วันนี้คุณได้ฟังหรืออ่านข่าวคนในครอบครัวฆ่ากันแล้วหรือยัง? ถ้าหากคุณอ่านหรือฟังข่าวกระแสหลักในไทยเป็นประจำ ข่าวเนื้อหาทำนองนี้คงเป็น “ข่าวขาประจำ” ที่ฟังกันได้อาทิตย์ละหลายครั้ง และนั่นคือภาพสะท้อนความรุนแรงในครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และภาพสะท้อนกฎหมายไทยที่ไม่รัดกุมมากพอในการคุ้มครองเหยื่อ
คุณอังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลชี้ว่า หากดูเอาจากข่าวแล้ว เมื่อปี 2566 มีข่าวความรุนแรงในครอบครัวสะท้อนผ่านสื่อมากถึง 1,086 ข่าว ในจำนวนนั้นเป็นการทำร้ายกัน 433 ข่าว, การฆ่ากัน 388 ข่าว, การฆ่าตัวตาย 213 ข่าว, ความรุนแรงทางเพศ 46 ข่าว และอื่นๆ อีก 6 ข่าว
โดยในข่าวปี 2566 คู่ความสัมพันธ์ที่มีการทำร้ายกันมากที่สุดคือ สามี-ภรรยา (ร้อยละ 35.1) ตามมาด้วยคู่รักแบบแฟน (ร้อยละ 23.6) พ่อแม่-ลูก (ร้อยละ 24.9) และเครือญาติ (ร้อยละ 16.4)
และการฆ่ากันปรากฎในคู่สามี-ภรรยามากที่สุด (ร้อยละ 43.3) ตามมาด้วยเครือญาติ (ร้อยละ 24.2) คู่รักแบบแฟน (ร้อยละ 16.5) พ่อแม่-ลูก (ร้อยละ 15.2) และค่ายกครัว (ร้อยละ 0.8) คุณอังคณากล่าวว่า พบกรณีฆ่ายกครัวเพิ่มมากขึ้นด้วยในช่วงปีหลัง
ในปี 2567 คนไทยถูกคนในครอบครัวทำร้ายเฉลี่ยวันละ 42 คน และตลอดปีมีผู้ถูกกระทำมากถึง 4,833 คน โดยมากผู้กระทำความรุนแรงคือเพศชายด้วยสัดส่วนร้อยละ 72 และเพศหญิงร้อยละ 28 และปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดความรุนแรงในครอบครัวคือยาเสพติด บันดาลโทสะ ความรู้สึกเชิงอำนาจ การหึงหวง ปัญหาสุขภาพจิต และความเครียดทางเศรษฐกิจ
แน่นอนว่าไม่ใช่กรณีความรุนแรงในครอบครัวทุกกรณีจะถูกนำเสนอผ่านข่าว และไม่ใช่ความรุนแรงในครอบครัวทุกกรณีจะได้รับแจ้ง ดังนั้นจำนวนผู้ถูกทำร้ายจากคนในครอบครัวจริงจึงสูงกว่านี้
แต่คุณจะตกใจหรือเปล่าถ้าเราบอกว่า โทษของการทำร้ายคนในครอบครัวน้อยกว่าการทำร้ายคนนอกบ้านถึง 4 เท่า
การเป็น “ครอบครัวเดียวกัน” เป็นเหมือนใบอนุญาตให้เราทำร้ายกันได้ โดยรับผิดน้อยลง หรือไม่ต้องรับผิดได้หรือ?
“เรื่องของผัวเมีย” เป็นคำที่เราได้ยินกันจนคุ้นหู คำที่บอกให้คนนอกปล่อยให้การทะเลาะวิวาทของสามีและภรรยาเป็นเรื่องภายใน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคำที่ปิดกั้นความช่วยเหลือไม่ให้เอื้อมถึงผู้ถูกกระทำในความสัมพันธ์อันรุนแรงนั้นด้วยเช่นกัน
“ในฐานะคนที่ทำงานหน้างาน กฎหมายฉบับเดิมมีปัญหาเยอะมากๆ เริ่มตั้งแต่วิธีคิดมุ่งรักษาสถาบันครอบครัวเป็นหลัก ซึ่งส่งผลต่อวิธีคิดของเจ้าพนักงานในกระบวนการทั้งหมดเลย ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยหาร หรือศาลด้วย” คุณธารารัตน์ ปัญญา ทนายความและผู้ก่อตั้งกลุ่ม Feminist Legal Support กล่าว
“สำหรับตำรวจ เรายังไม่ทันจะบอกอะไรเลย เขาก็จะมองว่านี่คือเคสความรุนแรงในครอบครัว เขาก็มีหน้าที่จะต้องไกล่เกลี่ย วิธีการที่เจอมาคือการยกหูโทรหาผู้ถูกกระทำเลยค่ะ โทรหาสามีว่า ‘เมียมาแจ้งความนะ จะคุยกันไหม จะเอายังไง’ โดยไม่ถามความประสงค์ของผู้เสียหายด้วยซ้ำ” คุณธารารัตน์กล่าว พร้อมทั้งกล่าวว่าเหยื่อหลายคนกว่าจะมาแจ้งความก็ผ่านการถูกทำร้ายซ้ำ ๆ มาแล้ว
น่าตั้งคำถามว่าการพยายามไกล่เกลี่ยและทำให้ปัญหาจบไวที่สุด ช่วยหรือซ้ำเติมปัญหากันแน่? แม้ไม่ใช่ข้อมูลจากหน่วยงานไทย แต่สถาบันอาชญกรรมออสเตรเลียชี้ว่า ความรุนแรงในครอบครัว เป็นการกระทำที่เป็นแบบแผน และมีแนวโน้มเกิดซ้ำ แบบสำรวจของสถาบันชี้ว่า ความรุนแรงกว่าร้อยละ 17 เกิดซ้ำภายใน 90 วัน
ดร วราภรณ์ แช่มสนิท ตัวแทนเครือข่ายต่อต้านความรุนแรงในครอบครัวกล่าวถึงกฎหมายไทย ซึ่งสะท้อนแนวคิดการให้เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องภายใน และรักษาความเป็นครอบครัว
“พรบ.ปี 50 ชัดเจนว่า เป็นกฎหมายที่เน้นรักษาสถาบันครอบครัวมากกว่าคุ้มครองผู้ถูกกระทำ ทั้งที่ชื่อของตัวกฎหมายคือ คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว”
ที่กล่าวเช่นนั้นก็เพราะว่า มาตรา 15 ระบุไว้ว่า
“ไม่ว่าการพิจารณาคดีการกระทำความรุนแรงในครอบครัวจะได้ดำเนินไปแล้วเพียงใด ให้ศาลพยายามเปรียบเทียบให้คู่ความได้ยอมความกัน โดยมุ่งถึงความสงบสุขและการอยู่ร่วมกันในครอบครัวเป็นสำคัญ”
ดร.วราภรณ์ชี้ว่า แนวคิดแบบนี้ผิดเพี้ยนจากการมุ่งเน้นคุ้มครองผู้เสียหาย และยังถูกถ่ายทอดตลอดกระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การพิจารณาคดีในชั้นศาล ในขั้นตอนสืบคดี และการรับแจ้งความ ทั้งหมดล้วนเพิ่มที่ว่างให้การไกล่เกลี่ย ให้ผู้ถูกกระทำยอมความแม้ไม่มีเงื่อนไขที่รัดกุม อย่างที่ไม่มีในคดีทำร้ายร่างกายทั่วไป
เพราะในมุมมองแบบเดิมของสังคมไทย การเปิดช่องให้เหยื่อเดินกลับเข้าสู่ครอบครัวที่แตกร้าวไปแล้ว ช่วยรักษาสถาบันครอบครัวอันล้ำค่าไว้ได้ และด้วยการเน้นรักษาครอบครัวนั้นเอง การเอาผิดต่อผู้กระทำจึงไม่จริงจัง
ไม่ใช่แค่เน้นการยอมความ แต่การเอาผิดผู้กระทำของกฎหมายฉบับปี 50 นั้นก็ไม่จริงจัง อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า โทษการทำร้ายคนในครอบครัวนั้นน้อยกว่าการทำคนนอกครอบครัวถึง 4 เท่า กล่าวโดยละเอียดคือ
พรบ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ปี 2550 มาตรา 4: จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ประมวลกฎหมายอาญา หมวด 2 ความผิดต่อร่างกาย มาตรา 295: จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อีกทั้งหมายเหตุใต้พรบ. ฉบับนี้ยังระบุไว้ในทำนองว่า หากความรุนแรงเกิดขึ้นในครอบครัว ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่มีความซับซ้อน จึงไม่เหมาะที่จะใช้กฎหมายอาญาที่มีจุดหมาย “ลงโทษผู้กระทำผิด” และให้เน้นการให้โอกาสผู้กระทำผิดให้กลับตัวเพื่อ “รักษาความสัมพันธ์อันดีในครอบครัวไว้ได้”
สรุปได้ว่า ตีคนในครอบครัว กฎหมายให้โอกาสกลับใจมากกว่า จึงได้รับโทษน้อยกว่า แม้พรบ. ฉบับปี 2550 จะระบุไว้ว่า หากการทำร้ายนั้นหนักหนา ให้ไปใช้กฎหมายอาญา แต่การทำแบบนั้นก็มีช่องโหว่วอยู่
“การกำหนดบทลงโทษความรุนแรงในครอบครัวให้เบากว่าความผิดลักษณะเดียวกันตามป.อาญา เป็นภาพสะท้อนทัศนคติของรัฐไทยที่มองความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องเบา ๆ ” คำอธิบายร่างภาคประชาชนระบุ
“เมื่อทำแบบนั้น คนที่ประสบกับความรุนแรงในครอบครัว แทนที่จะได้ใช้พรบ.ความรุนแรงในครอบครัวซึ่งมีกระบวนการช่วยเหลือ นอกเหนือจากการลงโทษทางอาญา คือการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ หรือการปรับพฤติกรรมของผู้กระทำ” ดร.วราภรณ์กล่าว
เธออธิบายต่อว่า เมื่อความรุนแรงหนักและเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กฎหมายอาญาเลยนั้น ผู้เสียหายจะเสียสิทธิในการขอความคุ้มครองสวัสดิภาพ
ไม่ใช่แค่นั้น การไม่ใช้กฎหมายอาญา ยังเปิดช่องให้ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับผิดทางอาญา เพราะบางครั้งศาลจะตัดสินให้ผู้กระทำผิดความรุนแรงในครอบครัวรับโทษอื่น เช่น เข้ารับการบำบัดฟื้นฟูให้เลิกทำร้ายคนในครอบครัว หรือให้ทำงานสาธารณะ
อย่างนี้หากตีความว่า การตีเมียการไม่ต้องรับโทษได้ หากทำงานจิตอาสา ก็อาจไม่ผิด แต่จะช่วยคุ้มครองเหยื่ออย่างชื่อกฎหมายได้หรือ?
คุณค่าทางสังคมผลักให้สามีภรรยา ผู้ปกครองและเด็ก หรือเครือญาติจัดการปัญหาความรุนแรงกันเอง เหยื่อหลายคนอาจถูกกดดันให้ต้อง “ยอม” ตั้งแต่การลงมือครั้งแรกจนถึงครั้งที่เท่าไรไม่รู้
กว่าจะมีปลุกกำลังใจมากพอให้แจ้งความเอาผิดคนที่มีความสัมพันธ์ “ละเอียดอ่อนซับซ้อน” ตามที่กฎหมายฉบับปัจจุบันบรรยายไว้ได้นั้น หลายครั้งกลับถูกกระบวนการบังคับใช้กฎหมายปัดตก ผลักให้เหยื่อความรุนแรงในครอบครัวไม่สามารถหลุดออกจากวัฎจักรการทุบตีที่เจือด้วยความรักได้
ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชน ผู้เคยทำงานเป็นทนายความ เป็นรองประธานชมรมสมาชิกรัฐสภาสตรีไทย และอยู่ในกระบวนการร่างกฎหมายคุ้มครองฯ ฉบับใหม่กล่าวถึงประสบการณ์ส่วนตัว
“เราเป็นทนายความมาก่อน หลาย ๆ ครั้งพบว่า [ผู้ถูกกระทำ] เมื่อไปแจ้งความ จะถูกปฏิเสธกลับมาว่า ยังไม่เกิดเหตุ หรือเป็นเรื่องของผัวของเมีย เป็นเรื่องในครอบครัว อย่าไปยุ่งกับเขา”
“เราควรมีกฎหมายเพื่อคุ้มครอง เพื่อสนับสนุน ไม่ใช่แค่ผู้หญิงแต่เพื่อทุกคน เพื่อที่ทุกเพศสภาพจะได้มีหลังพิง เวลาเวลาออกมาต่อสู้ กฎหมายเป็นเหมือนหลังพิงให้เรา” ศศินันท์เสริม
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เครือข่ายต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยภาคประชาสังคม 13 องค์กร ได้ยื่น “ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. … (ฉบับภาคประชาชน)” ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเปิดรับการลงชื่อจากประชาชน
เมื่อวันที่ 9 กันยายน เครือข่ายต่อต้านความรุนแรงฯ เปิดเผยรายชื่อประชาชนที่ลงชื่อสนับสนุนกฎหมายความรุนแรงในครอบครัวฉบับใหม่ ซึ่งมีมากถึง 26,729 ชื่อ
“หลักการที่เราเน้นก็คือ การคุ้มครองผู้ถูกกระทำ ความปลอดภัยต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง” ดร.วราภรณ์กล่าว
หากเราคลี่ร่างพรบ.ใหม่ออกมาจะเห็นว่า มีการเน้นด้านความปลอดภัยมากขึ้น อาทิ กำหนดให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือหลังได้รับแจ้งภายใน 24 ชั่วโมง, เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองทางสวัสดิภาพตั้งแต่แรก (เนื่องจากผู้ถูกกระทำจำนวนมากไม่ทราบสิทธิข้อนี้ แม้อยู่ในกระบวนการ), ระหว่างการสอบสวน หากยังจับผู้กระทำไม่ได้ ต้องทำการให้ได้ตัวผู้ถูกกระทำโดยเร็ว, ศาลสามารถสั่งห้ามจำเลยกระทำผิดซ้ำได้ในทุกกระบวนการ แม้หลังการพิจารณาคดีแล้ว และอื่น ๆ
ต้องฟังเสียงผู้ถูกกระทำมากขึ้น คืออีกข้อที่ร่างฉบับใหม่เน้นย้ำ ซึ่งนับว่าเป็นแกนที่ต่างกับฉบับก่อนที่เน้นการยอมความ ฉบับนี้เน้นย้ำมากขึ้นไปอีกว่า การยอมต้องเกิดจากความต้องการของผู้ถูกกระทำ ต้องมีการกำหนดเงื่ออนไขการยอมความให้รัดกุม กำหนดเงื่อนไขการยอมความร่วมกับจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ และตัวผู้ถูกกระทำ หรือตัวแทนที่ผู้ถูกกระทำร้องขอ
ดร.วราภรณ์เน้นย้ำว่า ไม่ใช่ว่ากรณีความรุนแรงในครอบครัวนั้นยอมความไม่ได้ แต่ต้องมาจากความประสงค์ของเหยื่อจริง ๆ และหากเป็นกรณีที่มีความรุนแรง ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายอาญา และการลงโทษเป็นการพิจารณาของศาลตามเนื้อหาแต่ละคดี
กลไกการช่วยเหลือต้องชัดเจน ก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความสำคัญ ร่างฉบับใหม่ชี้ชัดว่า ต้องมีการตั้ง “ผู้จัดการรายกรณี” เพื่อติดตามดูแลเคสอย่างต่อเนื่อง มิได้หยุดอยู่ที่การรับแจ้งเท่านั้น รวมถึงตั้ง “คณะทำงานสหวิชาชีพ” เพื่อให้บริการรอบด้าน เพื่อช่วยประสานงานกับแต่ละหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพขึ้น
อีกส่วนคือ เพิ่มความสอดคล้องกับกฎหมายอาญา ในด้านอายุความและการกำหนดโทษ ร่างฉบับภาคประชาชนไม่ระบุอัตราโทษไว้เจาะจง แต่ให้พิจารณาความผิดตรงกับความผิดใดในประมวลกฎมหายอาญาหรือกฎหมายอื่น เนื่องจากความรุนแรงในครอบครัวมีความหลากหลายมาก
เอาผิดผู้กระทำ คือหนึ่งในนั้น หากเป็นความผิดอาญา ให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา ยกเลิกการใช้วิธีอื่นในการลงโทษ เช่น ให้ผู้ถูกกระทำเข้ารับการบำบัดฟื้นฟู หรือทำงานบริการสาธารณะ
เพราะการเป็นคนครอบครัวเดียวกันไม่ใช่บัตรผ่านการทำร้ายแล้วเอาตัวรอดได้ง่าย ๆ และความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องเบา ๆ
“การใช้มาตราการอื่นแทนการลงโทษมันไม่ใช่ การจะให้ผู้ถูกกระทำทำบริการสาธารณะหรือคุมประพฤติก็เป็นมาตราการที่จำเป็น แต่การดำเนินการทางอาญาก็ต้องดำเนินการต่อไป ไม่ใช่เอามาใช้แทนกัน”
มีการเพิ่มโทษหากกระทำผิดซ้ำ หากผู้กระทำกระทำผิดซ้ำระหว่างต้องคำพิพากษาหรือภายใน 3 ปีนับตั้งแต่วันพ้นโทษ ความผิดใหม่ให้เพิ่มโทษกึ่งหนึ่ง เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้กระทำ
“การแก้ไขกฎหมายตรงนี้ ไม่ใช่แค่การแก้กฎหมายที่เป็นเรื่องเทคนิค แต่เป็นการต่อสู้กับวิธีคิดส่วนใหญ่ของคนในสังคม” คุณธารารัตน์กล่าว