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาแทรกแซงค่าเงินบาทให้อ่อนกลับมาที่ราว 31.90 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้ราคาทองในประเทศทรงตัวสูง
อย่างไรก็ตาม หากความขัดแย้งรัสเซีย-นาโต้ยกระดับไปสู่สงครามใหญ่หรือขยายสู่สงครามนิวเคลียร์ ราคามีสิทธิดันทะลุ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ภายในปีนี้ ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดใหม่ในตะวันออกกลาง เช่น อิสราเอล–ฮามาส ก็ยังเป็นปัจจัยที่อาจกระตุ้นแรงซื้อทองได้ หากสถานการณ์ไม่คลี่คลาย
สำหรับปี 2569 แนวโน้มยังเป็นบวก โดยหากเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องและเกิดการเปลี่ยนแปลงในผู้นำเฟด ปัจจัยดังกล่าวจะช่วยหนุนให้ทองคำไต่ระดับขึ้นแตะ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ในที่สุด ซึ่งสะท้อนภาพว่าแม้จะมีแรงกดดันระยะสั้น แต่ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับแรงหนุนจากทั้งปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการเงินโลกอย่างต่อเนื่อง