สำนักข่าว KCNA ของทางการเกาหลีเหนือ ออกมายอมรับเป็นครั้งแรกว่า รัฐบาลได้ส่งกองทัพเกาหลีเหนือไปช่วยรัสเซีย โดยระบุว่าทหารจากรัฐบาลเปียงยางช่วยให้กองกำลังรัสเซีย “ปลดปล่อย” พื้นที่ชายแดนเคิร์สค์ได้อย่างสมบูรณ์ ตามคำสั่งของคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งการยอมรับนี้เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากที่วาเลรี เกราซิมอฟ เสนาธิการกองทัพรัสเซีย ได้กล่าวชื่นชมบทบาทของกองทัพเกาหลีเหนือในการปลดปล่อยพื้นที่ชายแดนเคิร์สก์ในการประชุมทางวิดีโอกับประธานาธิบดีวลาดิเมีร์ย ปูตินของรัสเซีย เมื่อวันที่ 26 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยปูตินอ้างว่าประเทศของเขาได้ยึดพื้นที่ชายแดนเคิร์สก์คืนมาได้อีกครั้ง
นับเป็นครั้งแรกที่สองประเทศออกมายอมรับอย่างเป็นทางการ หลังจากที่มีข่าวและหลักฐานมากมายว่าเกาหลีเหนือมีส่วนร่วมที่ช่วยรัสเซียรบกับยูเครนในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ซึ่งสหรัฐฯ เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร และยูเครนระบุว่า ทหารเกาหลีเหนืออยู่แนวหน้าของสงคราม พร้อมกับประณามว่าใช้ชีวิตชาวเกาหลีเหนือที่ไม่ใช่ทหารอาชีพมาเป็นโล่มนุษย์ป้องกันกองทัพรัสเซีย
สำนักข่าว KCNA ยังรายงานเพิ่มเติมว่า ผู้นำคิม จองอึน มุ่งมั่นว่าการมีส่วนร่วมของกองกำลังติดอาวุธของเราในสงครามเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ที่มุ่งเสริมสร้างมิตรภาพและความสามัคคีแบบดั้งเดิมระหว่างสองประเทศ รับประกันการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองประเทศ และปกป้องเกียรติของเกาหลีเหนือ ทั้งนี้ ผู้นำทั้งสองประเทศได้ลงนามสนธิสัญญาความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม ในกรุงเปียงยางเมื่อเดือนมิถุนายน 2024 ซึ่งให้คำมั่นว่าทั้งสองประเทศจะให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่กันในกรณีเกิดสงคราม
นอกจากนี้ คิม จองอึน ได้ยกย่องทหารเกาหลีเหนือที่เข้าร่วมปฏิบัติการปลดปล่อยภูมิภาคเคิร์สค์ว่า เป็นวีรบุรุษที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม เขายังกล่าวอีกว่าเร็วๆ นี้จะมีการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงทหารเกาหลีเหนือที่เข้าร่วมปฏิบัติการช่วยรัสเซียรบกับยูเครน พร้อมทำพิธีวางดอกไม้ให้กับทหารที่สละชีวิตเพื่อประเทศชาติ ท่าทีของเกาหลีเหนือและรัสเซียจึงอาจเรียกได้ไม่เต็มปากว่าคือ “การยอมรับ” แต่เป็นเหมือน “การฉลองร่วมกัน” มากกว่า ในวาระที่รัสเซียรุกคืนพื้นที่สำคัญในยูเครนได้ในที่สุด
รัสเซียได้ส่งโดรนราว 150 ลำ โจมตีทางอากาศไปทั่วยูเครนเมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (27 เม.ย.) ส่ง ผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย และผู้บาดเจ็บอีกเพียบ รวมถึงเด็กหญิงวัย 14 ขวบ โดยสำนักงานอัยการประจำภูมิภาคโดเนตสค์ โพสต์บนเฟซบุ๊กระบุว่า รัสเซียทิ้งระเบิดร่อน 3 ลูกใส่เมืองโดเนตสค์ ซึ่งอยู่ห่างจากแนวหน้าสนามรบราว 10 กิโลเมตร สอดคล้องกับข้อมูลของกองทัพอากาศยูเครน ที่ออกมาเปิดเผยว่า รัสเซียได้ยิงโดรนสังหาร 149 ลำในการโจมตีระลอกล่าสุด แต่กองทัพยูเครนสามารถยังสกัดโดรนได้ 57 ลำ และรบกวนสัญญาณของโดรนสังหารได้อีก 67 ลำ
การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากปูตินอ้างว่ากองกำลังรัสเซียสามารถควบคุมส่วนที่เหลือของภูมิภาคเคิร์สค์ได้อีกครั้ง ซึ่งกองกำลังยูเครนได้ยึดครองไว้ได้ด้วยการบุกโจมตีแบบกะทันหันเมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่ผ่านมา ด้านเจ้าหน้าที่ยูเครนยืนกรานว่าการสู้รบในเคิร์สค์ยังคงดำเนินต่อไป และรัสเซียยังยึดพื้นที่นี้ได้ไม่สำเร็จ
ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนปะทุขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่ายิ่งพยายามเจรจาสันติภาพมากเท่าไร ความสงบบนสมรภูมิรบกลับทวีความรุนแรงขึ้นมากเท่านั้น เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สืบสวนของรัสเซียได้ยื่นฟ้องข้อหาก่อการร้ายต่อชายผู้ต้องสงสัยว่าสังหารเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของรัสเซีย โดยรัสเซียกล่าวโทษรัฐบาลยูเครนว่าเหตุระเบิดรถยนต์เมื่อวันศุกร์ที่ส่งผลให้ยาโรสลาฟ โมสคาลิก วัย 59 ปี เสียชีวิต ซึ่งเป็นนายทหารรัสเซียคนล่าสุด ที่เกี่ยวข้องกับสงครามโดยตรง
คณะกรรมการสอบสวนของรัสเซีย ระบุว่า ผู้ต้องสงสัย ชื่อ อิกแนต คูซิน ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในยูเครน ได้สารภาพสังหารผู้นำระดับสูงของยูเครนจริง และยังอ้างว่าตนได้รับการคัดเลือกและรับเงินจากหน่วยงานความมั่นคงของยูเครนอีกด้วย ซึ่งรัสเซียใช้เป็นข้ออ้างโจมตียูเครนในครั้งล่าสุด
ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เขาสงสัยว่าปูตินต้องการยุติสงครามในยูเครนที่ดำเนินมานานกว่า 3 ปีหรือไม่ และแสดงความไม่มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพได้ในเร็วๆ นี้ แม้ว่าก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งวัน ทรัมป์ได้แถลงว่าการเจรจาสันติภาพของสงครามรัสเซียยูเครน “ใกล้จะบรรลุข้อตกลง” แล้ว
หลังจากการสนทนาระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ที่นั่งจับเข่าคุยระหว่างพิธีพระศพของพระสันตะปาฟรานซิส ทรัมป์ออกมาโพสต์บน Truth Social ระบุว่า มันทำให้ผมคิดว่า บางทีปูติน คงไม่ได้อยากจบสงครามนี้จริง ๆ แค่ถ่วงเวลาสหรัฐฯ ไปเรื่อย ซึ่งทรัมป์ต้องรับมือกับเขาด้วยทางอื่น เช่น การคว่ำบาตรทางการเงิน หรือการคว่ำบาตรทางอ้อม? เพราะตอนนี้มีคนตายมากเกินไปแล้ว
ด้านมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า ข้อตกลงสันติภาพจะต้องเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ และวอชิงตันกำลังพยายามพิจารณาว่าข้อตกลงนี้คุ้มค่าที่จะทำหน้าที่เป็นคนกลางต่อไปหรือไม่ เพราะสหรัฐฯ ไม่อาจอุทิศเวลาและทรัพยากรให้กับความขัดแย้งนี้ต่อไปได้ หากความพยายามไม่ประสบความสำเร็จเสียที