ธุรกิจการตลาด

Baidu เตรียมปล่อย ChatGPT เวอร์ชั่นจีน วงในเผยเปิดตัวแน่ มี.ค. นี้

30 ม.ค. 66
Baidu เตรียมปล่อย ChatGPT เวอร์ชั่นจีน วงในเผยเปิดตัวแน่  มี.ค. นี้

วงการ AI ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เมื่อมีแหล่งข่าวออกมาเปิดเผยว่าในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ Baidu หรือ ไป่ตู้ เว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้นอันดับ 1 ของจีนกำลังจะเปิดตัวแชทบอท AI ที่พูดคุยตอบคำถาม เขียนงานตามคำสั่งได้เหมือน ChatGPT ของ OpenAI หลังซุ่มลงทุนพัฒนามาหลายปี

จากการรายงานของ Bloomberg ไป่ตู้จะใช้ Eenie System ซึ่งเป็นโมเดล machine learning ที่ไป่ตู้พัฒนาขึ้นมาเป็นระบบพื้นฐานสำหรับแชทบอท AI และมีแผนที่จะปล่อยแชทบอทตัวนี้ออกมาในรูปแบบแอพพลิเคชั่นเดี่ยวๆ ก่อน ก่อนที่จะรวมมันเข้ากับเสิร์ชเอนจิ้นที่ไป่ตู้มีอยู่ เช่นเดียวกับ Microsoft ผู้ลงทุนรายใหญ่ใน OpenAI ที่วางแผนจะผสานความสามารถของ ChatGPT เข้ากับ Bing เสิร์ชเอนจิ้นของ Microsoft เพื่อเข้าแข่งขันกับกูเกิ้ล

โดยในระยะเวลาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไป่ตู้ได้ลงทุนเงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ของตัวเอง เพราะมีแผนจะขยายธุรกิจจากธุรกิจการตลาดออนไลน์มาเป็นธุรกิจเทคโนโลยีขั้นสูงแบบเต็มตัว ซึ่งผลงานที่ได้ก็คือ Ernie System ซึ่งไป่ตู้เปิดเผยว่าได้เรียนรู้และพัฒนาความสามารถจากข้อฐานข้อมูลมหาศาลมาแล้วเป็นเวลาหลายปี

โดยหากข่าวการเปิดตัว AI สัญชาติจีนนี้เป็นจริง นี่จะเป็นครั้งแรกที่จีนกระโดดลงมาเล่นในสนามการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ หลังปล่อยให้บริษัทจากสหรัฐฯ ปล่อยผลงานนำหน้ามาแล้วหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น AI วาดรูปอย่าง DALL-E และ Midjourney และ AI แชทบอทอย่าง ChatGPT ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้

istock-1458928158

ซึ่งถึงแม้จะผ่านมาแล้วประมาณ 2 เดือน ChatGPT ก็ยังคงเป็นที่พูดถึงอยู่เรื่อยๆ จากความสามารถในการตอบคำถาม แก้ปัญหา และเขียนงานหลายอย่างตามคำสั่งได้ ไม่ว่าจะเป็นจดหมาย เรียงความ วิจัย บทความ หรือแม้แต่งานสร้างสรรค์อย่างนิยาย หรือกลอน ถึงแม้จะมียังมีปัญหาในด้านความถูกต้องแม่นยำ เพราะบางที ChatGPT ก็เอาข้อมูลที่มีในสารบบมายำใหญ่จนได้ผลออกมาเป็นงานเขียนที่มีข้อมูลผิดๆ ให้ผู้ใช้

โดยหลังจากเดบิวต์ไปในเดือนพฤศจิกายน ก็มีผู้สนใจเข้าไปใช้ ChatGPT มากกว่า 1 ล้านคนในเวลาไม่กี่วัน สะท้อนความสนใจของผู้คนที่มีต่อ AI และศักยภาพของมันในฐานะสินค้าในอนาคต และทำให้ OpenAI ได้เงินลงทุนอีกหลายพันล้านเหรียญสหรัฐจาก Microsoft ที่ได้สิทธิขาดในการใช้ AI ของ OpenAI ในสินค้าของตัวเองเพื่อเพิ่มมูลค่า

เมื่อดูจากเม็ดเงินที่ทั้ง 2 บริษัทใหญ่จากทั้ง 2 ชาติลงทุนไปกับการพัฒนา AI แล้ว ก็อาจจะไม่น่าแปลกใจนักหากเราได้เห็นการแข่งขันพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในอนาคต ในทำนองเดียวกับที่เราเคยเห็นสหรัฐฯ และรัสเซียแข่งกันพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศกันมาก่อน 

ซึ่งก็น่าติดตามว่าในอนาคตใครจะสามารถพัฒนา AI ที่มีคุณภาพและมีความสามารถพอเอามาขายเป็นสินค้าและบริการได้ก่อนกัน หรือจะมีผู้เล่นใหม่ลงสนามมาทำให้ตลาดนี้มีการแข่งขันที่สูงขึ้นอีก



ที่มา: Bloomberg, Reuters

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT