
ทั่วโลกกำลังถกเถียงกันว่าการเติบโตของ AI เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน หรือกำลังก่อตัวเป็นฟองสบู่ที่รอวันแตก ฝั่งหนึ่งตั้งคำถามกับการลงทุนมูลค่ามหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ (AI) และราคาหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ซึ่งเกี่ยวข้องกับ AI ที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่อีกฝั่งเชื่อมั่นว่า AI เป็นโอกาสทางเทคโนโลยีครั้งประวัติศาสตร์ที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่
ล่าสุดมีรายงาน ‘Bubble or Nothing’ โดย Center for Public Enterprise องค์กรวิจัยในสหรัฐฯวิเคราะห์ว่า ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการพัฒนาศูนย์ข้อมูล (data center) โดยเตือนว่า หากสภาวะทางเศรษฐกิจของภาคเทคโนโลยีแย่ลง อาจทำให้การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI และโครงการศูนย์ข้อมูลมลายหายไป ด้วยเหตุนั้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของการพัฒนาศูนย์ข้อมูลก็จะหายไปด้วย
ขณะที่บลูมเบิร์ก (Bloomberg) มีบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจโดยนักข่าวการเงิน เทรซี อัลโลเวย์ (Tracy Alloway) ซึ่งได้ใช้ข้อมูลบางส่วนจากรายงานดังกล่าวมาใช้ประกอบการวิเคราะห์ด้วย โดยเธอตั้งข้อสังเกตว่า ภาคอุตสาหกรรม AI ตอนนี้ใหญ่มากจนอาจจะกลายเป็นตัวสร้างปัญหาเศรษฐกิจเหมือนที่ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นสาเหตุให้เกิดวิกฤตซับไพรม์เมื่อปี 2008 ซึ่งต่างจากวิกฤตส่วนใหญ่ที่เซกเตอร์ต่างๆ จะเป็นฝ่ายรับผลกระทบจากเศรษฐกิจภาพใหญ่
เธอชี้ให้เห็นเหตุผลสนับสนุนว่า ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ เจฟฟ์ ซอต (Jeff Saut) ตำนานแห่งตลาดทุน ซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของวาณิชธนกิจ เรย์มอนด์ เจมส์ (Raymond James) เขียนบทวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า ในอดีต วิกฤตของภาคอสังหาริมทรัพย์มักเกิดจากปัญหาเศรษฐกิจภาพใหญ่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจนี้ เช่น อัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้คนไม่มีเงินซื้อบ้าน
แต่ในเดือนกันยายน 2007 ซอตสังเกตเห็นว่าทิศทางของปัญหากำลังเปลี่ยนไปแบบกลับด้าน โดยชอตเห็นว่า ขนาดอันใหญ่มหึมาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯและความสำคัญที่เพิ่มขึ้นอย่างมากต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยเองกลายเป็นตัวขับเคลื่อนปัญหาเศรษฐกิจมหภาค ไม่ใช่ภาคส่วนที่เป็นผู้รับผลกระทบ
เทรซี อัลโลเวย์บอกว่า เมื่อสังเกตตลาด AI ในปัจจุบัน เธอก็อดนึกถึงพลวัตของวิกฤตอสังหาฯดังกล่าวไม่ได้ เพราะมีข่าวบริษัทระดมทุนหรือวางแผนการลงทุนด้าน AI ทุกวัน ซึ่งขนาดของมันใหญ่โตมหาศาลมาก
เธออ้างข้อมูลจากรายงานของ CPE ที่ประมาณการว่า เมตา (Meta), ไมโครซอฟต์ (Microsoft) และแอมะซอน (Amazon) จะทุ่มเงินรวมมากกว่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐลงในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในปีนี้เพียงปีเดียว และคาดว่าจะมีการลงทุนมากขึ้นอีกในปีต่อๆ ไป ซึ่งจะเป็นครื่องยนต์สำคัญในการกระตุ้นการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมให้กับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
นอกจากนั้น รายงานนี้ประเมินว่าการลงทุนใน AI จะมีสัดส่วนมากกว่า 40% ของการเติบโตของ GDP สหรัฐฯในปี 2025 และนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งที่ถูกอ้างถึงในรายงานบอกว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ การใช้จ่ายด้าน AI มีส่วนต่อการเติบโตของสหรัฐฯมากกว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภค
เมื่อความต้องการใช้จ่ายเงินลงทุนเพิ่มขึ้น ตลาดการเงินโดยเฉพาะสินเชื่อเอกชนก็ได้เข้ามาตอบการจัดหาเงินทุนจำนวนมากนี้เพื่อขยายการเติบโตอันน่าทึ่งของมัน ภาคการเงินจึงเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ AI เข้ามาเกี่ยวพันกับเศรษฐกิจจริง
ทั้งนี้ ปัจจุบัน AI กำลังส่งผลกระทบต่อมูลค่าทรัพย์สิน ตลาดแรงงาน ราคาไฟฟ้า การผลิต และความมั่งคั่งของครัวเรือน เจพีมอร์แกน (JPMorgan) ประเมินว่าประมาณ 44% ของมูลค่าดัชนี S&P 500 ในปัจจุบัน มาจากบริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 30 บริษัทที่มุ่งเน้นด้าน AI และภาคส่วนนี้ได้ทำให้ชาวอเมริกันมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นประมาณ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2025 หากมูลค่าตลาดของ AI ลดลงอย่างกะทันหัน การใช้จ่ายของผู้บริโภคก็น่าจะลดลงตามไปด้วยเช่นกัน
เทรซี อัลโลเวย์ ย้อนกลับไปอ้างถึงบทวิเคราะห์ของชอตในปี 2007 ที่ว่า จำเป็นอย่างมากที่จะต้องแยกความแตกต่างระหว่าง วิกฤตสินเชื่อตึงตัว (credit crunch) ซึ่งหมายถึงนายธนาคารและนักลงทุนไม่กล้าปล่อยกู้ กับวิกฤตหลักประกันตึงตัว (collateral crunch) ซึ่งหมายถึงการที่มูลค่าสินทรัพย์คำ้ประกันมีมูลค่าลดลงอย่างกะทันหัน และชอตได้เตือนไว้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำว่า ความเสี่ยงคือโรคระบาดทางการเงินจะแพร่กระจายและเปลี่ยนวิกฤตหลักประกันตึงตัวให้กลายเป็นวิกฤตสินเชื่อตึงตัวอย่างเต็มรูปแบบ
เทรซีมองว่า ในขณะนี้ ปัญหากระแสเงินสดดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับภาค AI และการใช้จ่ายยังคงเฟื่องฟูอย่างต่อเนื่อง แต่สักวันหนึ่ง ความสามารถในการสร้างรายได้จากการใช้จ่ายที่ทุ่มลงไป และการเปลี่ยนรายจ่ายลงทุนให้เป็นรายได้จะมีความสำคัญอย่างแท้จริง
หากผลกำไรไม่เกิดขึ้นจริง หากผู้บริโภคเปลี่ยนไปใช้ทางเลือกอื่นที่ถูกกว่าจากจีน และหากมูลค่าของ GPU ลดลง ภาคส่วนนี้อาจเผชิญกับวิกฤตหลักประกันตึงตัว ดังที่ชอตเตือนไว้เมื่อเกือบสองทศวรรษก่อนว่า ความอันตรายคือ วิกฤตสินเชื่อจะกลายเป็นวิกฤตสินเชื่อ และทำให้วงล้อขับเคลื่อน AI การเงิน และเศรษฐกิจทั้งหมดก็จะหยุดลงในทันที