ธุรกิจการตลาด

ก่อนจอง ‘Apple Vision Pro’ ต้องดู 7 ข้อนี้ เปิดรับจองแล้วในสหรัฐ

21 ม.ค. 67
ก่อนจอง ‘Apple Vision Pro’ ต้องดู 7 ข้อนี้ เปิดรับจองแล้วในสหรัฐ

‘Apple Vision Pro’ ว่าที่แกดเจ็ตเปลี่ยนโลกตัวใหม่ที่หลายคนตั้งตารอ เปิดให้ Pre-Order แล้วเมื่อวันศุกร์ที่ 19 ม.ค. ที่ผ่านมาสำหรับลูกค้าในสหรัฐอเมริกา สนนราคาเริ่มต้นที่ราว ‘120,000 บาท’ แต่ก่อนที่จะไปร่วมสัมผัสก้าวแรกสู่ประสบการณ์เทคโนโลยีของเจเนอเรชันถัดไป PC Mag รวบรวม 7 ข้อควรรู้สำหรับคนที่เตรียมพุ่งไปสั่งจอง Vision Pro บนเว็บไซต์ของ Apple ดังต่อไปนี้

 

 
1) สั่งจอง Vision Pro ได้ที่ไหน

Apple Vision Pro เปิดให้จองแล้วทางเว็บไซต์ของ Apple โดยเริ่มที่สหรัฐอเมริกาเป็นที่แรก โดยมีตัวเลือกให้เลือกดังนี้

  • รุ่นความจุ 256 GB - 3,499 ดอลลาร์ (1.24 แสนบาท)
  • รุ่นความจุ 512 GB - 3,699 ดอลลาร์ (1.31 แสนบาท)
  • รุ่นความจุ 1 TB - 3,899 ดอลลาร์ (1.38 แสนบาท)
  • มาพร้อมตัวเลือกในการเพิ่มเลนส์ ‘ZEISS’ เข้าไป โดย
  • เลนส์อ่านหนังสือ - 99 ดอลลาร์ (3,514 บาท)
  • เลนส์สายตา - 149 ดอลลาร์ (5,290 บาท)

    ในกล่องของ Vision Pro จะมาพร้อมกับ

  • แว่น Vision Pro
  • สายคาดหัว
  • ผ้าคลุม
  • ชุดแบตเตอรี่เสริม
  • แผ่นบุกันแสง
  • ผ้าเช็ด
  • อแดปเตอร์ 30W พร้อมสายชาร์จ USB-C

 

2) ไม่ใช่แค่ ‘แว่น VR’

 

แม้รูปลักษณ์ จะเหมือนกับแว่น VR (Virtual Reality) ที่คอนเซปต์คือการปิดการมองเห็นโลกภาพนอก พาเราไปยังโลกเสมือน แต่ Apple ก็เลือกที่จะใช้คำว่าอุปกรณ์ ‘Spatial Computing’ หรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้แสดงผลบนหน้าจอสี่เหลี่ยม แต่เป็นพื้นที่ว่างรอบตัว และถ้าเจาะลึกลงไปในทางเทคนิค Vision Pro จะเข้าข่ายเป็นอุปกรณ์ Mixed Reality ที่ผสมทั้ง VR และ AR เข้าไว้ด้วยกัน (AR - Augmented Reality คือการนำโลกเสมือนมาซ้อนทับบนโลกจริงเหมือน Pokemon Go)

Vision Pro ไม่ใช่เจ้าแรกที่เปิดตัวแว่น ในลักษณะนี้ เจ้าตลาดคนสำคัญอย่าง Meta ก็มีทั้ง Meta Pro และ Meta Quest 3 ซึ่งวางตลาดแล้วในขณะนี้ นอกจากนี้ ยังมีทั้งแว่น VR ล้วน และแว่น AR ล้วนอยู่ในตลาด ต้องติดตามว่าการมาของ Vision Pro จะเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งาน หรือทลายกำแพงให้ผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มเช่นนี้กลายมาเป็นแว่นที่ใครๆ ก็อยากใส่ได้อย่างไร

 

3) ไม่ได้เกิดมาเพื่อใส่เดินข้างนอก

 

แม้จะบอกว่า Vision Pro จะสามารถทำให้เราเห็นสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวได้ แต่ก็ไม่ได้ดีจนสามารถใส่เดินไปไหนมาไหนได้เสียทีเดียว อันตรายที่เกิดขึ้นอาจมีตั้งแต่การเดินไปชนขอบโต๊ะ ขอบเตียง ไปจนถึงถูกรถเฉี่ยวชนได้ แถมแบตเตอรี่ที่มีก็อยู่ได้นานสุดไม่เกิ 2.5 ชม. ใส่ใช้งานได้ไม่นานก็อาจต้องเก็บใส่กระเป๋าหรือเสียบชาร์จเสียแล้ว

 

 

 

4) ใช้ ‘มือ’ แทนจอยสติ๊ก

 

ตั้งแต่การเปิดตัว iPhone ครั้งแรกเมื่อปี 2007 Apple ก็ได้ชูเรื่องอุปกรณ์ควบคุมที่ดีที่สุดนั่นก็คือ ‘นิ้วของเรา’ ซึ่งสำหรับ Vision Pro นี้ก็เช่นกัน แทนที่จะใช้อุปกรณ์ควบคุมที่มีลักษณะเป็นรีโมท หรือจอยสติ๊กเหมือนเจ้าอื่นๆ Vision Pro อาศัยพียง ‘มือ’ ของผู้ใช้, ติดตามการเคลื่อนไหวของดวงตา ควบคู่การสั่งการด้วยเสียงเท่านั้น ในการสั่งการ ซึ่งท่าการใช้งานที่มีมาใหม่ตั้งแต่การเปิดตัว Vision Pro ก็คือท่า ‘จีบนิ้ว’ ซึ่งในการล่าสุดของ WatchOS ของ Apple Watch ก็เพิ่มท่าทางนี้เข้าไปด้วยแล้ว ใครที่มี Apple Watch สามารถลองทำท่านี้ให้คุ้นชินก่อนได้เลย

บนตัวเครื่องของ Apple Vision Pro จะมีปุ่มเพียงปุ่มเดียวคือปุ่มเม็ดมะยม ‘Digital Crown’ เหมือนกับของ Apple Watch ซึ่งจะทำให้คุณเลื่อนขึ้นลงได้ และคุณยังสามารถเชื่อมต่อเมาส์ หรือคีย์บอร์ดได้สำหรับท่าทางการทำงานที่คุณอาจคุ้นเคยมากกว่า



5) ถูกพัฒนาขึ้นบน macOS และ iOS

 

แม้ระบบปฏิบัติการของ Vision Pro จะเป็นระบบปฏิบัติการใหม่ที่มีชื่อ visionOS แต่ก็จะมีการใช้งานที่คุ้นเคยเพราะถูกพัฒนาขึ้นบน macOS, iOS และ iPadOS แต่เสริมด้วยการใช้งานแบบ 3 มิติ (ต่างกับหน้าตาของ iOS กับ WatchOS ที่มีวิธีคิด วิธีการใช้งานที่แตกต่างกันมาก) ทำให้หน้าตาของแอปพลิเคชันต่างเป็นอย่างที่สาวก Apple คุ้นเคย โดยจะมีหลายแอปสำคัญติดมากับเครื่อง อาทิ Apple TV, FaceTime, Messages, Mail, Photos, Safari, Apple Arcade แต่แอปจากค่ายอื่นๆ อาจยังอยู่ในขั้นของการพัฒนาและยังไม่สามารถโหลดใช้งานได้ มีเพียงไม่มีแอป หนึ่งในนั้นคือ Disney+ ที่คอนเฟิร์มแล้วว่าจะสามารถใช้งานบน Vision Pro ได้

 

6) ดูแบบเต็มตา กับโรงหนังเคลื่อนที่

 

Vision Pro มาพร้อมกับคลังภาพยนตร์ ซีรีส์ของ Apple TV ที่จะทำให้คุณพาโรงหนังขนาดยักษ์ไปได้ด้วยทุกที่ และยังสามารถรับชมคอนเทนต์คุณภาพจากสตรีมมิ่งเจ้าดังได้ อาทิ SPN, NBA, MLB, PGA Tour, Max, Discovery+, Amazon Prime Video, Paramount+, Peacock, Pluto TV, Tubi, Fubo, Crunchyroll, Red Bull TV, IMAX, TikTok, และ Mubi ไม่เพียงเท่านั้น หนังเรื่องไหนที่มีการถ่ายทำแบบรองรับ 3D ก็จะสามารถรับชมได้เลยด้วย Vision Pro โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม และไม่ต้องใส่แว่น 3D เพียงแต่จะต้องเผื่อแบตเตอรี่เอาไว้หน่อยเท่านั้น

 

7) เร็ว แรง แบบ iPad Pro

 

นอกจากกล้อง เซนเซอร์ จอภาพคุณภาพสูงที่อัดแน่นอยู่ใน Vision Pro แล้ว ชิปที่เปรียบเสมือนมันสมองของ Vision Pro ยังได้ ‘M2’ ที่มาจัดการเรื่องการประมวลผลแอปพลิเคชันและระบบ visionOS โดยมีชิปใหม่อย่าง R1 ที่มาจัดการเรื่องการเนรมิตภาพบแบบแหวกมิติโดยเฉพาะ และชิป R2 มาจัดการกล้อง และเซนเซอร์ต่างๆ ซึ่งจะทำให้ Vision Pro ประมวลผลได้อย่างลื่นไหล เหมือนกับ Macbook ที่ใช้ชิปตัวเดียวกันอย่าง Macbook Air ปี 2023 และ Macbook Pro ปี 2022 เลยทีเดียว ไม่ต้องกังวลเรื่องการกระตุก

 

Apple Vision Pro

 

สำหรับสาวกที่อยากจะหิ้ว Vision Pro มาจากสหรัฐ อาจต้องศึกษารายละเอียดให้ดี โดยเว็บไซต์ Mac Rumors เผยว่า ข้อที่จะต้องทำความเข้าใจในการใช้งาน Vision Pro ที่มาจากสหรัฐ มีดังนี้

 

  • รองรับเฉพาะภาษาอังกฤษ (U.S.) รวมทั้งการพิมพ์, Siri และ Dictation ในระยะแรก
  • App Store ใช้ได้เฉพาะ Apple ID ที่ตั้งภูมิภาคเป็นสหรัฐอเมริกา
  • การซื้อใน Apple Music และ TV ต้องใช้ Apple ID ที่ตั้งภูมิภาคเป็นสหรัฐอเมริกา
  • เลนส์เสริมของ ZEISS ต้องใช้ใบสั่งค่าสายตา ที่ออกโดยผู้เชี่ยวชาญในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และสินค้าจัดส่งเฉพาะในอเมริกา
  • การใช้งานอาจไม่สามารถเข้าถึงแอป ฟีเจอร์ หรือคอนเทนต์ ที่กำหนดให้รับชมได้เฉพาะบางประเทศ
  • ฝ่ายซัพพอร์ตมีเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

 

โดยในปีนี้ จะมีประเทศอื่นๆ ทยอยวางจำหน่ายภายในปีนี้ สาวกชาวไทยจะได้ยลโฉม Vision Pro ตัวจริง ช่วงไหน ต้องรอติดตามรายกันต่อไป

 

ที่มา : PC Mag, Apple, Mac Rumors

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT