ย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคม ลูกสาวนักการเมืองชาวเนปาลเข้าพิธีวิวาห์ยิ่งใหญ่อลังการ สะท้อนชีวิตอันหรูหรา และภาพเหล่านั้นถูกแชร์ออกไปบนโลกออนไลน์ อาทิตยา สาวชาวเนปาลวัย 23 ปี ยอมรับว่าเธอรู้สึกโกรธแค้นที่ได้เห็นภาพปรากฎในโซเชียลมีเดียของเธอ เนื่องจากพิธีแต่งงานที่ว่านี้ ทำการจราจรรอบ ๆ เมืองภักตปุระ ต้องหยุดชะงักลง และผู้ใช้รถใช้ถนนต้องเดือดร้อน
สิ่งที่ทำให้เธอโกรธที่สุด ก็คือข่าวที่ออกมาว่า เจ้าหน้าที่ได้ปิดถนนสายสำคัญนานหลายชั่วโมงเพื่อต้อนรับการเดินทางมาที่งานของแขกวีไอพี รวมถึงนายกรัฐมนตรีเนปาลในขณะนั้นด้วย แม้ว่านักการเมืองคนดังกล่าวได้ออกมาปฏิเสธว่า ครอบครัวของเขาไม่ได้ใช้ทรัพยากรของรัฐในทางที่ผิด แต่อาทิตยาก็ฝังใจไปแล้วว่าเรื่องนี้ "เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้จริงๆ "
ในช่วงไม่กี่เดือนต่อมา เธอเห็นโพสต์บนโซเชียลมีเดียของนักการเมืองและลูก ๆ ของพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงวันหยุดพักผ่อนสุดหรู คฤหาสน์ รถซูเปอร์คาร์ และกระเป๋าดีไซเนอร์ ภาพถ่ายหนึ่งของโซกัต ทาปา ลูกชายของผู้ว่าราชการจังหวัดฯ กลายเป็นไวรัล ภาพนั้นแสดงให้เห็นกองกล่องของขวัญขนาดมหึมาจากแบรนด์หลุยส์ วิตตอง, กุชชี่, คาร์เทียร์ และคริสเตียน ลาบูตอง ซึ่งประดับด้วยไฟประดับและลูกบอลคริสต์มาส โดยมีหมวกซานต้าอยู่ด้านบน
ด้วยความโกรธจากสิ่งที่เธอได้เห็นและอ่านทางออนไลน์ อาทิตยาและเพื่อน ๆ จึงเข้าร่วมกับผู้ประท้วงหนุ่มสาวหลายพันคนบนถนนในกรุงกาฐมาณฑุ เมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา ขณะที่การประท้วงต่อต้านการคอร์รัปชันดำเนินไป ก็เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจ ทำให้มีผู้ประท้วงบางส่วนเสียชีวิต ก่อนที่จะมีกลุ่มผู้ประท้วงบางคนบุกเข้าไปในรัฐสภาและเผาอาคารของรัฐบาล ทำให้นายกรัฐมนตรี เคพี ชาร์มา โอลี ของเนปาลประกาศลาออก
เหตุการณ์ลุกลามบานปลายไปสู่การเผาสถานที่สำคัญอื่น ๆ ไม่ใช่แค่เฉพาะอาคารรัฐสภา แต่ยังมีอาคารของศาล สถานีตำรวจ บ้านพักนักการเมืองและโรงแรม ห้างร้านของเอกชน อีกทั้งยังมีรายงานผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ประท้วงใหญ่ตั้งแต่ 8-10 กันยายน รวมแล้วประมาณ 70 คน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าว เกิดขึ้นในขณะที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ออกมาแสดงความไม่พอใจต่อปมทุจริตของรัฐบาลเช่นกัน ชาวอินโดนีเซียรับไม่ได้ที่นักการเมืองกลุ่มใหญ่จะได้รับการขึ้นเงินเดือนและสนับสนุนค่าใช้จ่ายพิเศษ ในขณะที่ประชาชนกำลังเผชิญภาวะอดอยาก เช่นเดียวกับชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งมีผู้ประท้วงหลายหมื่นคนในกรุงมะนิลาออกมาต่อต้านโครงการจัดการปัญหาน้ำท่วมที่ทุ่มงบมหาศาล แต่ยังเจอปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ซึ่งผู้รับเหมาเศรษฐีออกมายอมรับแล้วว่ามีการทุจริตของนักการเมืองจริง
การประท้วงใหญ่ที่เกิดขึ้นใน 3 ประเทศข้างต้น มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่ม Gen Z ซึ่งส่วนใหญ่โกรธแค้นในสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็นการคอร์รัปชันที่ฝังรากลึก กลุ่มผู้ประท้วงเชื่อว่า พวกเขาล้วนยืนหยัดเพื่อสิ่งเดียวกัน นั่นคือ "ความเป็นอยู่ที่ดีและการพัฒนาประเทศ พวกเขาได้เรียนรู้ว่า ไม่มีอะไรที่นักศึกษาและเยาวชนรุ่นนี้จะทำไม่ได้"
แม้รัฐบาลแต่ละประเทศจะออกมาแสดงความเป็นห่วง เพราะการประท้วงเสี่ยงจะบานปลายไปสู่ความรุนแรงที่ยอมรับไม่ได้ แต่ผู้ประท้วงโดยเฉพาะวัย Gen Z หลายคนเชื่อว่า นี่เป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ของพลังผู้ประท้วงที่เพิ่งค้นพบ พวกเขาล้วนได้รับแรงบันดาลใจจากการประท้วงในอินโดนีเซีย รวมถึงการปฏิวัติที่นำโดยนักเรียนเมื่อปีที่แล้วในบังกลาเทศ และการเคลื่อนไหวประท้วงของ Aragalaya ที่โค่นล้มประธานาธิบดีศรีลังกาในปี 2022
ไม่กี่วันก่อนการประท้วงจะเริ่มต้นขึ้นในเนปาล รัฐบาลได้ประกาศแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเกือบทั้งหมด รัฐบาลอ้างว่า ต้องการจัดการกับข่าวปลอมและคำพูดสร้างความเกลียดชัง แต่เยาวชนชาวเนปาลจำนวนมากมองว่านี่เป็นความพยายามที่จะปิดปากพวกเขา
อาทิตยาเป็นหนึ่งในเยาวชน ที่ชวนเพื่อน ๆ อีกสี่คนรวมตัวกันในห้องสมุดที่กาฐมาณฑุ พร้อมด้วยโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้แพลตฟอร์ม AI อย่าง ChatGPT, Grok, DeepSeek และ Veed สร้างคลิปโซเชียลมีเดียไม่ต่ำกว่า 50 คลิปเกี่ยวกับ "ลูกหลานชนชั้นสูง (nepo kids)" และการคอร์รัปชัน พวกเขาได้โพสต์คลิปเหล่านั้นลงบน Tiktok ตามกระแส #NepoBaby
แม้กลุ่มประเทศที่เกิดการประท้วงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้จะอยู่ใกล้กันบ้าง ไกลกันบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือพวกเขาเกิด ‘ความรู้สึกร่วม’ และเป็น ‘อันหนึ่งอันเดียวกัน’ แม้เหตุการณ์ที่จุดชนวนการประท้วงจะแตกต่างกันออกไปก็ตาม
โลโก้รูปหัวกะโหลกการ์ตูนที่ได้รับความนิยมจากผู้ประท้วงชาวอินโดนีเซีย ได้รับการนำไปใช้โดยผู้ประท้วงชาวฟิลิปปินส์และเนปาลด้วยเช่นกัน โดยปรากฏบนธงประท้วง คลิปวิดีโอ และรูปโปรไฟล์บนโซเชียลมีเดีย รวมถึง แฮชแท็ก #SEAblings เล่นคำจากคำว่าพี่น้องในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ได้รับความนิยมทางออนไลน์เช่นกัน เนื่องจากชาวฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และชาติอื่น ๆ ต่างแสดงการสนับสนุนการเคลื่อนไหวต่อต้านการคอร์รัปชันของกันและกัน
การประท้วงเหล่านี้ทำให้รัฐบาลอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ต้องระงับโครงการที่ไร้ความโปร่งใสและไม่เป็นธรรม ขณะที่คณะรัฐมนตรีของเนปาลถูกประชาชนขับไล่ออกจากตำแหน่งทั้งคณะ ท่ามกลางความวุ่นวาย รัฐบาลก็ได้รับทราบข้อกังวลของผู้ประท้วง และในบางกรณีก็ยอมรับข้อเรียกร้องบางอย่าง
แต่ขณะเดียวกัน การประท้วงก็นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ร้ายแรงในโลกออฟไลน์ อาคารต่างๆ ถูกเผา บ้านเรือนถูกปล้นและรื้อค้น และนักการเมืองถูกขับไล่ออกจากบ้านและถูกทำร้ายร่างกาย แม้แต่ความเสียหายต่ออาคารและธุรกิจเพียงอย่างเดียว ก็มูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยิ่งไปกว่านั้น ยังนำมาสู่การสูญเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์ด้วย มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 70 คนในเหตุประท้วงเนปาล และมีผู้เสียชีวิต 10 คนในอินโดนีเซีย คำถามในตอนนี้คือ หลังจากความเดือดดาล แล้วอย่างไรต่อ?
ผู้สังเกตการณ์ชี้ให้เห็นว่า การประท้วงที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมขั้นพื้นฐานได้สำเร็จ โดยเฉพาะในสถานที่ที่ปัญหาอย่างการคอร์รัปชันยังคงฝังรากลึก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะธรรมชาติของการประท้วงที่ไม่มีผู้นำ ซึ่งในแง่หนึ่งช่วยให้ผู้ประท้วงหลีกเลี่ยงการปราบปรามได้ แต่ก็ขัดขวางการตัดสินใจในระยะยาวด้วยเช่นกัน
สตีเวน เฟลด์สไตน์ นักวิจัยอาวุโสจาก Carnegie Endowment for International Peace กล่าวว่า "โดยเนื้อแท้แล้ว โซเชียลมีเดียไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว... คุณต้องพึ่งพาอัลกอริทึม ความโกรธแค้น และแฮชแท็กต่าง ๆ กว่าจะผลักดันออกมาเป็นการประท้วงบนท้องถนนได้”
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า "กลุ่มผู้ประท้วงจะต้องมีคนที่จะสร้างยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่ใช้งานได้จริง ไม่ใช่แค่ใช้ยุทธศาสตร์แบบไม่ประนีประนอมหรือเผาทุกสิ่งให้หมดไป"
ทั้งนี้ สิ่งนี้เห็นได้ชัดจากความขัดแย้งในอดีต รวมถึงในปี 2006 เมื่อชาวเนปาลยุคมิลเลนเนียลเข้าร่วมการปฏิวัติที่โค่นล้มระบอบกษัตริย์ หลังจากเหตุการณ์ก่อความไม่สงบของกลุ่มเหมาอิสต์และสงครามกลางเมืองที่กินเวลาหนึ่งทศวรรษ แต่แล้วประเทศก็วนเวียนอยู่กับรัฐบาล 17 ชุด ในขณะที่เศรษฐกิจหยุดชะงัก
นารายณ์ อธิการี ผู้ร่วมก่อตั้ง Accountability Lab ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านการคอร์รัปชันกล่าวว่า "ผู้ประท้วงชาวเนปาลรุ่นก่อน "สุดท้ายก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบและสูญเสียจุดยืนทางศีลธรรมไป พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตามค่านิยมประชาธิปไตยและล้มเลิกจากคำมั่นสัญญาของตัวเอง"
การประท้วงของกลุ่ม Gen Z ในครั้งนี้จะแตกต่างออกไปหรือไม่ จะต้องสังเกตการณ์และถอดบทเรียนกันต่อไป แต่อดิตยา ผู้ประท้วงชาวเนปาลมองว่า "คนในยุคใหม่นี้เรียนรู้อย่างต่อเนื่องจากความผิดพลาดของคนรุ่นก่อน แต่ก่อนผู้คนเคยบูชาผู้นำของพวกเขาเหมือนพระเจ้า แต่ในรุ่นนี้ พวกเขาไม่ตามใครเหมือนพระเจ้าอีกแล้ว"