
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยรายงานระบุว่า ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในปี 2569 เมื่อความต้องการใช้ข้อมูลของภาคธุรกิจและผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน การขยายตัวของเทคโนโลยีดิจิทัล การทำธุรกรรมออนไลน์ และการนำ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน ล้วนทำให้ปริมาณข้อมูลที่ต้องจัดเก็บและประมวลผลเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ จนองค์กรจำนวนมากเริ่มหันมาใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์แทนการลงทุนระบบเอง ซึ่งต้องใช้เงินทุนสูงทั้งด้านอุปกรณ์ โครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง
ในภาพรวม บริการดาต้าเซ็นเตอร์กำลังกลายเป็นแกนกลางสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของไทย โดยคาดว่าปี 2569 จะมีสัดส่วนสูงถึง 47.2% ของมูลค่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ไทยทั้งหมด ความนิยมใช้บริการดังกล่าวยังเพิ่มขึ้นจากข้อเสนอใหม่ๆ ของผู้ให้บริการที่รวมถึงแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
กระแสการใช้งานดิจิทัลในภาคเอกชนไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้รวมของธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ขยายตัวเฉลี่ย 11.1% ต่อปี โดยกว่า 95% ของความต้องการจัดเก็บข้อมูลมาจากองค์กรธุรกิจเอกชนที่เพิ่มการใช้เทคโนโลยีสำหรับการวางแผนกลยุทธ์ การบริหารจัดการ และการเข้าถึงลูกค้า ทั้งยังต้องรองรับระบบใหม่ๆ เช่น AI ที่หลายบริษัทเริ่มนำมาใช้จริงจัง
ข้อมูลล่าสุดในปี 2568 พบว่าองค์กรไทยกว่า 68% นำ AI มาใช้แล้ว มากกว่าค่าเฉลี่ยโลกเกือบ 20 จุด และกว่า 90% มีแผนจะใช้อย่างเต็มรูปแบบภายใน 2-3 ปีข้างหน้า การขยายตัวของปริมาณข้อมูลที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน AI โดยตรง เช่น ระบบประมวลผลภาพ เสียง ข้อความ การวิเคราะห์เรียลไทม์ หรือระบบคาดการณ์พฤติกรรมลูกค้า ล้วนเป็นแรงผลักให้ธุรกิจหันมาใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่รองรับการประมวลผลด้วยโครงสร้างพื้นฐานประสิทธิภาพสูง
ส่วนแบ่งตลาดบริการดาต้าเซ็นเตอร์ในปี 2569 จะกระจุกตัวอยู่ในสามอุตสาหกรรมหลักที่รวมกันคิดเป็นราว 73% ของรายได้ทั้งหมด ประกอบด้วยภาคการเงินที่มีสัดส่วนราว 29% รองลงมาคือภาคค้าส่ง-ค้าปลีก 25% และภาคบริการสุขภาพ 19% ซึ่งแต่ละภาคส่วนมีรูปแบบการเติบโตที่แตกต่างกันตามพฤติกรรมผู้บริโภคและโครงสร้างของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า รายได้รวมของธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ไทยในปี 2569 คาดว่าจะเติบโต 9% จากความต้องการใช้งานในกลุ่มลูกค้าหลักสามอุตสาหกรรมที่ต่างกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างด้านดิจิทัล
ภาคการเงินยังคงเป็นลูกค้าหลักของผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ โดยแนวโน้มเติบโตสัมพันธ์โดยตรงกับการขยายตัวของธุรกรรมทางการเงินแบบดิจิทัล ทั้งระบบ PromptPay และ e-Wallet ที่รวมกันคิดเป็นกว่า 92% ของจำนวนธุรกรรมชำระเงินในประเทศ ปี 2569 ปริมาณธุรกรรมจากสองระบบนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 13.3%
นอกจากนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดว่า Virtual Bank จะเริ่มเปิดให้บริการช่วงกลางปี 2569 ซึ่งจะผลักดันความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลและระบบประมวลผลเพิ่มขึ้น รวมถึงการใช้เทคโนโลยี AI เช่น ระบบสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตน (Face Recognition KYC) ที่ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีเสถียรภาพและมาตรฐานความปลอดภัยสูง
ภาคค้าส่ง-ค้าปลีกเป็นอีกหนึ่งแรงขับของตลาด โดยโมเดิร์นเทรดคาดว่าจะเติบโต 3.4% และอีคอมเมิร์ซมีแนวโน้มขยายตัว 5–8% ในปี 2569 ปริมาณคำสั่งซื้อที่พุ่งสูงในช่วงเทศกาลหรือแคมเปญลดราคา ทำให้ธุรกิจต้องใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่สามารถเพิ่มกำลังจัดเก็บข้อมูลได้แบบยืดหยุ่นทันที
การใช้ระบบ AI เพื่อแนะนำสินค้าเฉพาะบุคคล (Personalized Recommendation) ทำให้ธุรกิจต้องเก็บข้อมูลพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าแต่ละรายในปริมาณมหาศาล ส่งผลให้ดีมานด์ใช้พื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ภาคบริการสุขภาพกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลอย่างรวดเร็ว โดยจำนวนผู้ป่วยในประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7% ต่อปีหลังโควิด-19 ขณะเดียวกันกระแสรักสุขภาพ การขยายตัวของผู้สูงอายุ และการเติบโตของ Telemedicine, Health Rider และใบรับรองแพทย์ดิจิทัล ทำให้โรงพยาบาลและคลินิกต้องใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลทั้งเวชระเบียน ผลตรวจ และภาพการแพทย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การนำ AI มาช่วยวินิจฉัย อธิบายผลตรวจ หรือให้คำแนะนำผ่าน Chatbot ยังยิ่งเพิ่มภาระข้อมูลที่ต้องเก็บในระบบ ส่งผลให้ภาคสุขภาพกลายเป็นหนึ่งในตลาดที่ต้องการใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์มากที่สุดของไทย
ทั้งนี้ แม้แนวโน้มเติบโตมีความชัดเจน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ไทยยังต้องเผชิญแรงกดดันในหลายด้านในช่วงกลางถึงยาว
การบังคับใช้ พ.ร.บ. Climate Change อาจทำให้ผู้ให้บริการต้องเร่งปรับตัวไปใช้พลังงานสะอาด เนื่องจากดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่บางแห่งใช้ไฟฟ้าปริมาณเทียบเท่าหลายแสนครัวเรือนต่อปี หากยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ย่อมส่งผลต่อการปล่อยคาร์บอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกัน โครงการ Direct PPA สำหรับซื้อไฟฟ้าสะอาดโดยตรงยังอยู่ในช่วงทดลอง ปริมาณจำกัด และมีความไม่แน่นอนด้านต้นทุน ทำให้ผู้ประกอบการวางแผนด้านพลังงานระยะยาวได้ยาก
การเข้าถึงน้ำสำหรับระบบทำความเย็น (Cooling Systems) ก็เป็นโจทย์สำคัญ เนื่องจากดาต้าเซ็นเตอร์ต้องใช้น้ำจำนวนมาก หากตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีข้อจำกัด อาจกระทบการดำเนินงานและทำให้ถูกกำหนดมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต
ด้านการแข่งขัน ภูมิภาคอาเซียนมีการแข่งขันรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยสิงคโปร์และมาเลเซียขยายโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่อง ทั้งสองประเทศกำลังผลักดันตัวเองเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาค ทำให้ไทยต้องแข่งขันทั้งด้านคุณภาพ เครือข่าย และต้นทุน
อีกหนึ่งความท้าทายคือ การขาดแคลนแรงงานดิจิทัลขั้นสูง ทั้งในด้าน AI, Cybersecurity และระบบเครือข่าย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผู้ลงทุนต่างชาติมองเป็นโจทย์ใหญ่ สะท้อนจากความพยายามของผู้ให้บริการระดับโลกที่ต้องเข้ามาพัฒนาและอบรมบุคลากรไทยด้วยตนเอง
ท้ายที่สุด ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงการรั่วไหลของข้อมูล ซึ่งยิ่งทวีความซับซ้อนในยุค AI เป็นประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า และเป็นความท้าทายที่ผู้ให้บริการต้องรับมืออย่างจริงจัง