เปิดโรงงานผลิตขีปนาวุธลับยูเครน เซเลนสกีชี้อาวุธ 50% ผลิตในประเทศ
ปิดตา พาผู้สื่อข่าวว้าบไปโรงงานขีปนาวุธลับ
โจนาธาน บีล ผู้สื่อข่าว BBC สายกลาโหมประจำกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน บอกเล่าประสบการณ์ที่เขาได้รับเชิญไปเยี่ยมโรงงานผลิตขีปนาวุธลับแห่งใหม่ในปยูเครน เขาเล่าว่า ขณะที่เดินทางไปยังโรงงานดังกล่าว ผู้สื่อข่าวและทีมงานถูกปิดตาตลอดการเดินทางเพื่อไม่ให้รับรู้ว่าที่ตั้งของแหล่งซุ่มสร้างยุทโธปกรณ์ดังกล่าวตั้งอยู่ที่ใด พวกเขายังได้รับคำสั่งให้ปิดโทรศัพท์มือถือและเครื่องมือการสื่อสารทุกชนิด
สำหรับยูเครน การกระจายและซ่อนแหล่งผลิตอาวุธเช่นนี้เป็นกุญแจสำคัญในการอยู่รอด โรงงานสองแห่งของบริษัทผู้ผลิตอาวุธดังกล่าว คือ ไฟร์พอยต์ (Fire Point) ถูกโจมตีไปแล้วก่อนหน้านี้ด้วยน้ำมือของกองทัพรัสเซีย
ผู้สื่อข่าว BBC เผยแพร่ลงบทความว่า “ภายในโรงงานที่เราไปเยี่ยมชม เราได้รับแจ้งว่าห้ามถ่ายภาพรายละเอียดต่างๆ เช่น เสา หน้าต่าง หรือเพดาน นอกจากนี้ยังขอไม่ให้แสดงใบหน้าของคนงานในสายการผลิต ซึ่งเป็นที่ที่ขีปนาวุธฟลามิงโกอยู่ในขั้นตอนต่างๆ ของการผลิต”
ขีปนาวุธฟลามิงโกยูเครน เจ๋งกว่าโทมาฮอว์กสหรัฐฯ
ขีปนาวุธ "ฟลามิงโก" (Flamingo) หรือรหัสทางการคือ FP-5 Flamingo คือขีปนาวุธร่อนรุ่นใหม่ที่พัฒนาโดยประเทศยูเครน ซึ่งเพิ่งมีการเปิดเผยข้อมูลและภาพถ่ายในช่วงเดือนสิงหาคม 2025 ที่ผ่านมา
อาวุธชนิดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น "อาวุธยุทธศาสตร์" ที่เน้นทำลายเป้าหมายสำคัญในระยะไกลมาก มีพิสัยการทำการไกลถึง 3,000 กิโลเมตร ซึ่งไกลกว่าขีปนาวุธโทมาฮอว์กของสหรัฐฯ เกือบเท่าตัว ทำให้ยูเครนสามารถโจมตีเป้าหมายลึกเข้าไปในรัสเซียได้ถึงเขตอาร์กติก นอกจากนี้ ยังแบกน้ำหนักหัวรบได้ถึง 1,150 กิโลกรัม มากกว่าโทมาฮอว์กประมาณ 2.5 เท่า ซึ่งมีอานุภาพทำลายล้างสูงมาก สามารถเจาะคอนกรีตหนาได้ถึง 10 เมตร
ความโดดเด่นที่พลิกเกมสงครามรัสเซีย-ยูเครน แม้ว่ายูเครนจะมีกำลังทางทหารน้อยกว่า แต่ยุทโธปกรณ์ต้นทุนต่ำเหล่านี้ ช่วยให้ประเทศเล็กต่อกรกับมหาอำนาจอย่างรัสเซียได้ดีขึ้น ค่าใช้จ่ายสำหรับผลิตขีปนาวุธฟลามิงโกอยู่ที่ประมาณ 500,000 ถึง 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่มันให้ ด้วยการใช้วัสดุอย่างคาร์บอนไฟเบอร์และเครื่องยนต์เจ็ทแบบที่ใช้ในเครื่องบินฝึกหัดมาดัดแปลง ทำให้ผลิตได้เร็ว โดยยูเครนตั้งเป้าผลิต 210 ลูกต่อเดือน
พลเอกโอเล็กซานเดอร์ ซีร์สกี ผู้บัญชาการกองทัพยูเครน กล่าวว่า การโจมตีระยะไกลของยูเครนได้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจรัสเซียไปแล้วกว่า 21,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้
ลดพึ่งพาอาวุธต่างชาติ ราคาแพง กฎระเบียบเยอะ
การมีอยู่ของขีปนาวุธฟลามิงโกช่วยให้ยูเครนมีขีดความสามารถในการ "ตอบโต้" โดยไม่ต้องพึ่งพาอาวุธจากชาติตะวันตกซึ่งมักมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่การใช้งาน เช่น การห้ามยิงเข้าไปในแผ่นดินรัสเซีย ซึ่งฟลามิงโกเป็นอาวุธที่ยูเครนผลิตเอง 100% จึงสามารถเลือกโจมตีเป้าหมายทางทหารหรือโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานของคู่กรณีได้โดยอิสระ
แม้จะอยู่ภายใต้แรงกดดัน ยูเครนก็ยังคงเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาวุธของตน ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศผลิตอาวุธมากกว่า 50% ที่ใช้ในแนวหน้า และอาวุธระยะไกลเกือบทั้งหมดก็ผลิตภายในประเทศเช่นกัน
ในช่วงเริ่มต้นสงคราม ยูเครนส่วนใหญ่พึ่งพาอาวุธยุทโธปกรณ์เก่าจากยุคโซเวียต การสนับสนุนทางทหารจากชาติตะวันตกช่วยให้กองทัพของประเทศทันสมัยขึ้น แต่ปัจจุบันยูเครนเป็นผู้นำของโลกในด้านการพัฒนาระบบไร้คนขับ เช่น หุ่นยนต์และโดรน
ไอไรนา เตเรกฮ์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของ Fire Point ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตโดรนและขีปนาวุธรายใหญ่ที่สุดของยูเครน โดยมีคำขวัญภาษาละตินประจำบริษัทผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ "Si non nos, quis?" ที่แปลว่า "ถ้าไม่ใช่เรา แล้วจะใครล่ะ" หญิงสาววัย 33 ปีคนนี้เคยเรียนสถาปัตยกรรม แต่ปัจจุบันเธอกำลังพยายามช่วยรื้อถอนเครื่องจักรสงครามของรัสเซีย
ผู้สื่อข่าว BBC บรรยายว่า เธอตัวเล็กมากเมื่อยืนอยู่หน้าขีปนาวุธฟลามิงโกขนาดยักษ์ โดยเธอเล่าว่าขีปนาวุธถูกทาสีดำ ไม่ใช่สีชมพู ต่างจากต้นแบบรุ่นแรก ๆ แต่มันไม่ใช่การทาเพื่อความสวยงามหรือเพื่อใช้ในสนามรบจริง ทีมวิศวกรเล่าว่า การทาสีชมพู (Hot Pink) ให้กับขีปนาวุธในตอนแรก เป็นการเย้ยหยัน กองทัพคู่กรณีเพื่อสื่อว่า "อาวุธหน้าตาน่ารัก ตลก ๆ แบบนี้แหละ ที่จะไปทำลายคลังน้ำมันหรือฐานทัพของคุณ"
อย่างไรก็ตาม ขีปนาวุธรุ่นที่ใช้งานจริงถูกเปลี่ยนเป็นสีดำด้าน เพื่อความเหมาะสมในการพรางตัวระหว่างการบินในเวลากลางคืน และเพื่อความประหยัดในการผลิตจำนวนมาก
ยูเครนยังเป็นรองรัสเซีย และต้องพึ่งพาภายนอกอยู่ดี
รูสลัน เจ้าหน้าที่ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษของยูเครน กล่าวว่ากลยุทธ์การสู้รบของยูเครนนั้นเรียบง่าย คือ "ลดขีดความสามารถทางทหารและศักยภาพทางเศรษฐกิจของศัตรู" เขากล่าวว่ากองกำลังปฏิบัติการพิเศษของยูเครนได้โจมตีโรงกลั่นน้ำมัน โรงงานผลิตอาวุธ และคลังกระสุนหลายร้อยครั้ง ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในดินแดนของรัสเซีย
แน่นอนว่ารัสเซียก็ทำเช่นเดียวกัน และในระดับที่มากกว่า โดยเฉลี่ยแล้วรัสเซียปล่อยโดรน Shahed ประมาณ 200 ลำต่อวัน ในขณะที่ยูเครนตอบโต้ด้วยจำนวนประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนนั้น
อีกทั้งรัสเซียไม่ได้จำกัดการโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น การโจมตีด้วยขีปนาวุธระยะไกลและโดรนของรัสเซียส่งผลให้เกิดไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ทั่วประเทศ ทำให้ชีวิตของพลเรือนหลายล้านคนยากลำบากยิ่งขึ้น “ผมอยากจะปล่อยโดรนมากเท่ากับที่รัสเซียทำ” รุสลันกล่าว “แต่เรากำลังขยายขีดความสามารถอย่างรวดเร็วมาก”
ไอไรนา เตเรกฮ์ จาก Fire Point กล่าวว่า ยูเครนอาจไม่สามารถผลิตยุทโธปกรณ์จนเทียบเท่าทรัพยากรของรัสเซียได้ในขณะนี้ แต่เธอกล่าวว่า "เรากำลังพยายามต่อสู้ด้วยสติปัญญาและยุทธวิธี" ด้านเดนิส ชติเลอร์แมน หัวหน้าฝ่ายออกแบบและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Fire Point ยอมรับว่าไม่มี "Wunderwaffe" หรืออาวุธมหัศจรรย์อย่างแท้จริง เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่จะพลิกเกมสงครามได้คือความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ
ทั้งนี้ บริษัท Fire Point ก่อตั้งขึ้นหลังรัสเซียรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบ แต่ปัจจุบันบริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้ผลิตโดรนได้ถึง 200 ลำต่อวัน โดรนรุ่น FP1 และ FP2 ซึ่งมีขนาดเท่าเครื่องบินขนาดเล็ก ได้ทำการโจมตีระยะไกลจากยูเครนไปแล้วถึง 60% ซึ่งโดรนแต่ละลำมีราคาประมาณ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ มีราคาถูกกว่าโดรน Shahed ของรัสเซียถึงสามเท่า แต่รัสเซียยังคงผลิตโดรน Shahed ได้เกือบ 3,000 ลำต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม ยูเครนยังคงต้องการความช่วยเหลือจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านข่าวกรอง การกำหนดเป้าหมาย และเงินทุน แต่ก็กำลังพยายามพึ่งพาตนเองให้มากขึ้น บริษัทจึงพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ชิ้นส่วนจากจีนและสหรัฐฯ ด้วยอุดมการณ์ที่ว่าจะต้องไม่มีประเทศใด สามารถมีอิทธิพลต่ออาวุธที่ยูเครนผลิตได้
