Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เบื้องหลังบาดแผลของเด็กในสังคมชายเป็นใหญ่และครอบครัวพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง

เบื้องหลังบาดแผลของเด็กในสังคมชายเป็นใหญ่และครอบครัวพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง

11 ธ.ค. 68
17:03 น.
แชร์

เบื้องหลังความเจ็บปวดของเด็ก ระบบชายเป็นใหญ่ และครอบครัวที่มี พ่อเลี้ยง แม่เลี้ยง

บ้านควรเป็นที่ปลอดภัย เป็นที่ที่เด็กเติบโต กินข้าว นอนหลับ และเรียนรู้โลกด้วยความมั่นใจ แต่ในหลายครอบครัว ความจริงกลับสวนทางอย่างเจ็บปวด เด็กจำนวนไม่น้อยต้องใช้ชีวิตในพื้นที่ที่คนภายนอกเรียกว่า “บ้าน” แต่สำหรับเขาแล้วมันคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เสียงฝ่ามือ การตะโกนดุด่า และความเจ็บปวดที่ไม่รู้จะเล่ากับใคร

บางกรณีเป็นการทำร้ายกันซ้ำๆ โดยคนที่ควรเป็นผู้ปกป้อง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่แท้ๆ หรือคนที่เข้ามาเป็นพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงภายหลัง

งานวิจัยจำนวนมากทั่วโลกพูดตรงกันว่า เด็กที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ทางสายเลือดทั้งสองฝ่าย มีแนวโน้มเผชิญความรุนแรงในบ้านสูงกว่าเด็กในครอบครัวที่มีพ่อแม่ชีวภาพอยู่ครบ

แม้งานวิจัยจะย้ำว่าปัจจัยนี้ไม่ใช่ “สาเหตุเพียงอย่างเดียว” แต่เป็น “ความเสี่ยงที่สูงขึ้น” เมื่อมีปัญหาอื่นร่วมด้วย เช่น ความเครียดทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง หรือระบบความคิดแบบชายเป็นใหญ่ที่ยังฝังรากลึกในหลายสังคม ข้อมูลจากหลายประเทศชี้ว่า ครอบครัวผสม หรือครอบครัวที่มีพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง เป็นหนึ่งในโครงสร้างครอบครัวที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะเด็กอาจมีช่องว่างทางอารมณ์กับผู้ใหญ่ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ทำให้ความขัดแย้งเล็กๆ สามารถพัฒนาเป็นความรุนแรงได้ง่ายกว่าเดิม

ประเทศไทยเองยังมีตัวเลขที่สะท้อนปัญหานี้อย่างชัดเจน ข้อมูลจากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวระบุว่าในบางปี มีรายงานเหตุความรุนแรงในบ้านมากกว่า 4,000 เหตุการณ์ และเป็นเพียงเหตุที่มีการแจ้ง ขณะที่อีกจำนวนมากอาจยังถูกฝังอยู่หลังประตูบ้าน เด็กและผู้หญิงจำนวนมากยังถูกทำร้ายโดยไม่มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือหลุดออกมา เพราะกลัว สับสน หรือไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นขอความช่วยเหลืออย่างไร

ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่อง “ส่วนตัว” ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นโครงสร้างทางสังคมที่ฝังรากลึก ทั้งจากค่านิยมแบบชายเป็นใหญ่ที่ให้ค่ากับอำนาจของผู้ชายเหนือผู้หญิงและเด็ก จากเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้หญิงจำนวนมาก “ออกไปไม่ได้” แม้รู้ว่าบ้านไม่ปลอดภัย และจากระบบช่วยเหลือของรัฐที่ยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร การเปลี่ยนแปลงปัญหานี้จึงต้องอาศัยความเข้าใจร่วมกันว่าเบื้องหลังความรุนแรงไม่ได้เกิดจากคนใดคนหนึ่งเพียงลำพัง แต่เกิดจากแรงกดดันทางสังคมที่ผลักดันให้ความรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติแบบไม่ตั้งใจ

บทความนี้จะพาไปมองภาพรวมทั้งหมด ตั้งแต่ผลวิจัยเกี่ยวกับความเสี่ยงในครอบครัวที่มีพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง โครงสร้างอำนาจแบบชายเป็นใหญ่ เงื่อนไขเศรษฐกิจที่จำกัดเสรีภาพของผู้หญิง ไปจนถึงระบบคุ้มครองเด็กในไทย พร้อมชวนตั้งคำถามว่า เราจะทำอย่างไรให้ “บ้าน” กลับมาเป็นพื้นที่ปลอดภัยจริงๆ สำหรับทุกคนในครอบครัว

การมีพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงไม่ใช่สัญญาณของความรุนแรงเสมอไป หลายครอบครัวผสมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ข้อมูลวิชาการจำนวนมากพบแนวโน้มที่ต้องให้ความสนใจ เพิ่มการปกป้อง และไม่มองข้ามสัญญาณอันตรายใดๆ

งานศึกษาจากหลายประเทศสรุปในทิศทางเดียวกันว่า เด็กที่อยู่ในบ้านซึ่งผู้ใหญ่ไม่ใช่พ่อแม่ทางสายเลือด มีความเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายมากกว่า ทั้งการทำร้ายร่างกาย การละเลย การกดดันทางอารมณ์ หรือแม้แต่การล่วงละเมิดทางเพศ สาเหตุไม่ได้เกิดจากการมีพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงโดยตรง แต่เกิดจากเงื่อนไขอื่น เช่น ความสัมพันธ์ใหม่ที่ยังไม่มั่นคง ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ ความกดดันทางเศรษฐกิจ หรือความรู้สึกที่เด็กยังไม่ผูกพันกับผู้ใหญ่คนนั้นอย่างแท้จริง

ในหลายครอบครัว พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงเป็นผู้ดูแลเด็กอย่างดี แต่ในบางกรณี ความไม่ผูกพันและความคาดหวังที่ไม่ตรงกันระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กอาจนำไปสู่ความตึงเครียดสะสม กลายเป็นพฤติกรรมรุนแรงได้ง่ายกว่าเดิม

งานวิจัยเรียกแนวโน้มนี้ว่า “Cinderella effect” ซึ่งอธิบายว่าการที่ผู้ใหญ่ไม่ผูกพันกับเด็กเท่าพ่อแม่แท้ อาจเพิ่มโอกาสเกิดความรุนแรงในบางบริบท แม้ไม่ใช่สาเหตุเสมอไป การใช้คำนี้ต้องระวัง เพราะอาจทำให้คนตีความว่าพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงคือผู้ร้าย ทั้งที่ความจริงกว้างกว่านั้นมาก

สิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ ความเสี่ยงเหล่านี้เกิดขึ้นร่วมกับปัจจัยรอบตัว ไม่ใช่เพราะตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว ความเครียดทางการเงิน การเปลี่ยนโครงสร้างครอบครัว การต้องเริ่มสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ครอบครัวผสมมีความท้าทายมากกว่าครอบครัวที่มั่นคงตั้งแต่ต้น

ข้อมูลจากประเทศไทยชี้ให้เห็นภาพที่น่ากังวลเช่นกัน ในแต่ละปีมีเด็กและผู้หญิงจำนวนมากถูกทำร้ายในบ้าน แต่มีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ถูกบันทึกไว้เป็นทางการ รายงานจากหน่วยงานรัฐและองค์กรด้านเด็กชี้ว่า ประเทศไทยมีเหตุความรุนแรงในครอบครัวหลายพันครั้งต่อปี และส่วนใหญ่เป็นการทำร้ายผู้หญิง เด็ก หรือผู้สูงอายุ ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนความจริงที่ว่า ในหลายบ้าน ความเงียบคือกำแพงที่ปิดบังความเจ็บปวดเอาไว้

สาเหตุหลายอย่างทำให้การรายงานต่ำกว่าความจริง เช่น ความกลัว ค่านิยมที่บอกว่าไม่ควรเปิดเผยเรื่องในบ้าน ความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม หรือการไม่มีทรัพยากรเพียงพอให้ผู้หญิงออกจากสถานการณ์อันตรายได้ทันที

ประเทศไทยยังพบอีกว่า เด็กจำนวนมากไม่ได้อาศัยกับพ่อแม่แท้ครบทั้งสองฝ่าย บางรายอยู่กับพ่อแม่ฝ่ายเดียว บางรายอยู่กับปู่ย่าตายาย หรือครอบครัวผสม เมื่อมีความเปราะบางหลายชั้นซ้อนกัน เช่น รายได้น้อย ความเครียดในบ้าน การต้องพึ่งพาเพียงคนเดียว ความเสี่ยงต่อความรุนแรงจึงสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ แม้คนในบ้านจะไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น แต่ภาวะกดดันสะสมสามารถระเบิดเป็นเหตุรุนแรงได้

อีกหนึ่งรากเหง้าสำคัญของความรุนแรงในบ้านคือระบบ “ชายเป็นใหญ่” หรือ Patriarchy ซึ่งเป็นโครงสร้างความคิดที่คนจำนวนมากอาจไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำงานอยู่ภายใต้นั้น โดยระบบนี้ทำให้ผู้ชายถูกมองว่าเป็นผู้นำ การตัดสินใจอยู่ในมือเขา และผู้หญิงควรยอมเพื่อรักษาครอบครัวให้คงอยู่ แนวคิดนี้ฝังอยู่ในวัฒนธรรมหลายแห่ง รวมถึงในไทย

ผลของระบบนี้ปรากฏในหลายรูปแบบ เช่น

* ผู้หญิงถูกสอนให้ “ทน”

* ความรุนแรงถูกมองว่าเป็น “เรื่องของผัวเมีย”

* เด็กถูกมองว่าเป็นทรัพย์สิน ไม่ใช่บุคคลที่มีสิทธิ

* ผู้ชายบางคนรู้สึกมีสิทธิควบคุมทุกอย่างในบ้าน รวมถึงอารมณ์ ความคิด และร่างกายของคนอื่น

การสำรวจจากหลายแหล่งข้อมูลพบว่า คนจำนวนหนึ่งยังเชื่อว่าการทำร้ายร่างกายภรรยาหรือการลงโทษเด็กรุนแรงนั้น “มีเหตุผลได้” ซึ่งเป็นทัศนคติที่อันตรายมาก เพราะเป็นการเปิดช่องให้ความรุนแรงดำรงอยู่ในนามของ “ความเป็นผู้นำในบ้าน”

เมื่อระบบแบบนี้ยังเข้มแข็ง การให้ผู้หญิงลุกขึ้นปกป้องลูกจึงไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิด ผู้หญิงจำนวนมากไม่ใช่ “ไม่รักลูก” แต่ “ไม่มีอำนาจต่อรอง” หรือ “ไม่มีทางเลือก” พอที่จะทำในสิ่งที่ควรทำได้เต็มที่

เรื่องเศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่มักถูกพูดถึงน้อย แต่มีอิทธิพลมหาศาลต่อความสามารถของผู้หญิงในการออกจากความรุนแรง งานวิจัยระดับโลกพบว่า ผู้หญิงที่พึ่งพารายได้ของคู่ชีวิตมากกว่า จะติดอยู่ในความสัมพันธ์ที่อันตรายนานกว่า เพราะการออกไปอาจหมายถึงการไร้บ้าน ไม่มีเงินดูแลลูก และไม่มีเครือข่ายรองรับ

สำหรับหลายคน การหนีออกมาจากบ้านไม่ใช่แค่การหนีผู้ทำร้าย แต่เป็นการหนีจากความอดอยาก และความไม่มั่นคงทั้งชีวิต ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามว่า “ออกไปแล้วจะพาลูกไปอยู่ที่ไหน” และนี่คือความจริงที่สังคมมักมองไม่เห็น

ในหลายชุมชน ผู้หญิงถูกสอนให้มองว่าการยึดครอบครัวไว้สำคัญกว่าความปลอดภัยของตัวเอง บวกกับระบบช่วยเหลือที่ยังไม่เพียงพอ เช่น ศูนย์พักพิงที่มีจำนวนจำกัด เงินช่วยเหลือที่ไม่เพียงพอ หรือระบบรายงานเหตุที่เข้ายาก ทำให้ผู้หญิงต้องทนอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายกว่าที่คนภายนอกคาดคิด

เมื่อเด็กเติบโตในบ้านที่มีความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ ความเสียหายไม่ได้หยุดอยู่แค่ปัจจุบัน เด็กเหล่านี้มีแนวโน้มเผชิญปัญหาทางอารมณ์ เช่น ความกลัวเรื้อรัง ซึมเศร้า วิตกกังวล การเรียนตก สมาธิสั้น หรือแม้แต่ทำร้ายตัวเองเมื่อโตขึ้น บางคนก้าวเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่รุนแรงอีกครั้ง เพราะไม่เคยเห็นตัวอย่างของความสัมพันธ์ที่ปลอดภัยมาก่อน

ประสบการณ์วัยเด็กสามารถกำหนดทั้งความเชื่อ อารมณ์ และโอกาสในชีวิตในระยะยาว เด็กที่อยู่กับความรุนแรงต่อเนื่องมีโอกาสน้อยลงในการมีสุขภาพดี รายได้ดี และความสัมพันธ์ที่ดีในอนาคต ซึ่งหมายความว่า ความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องของคนในบ้านเท่านั้น แต่คือปัญหาสังคมในระยะยาว

การแก้ปัญหาความรุนแรงต้องอาศัยระบบคุ้มครองที่เข้มแข็ง แต่ประเทศไทยยังมีช่องว่างอยู่มาก ศูนย์พักพิงที่มีอยู่ไม่เพียงพอ การแจ้งเหตุทำได้ยากในบางพื้นที่ เจ้าหน้าที่บางแห่งยังขาดการอบรมเฉพาะด้าน ทำให้เหยื่อไม่กล้าขอความช่วยเหลือ และยังมีความเชื่อผิดๆ ว่าเรื่องในบ้านคือเรื่องส่วนตัว ทำให้การแทรกแซงล่าช้า จนบางครั้งเกินกว่าจะช่วยชีวิตได้ทัน

การคุ้มครองเด็กและผู้หญิงจำเป็นต้องเป็นภารกิจของทั้งรัฐ ชุมชน และคนรอบตัว ไม่ใช่การผลักภาระไปให้เหยื่อรับผิดชอบเอง เพราะไม่มีใครควรต้องพิสูจน์ว่าตัวเองเจ็บปวดแค่ไหนถึงจะได้รับการช่วยเหลือ

เมื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาประกอบกัน ภาพใหญ่ที่เห็นคือความรุนแรงในครอบครัวเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เรื่อง “นิสัยส่วนบุคคล” ของใครคนหนึ่งจริงๆ แต่เป็นผลจากหลายปัจจัยที่ประสานกันจนเกิดเป็นสถานการณ์ที่ทำร้ายทั้งเด็ก ผู้หญิง และสังคมโดยรวม

ความจริงที่ต้องกล้ายอมรับมีอยู่หลายข้อ

1. งานวิจัยชัดเจนว่าครอบครัวผสมมีความเสี่ยงต่อความรุนแรงมากกว่า แม้จะไม่ใช่สาเหตุโดยตรงก็ตาม

2. ความรุนแรงในครอบครัวในไทยยังเกิดขึ้นในระดับสูงมาก และจำนวนที่รายงานยังเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง

3. ระบบความคิดแบบชายเป็นใหญ่ยังมีบทบาทสำคัญ ทำให้ความรุนแรงถูกมองข้ามหรือถูกทำให้กลายเป็นเรื่องปกติ

4. เศรษฐกิจบีบให้ผู้หญิงจำนวนมากไม่สามารถออกจากสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยได้ แม้รู้ว่าตัวเองและลูกกำลังเสี่ยง

5. การแก้ปัญหานี้ต้องการการทำงานเชิงระบบ ทั้งกฎหมาย บริการสังคม การสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนค่านิยมในระดับชุมชน ไม่ใช่เพียงการตำหนิผู้หญิงว่า “ทำไมไม่ปกป้องลูก” หรือ “ทำไมไม่เดินออกมา” เพราะหลายครั้ง พวกเขาไม่มีเส้นทางให้เดินตั้งแต่แรก

อ้างอิง :

pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
sciencedirect.com
humanium.org
ojp.gov/ncjrs/virtual-library/abstracts/violence-toward-children-stepfamilies
en.wikipedia.org/wiki/Cinderella_effect
facebook.com/NubraoduaykonBysection9/posts/1286919526796285
1300thailand.m-society.go.th/content/download/1381
hfocus.org/content/2025/01/32788
ddc.moph.go.th/uploads/publish/1037320200813044224.pdf?
gdcatalog.go.th/dataset/gdpublish-ns_05_20170?
101pub.org/child-and-family-situation-report-2023/violence/?

Advertisement

แชร์
เบื้องหลังบาดแผลของเด็กในสังคมชายเป็นใหญ่และครอบครัวพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง