Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
สงครามในสายตาไทย-กัมพูชา การจดจำความรุนแรงของชาติ สู่ทัศนะคนปัจจุบัน
โดย : ณัฏฐณิชา ภู่คล้าย

สงครามในสายตาไทย-กัมพูชา การจดจำความรุนแรงของชาติ สู่ทัศนะคนปัจจุบัน

13 ธ.ค. 68
17:04 น.
แชร์

การเรียกร้องสงคราม และปีพุทธศักราช 2568 แม้จะฟังดูไม่เข้ากันนัก แต่ก็กำลังเกิดขึ้น และมีให้เห็นไม่น้อยบนสื่อสังคมออนไลน์ของไทย เมื่อหลังข้อตกลงหยุดยิงฉบับที่ 2 ถูกฉีกด้วยการปะทะระหว่างสองฝ่าย (ผู้เขียนไม่มีความรู้ภาษาเชมรจึงมีการรับรู้จำกัดว่าชาวกัมพูชามีความเห็นอย่างไรต่อสงคราม)

แต่ทำไมกัน “สงคราม” จึงเป็นคำตอบของปัญหาที่สังคมเรียกร้อง และเชื่อว่าจะยุติความสูญเสียได้ ทั้งที่กระบวนการสงครามนั้นเต็มไปด้วยความรุนแรง 

ไทย: สงครามคือวิธีได้มาซึ่งชัยชนะ

อาจารย์แพร จิตติพลังศรี อาจารย์ภาควิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ศึกษาด้านกระบวนการสร้างความทรงจำร่วม (collective memories) อธิบายกับเราว่า ในกรณีของคนไทย บางทีการ “จดจำ” สงครามอาจเป็นคำตอบของเราในข้อนี้

“หากเราลองย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ไทย เราไม่ค่อยพูดถึงว่าใครโดนอะไร ชาวบ้านโดนอะไร หรือมีทหารสูญเสีย มีเสียงจากครอบครัวเขาไหม บ้านเรือนเสียหายเท่าไหร่ มีการบันทึกเรื่องพวกนี้ค้่อนข้างน้อย [ประวัติศาสตร์] มักเล่าว่าแพ้ชนะอย่างไร เราสะใจ เรากลายเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ เราคือคนที่ชอบธรรม ส่วนอีกฝ่ายคือคนที่ไม่ชอบธรรม” อาจารย์แพรกล่าว

หากเรามองตามที่อาจารย์แพรกล่าว และนึกย้อนถึงบทเรียนที่เราเคยเรียนมาในชั้นเรียนประวัติศาสตร์ก็จะเห็นได้ว่า บทสนทนามักมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่การเสียสละของบรรพบุรุษ ความยิ่งใหญ่ของรุ่งเรืองของอาณาจักรโบราณ และศักยภาพขององค์กรต่าง ๆ ที่ทำให้ไทยชนะสงคราม

รายงาน  ”ประวัติศาสตร์ราชาชาตินิยมในโรงเรียนไทย” ในวารสารการเมืองการปกครองปีที่ 10 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2563 กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า แวดวงการศึกษาต้องการปรับตัวรองรับความต้องการของชนชั้นนำและกลุ่มอนุรักษนิยม ทำให้สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดทำหนังสือเรียนในระดับโรงเรียนเกี่ยวกับการศึกษาประวัติศาสตร์และการพัฒนาพลเมืองไทยให้มีความสำนึกใน “ความเป็นไทย” หลายเล่ม

นอกจากการปรับปรุงเนื้อหาสาระให้สร้างความเป็นไทยในมโนสำนึกของเยาวชน ในปีพ.ศ. 2553 ยังมีการเพิ่มชั่วโมงการเรียนประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง มีวัตถุประสงค์ “เพื่อให้เยาวชนรู้จักความเป็นไทย ทั้งประวัติศาสตร์ ความเป็นมา วัฒนธรรมไทย ภูมิปัญญาไทย ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย วีรกรรมของบรรพยุรุษ เพื่อให้เกิดความรัก ความภูมิใจ และธำรงรักษาความเป็นไทยไว้ให้คงอยู่ตลอดไป”

รายงานฉบับดังกล่าวชี้ว่า ส่วนที่การสอนวิชาประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระสังคมศึกษาให้ความสำคัญมากที่สุดคือ “การสร้างชาติ” นับตั้งแต่ยุคสุโขทัย-รัตนโกสินทร์ของพระมหากษัตริย์ด้วยปรีชาสามารถ

ส่วนที่เกี่ยวกับสงครามมักจะเริ่มขึ้นช่วงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เริ่มด้วยการเสียกรุงครั้งที่ 1 ของอยุธยา และการกู้เอกราช การสถาปนากรุงธนบุรี ซึ่งมีเรื่องราวของสงคราม และวีรกรรมอันกล้าหาญของวีรบุรุษ และการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 

หรือหากมีการเสียกรุงก็มักมาพร้อมการกอบกู้ การเสียดินแดนมีไปเพื่อ “เสียส่วนน้อยรักษาส่วนใหญ่” ความพ่ายแพ้ก็ไม่แพ้ทั้งหมด แต่แพ้กึ่งเดียวเพราะความสามารถด้านการทูต-การทหารของชนชั้นนำ

อีกข้อหนึ่งที่รายงานในวารสารการเมืองการปกครองตั้งข้อสังเกตคือ “การตอกย้ำความเหนือกว่าของไทยที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้าน” ซึ่งตัวบทเรียนกล่าวถึงสาเหต 2 ปัจจัยคือ: ความเหนือกว่าด้านภูมิศาสตร์ และความปรีชาสามารถของผู้นำ 

สิ่งที่อาจสังเกตได้คือ การเล่าเรื่องสงครามมักให้ความสนใจกับผลแพ้ชนะ (และมักเล่าในส่วนที่ชาติไทย หรืออาณาจักรที่ถูกเล่าว่าเป็นอารายธรรมไทยโบราณเป็นฝ่ายชนะ) มากกว่าความสูญเสีย หรือการฟื้นฟูหลังสงคราม

“จริงๆ แล้วสงครามมันไม่ใช่แค่ผลแพ้ชนะ ยังมีเรื่องระหว่างทางที่เกิดขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง มีการจ่ายเงินซื้ออาวุธแล้วรัฐเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน มีคนอ้างความชอบธรรมแค่ไหน มีคนลงทุนกับสงครามมากน้อยแค่ไหน แล้วใครได้อะไร ซึ่งเราไม่เคยถูกสั่งสอนเรื่องนี้ ไทยขาดกระบวนการทำความเข้าใจสงคราม”

แบบเรียนไม่ใช่วิธีการเดียวที่เราเรียนรู้สงคราม กระบวนการสร้างความทรงจำร่วมของสังคม (ในกรณีนี้คือความทรงจำเรื่องสงคราม) ยังปรากฎผ่านสื่ออื่น อาทิ เรื่องเล่า บทเพลง ภาพยนตร์ อนุสรณ์สถาน หรือพิพิธภัณฑ์ 

คำถามคือ ในกระบวนการสร้างความทรงจำร่วมเรื่องสงครามเล่านั้น บทสนทนาขยายไปไกลกว่าเรื่องวีกรรมของผู้กล้า และชัยชนะของไทยที่ยิ่งใหญ่หรือไม่?

ความจริงแล้วมีมุมที่ไทยไม่ได้พูดถึงชัยชนะอยู่บ้าง นั่นคือเมื่อเราพูดถึงการเสียดินแดน ผู้เขียนรายงาน “ประวัติศาสตร์ราชาชาตินิยมในโรงเรียนไทย” กล่าวถึง “วาทะกรรมเสียดินแดน” ที่ถูกใช้งานมากระหว่างการบริหารงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช. ) ที่มีการจัดกิจกรรมในโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ ย้ำว่า ปัญหาชาติไทยคือขาดความสามัคคี นำไปสู่การเสียดินแดน 14 ครั้ง ครั้งล่าสุดคือการเสียเขาพระวิหารให้ประเทศกัมพูชา

อาจารย์แพรยกตัวอย่างอื่นเล่านั้นว่ามีอยู่บ้าง อาทิ นวนิยาย-ภาพยนตร์ “คู่กรรม” ที่มีปมหลักเรื่องความรัก หรืออาจเป็นเรื่องของคนนอกที่มองเข้ามาในประเทศไทย อย่างสะพานข้ามแม่น้ำแคว อย่างไรก็ดี ประวัติศาสตร์กระแสหลักยังมองว่าในสงคราม ไทยคือผู้ชนะเสียเป็นส่วนใหญ่

แต่การเล่าถึงสงครามแบบนี้ไม่ใช่วิธีการเดียวในการพูดถึงสงคราม อาจารย์แพรยกตัวอย่างญี่ปุ่น ที่เล่าเรื่องสงครามโดยมีจุดสนใจที่เหยื่อ อย่างการเล่าถึงการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ เช่น Genbaku Dome อาคารที่ยืนหยัดไม่ล้มหลังระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา เป็นสัญลักษณ์การต้านทานความรุนแรง และอนุสาวรีย์แม่อุ้มลูกที่นางาซากิ เป็นตัวแทนกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม

แน่นอนว่าการนำเสนอสงครามไม่ว่ามุมใด อย่างการนำเสนอชัยชนะของไทย หรือความสูญเสียของญี่ปุ่นล้วนมีวาระซ่อนเร้น และอย่างญี่ปุ่นเองยังได้รับคำวิจารณ์ในการไม่พูดถึงสงครามอย่างกว้างขวางมากพอ โดยเฉพาะมุมที่เขานั้นเป็นผู้กระทำต่อประเทศเพื่อนบ้านในห้วงเวลาสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการนำเสนอสงครามที่ “ไม่ใช่การเชิดชูทหารอย่างเดียว”

การมองสงครามเป็นเส้นทางสู่ชัยชนะมักมากับการเชิดชูทหาร ซึ่งไม่ใช่บทสนทนาที่เกิดขึ้นเพียงในไทย แต่หลายประเทศทั่วโลกเช่นกัน เมื่อเราเชิดชูทหารและกองทัพ เรามักยกย่องความกล้าหาญและเสียสละ เป็นการสร้างความมั่นใจต่อกองทัพไว้ในใจคนไทย

ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาคือตัวอย่างหนึ่ง ผลการสำรวจโดยซุปเปอร์โพลชี้ว่า ประชาชนชาวไทยถึง 99.5% เชื่อมั่นในศักยภาพของกองทัพไทยในการปกป้องประเทศ การสำรวจดังกล่าวจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 กรกฎาคม 2568 ผู้จัดทำสำรวจความเห็นคนไทย 1,054 คน

ผลสำรวจนี้ไม่ได้สะท้อนแค่มุมมองความเชื่อมั่นต่อทหาร แต่ยังชี้ว่า คนไทยต้องการให้มีการสนับสนุนด้านมนุษยธรรมต่อผู้พลัดถิ่น และให้รัฐบาลหาทางออกอย่างสันติโดยเร็ว รวมถึงให้เครื่องมือเยียวประชาชนในช่วงสงคราม และสะท้อนว่า ประชาชนมีความเชื่อมั่นอย่างสูงต่อกองทัพไทยในฐานะผู้พิทักษ์อธิปไตยของชาติ

เมื่อเดือนตุลาคมมีผลสำรวจอีกชุดจากนิด้าโพลชี้ว่า คนไทยมีความเชื่อมั่นในกองทัพมากกว่ารัฐบาล ในการจัดการปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชา การสำรวจชุดนี้ทำขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 มิถุนายน สำรวจความเห็นคนไทย 1,310 คน

ผลสำรวจชี้ว่า คนไทยกว่า 62.52% เชื่อมั่นในกองทัพให้ “ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ” เป็นอย่างมาก 23.74% เชื่อมั่นในระดับกลาง 8.85% เชื่อมั่นน้อย และ 4.89% ไม่เชื่อมั่นเลย 

“กระบวนการจดจำมันมีมากมาย อยู่ที่ว่าเราจะเลือกจำอะไร” อาจารย์แพรกล่าว สอดคล้องกับบทสรุปของรายงานที่ว่า ประวัติศาสตร์ไทย “แต่งเติมและเลือกจดจำ” ในทัศนะของผู้เขียนบทความฉบับนี้ นี่เป็นปรากฎการณ์ที่ปรากฎอยู่ทั่วไปในการบันทึกประวัติศาสตร์ เพราะการบันทึกของแต่ละองค์กรย่อมมีหมุดหมายและจุดประสงค์อยู่ เพียงแต่การจดจำประวัติศาสตร์ในลักษณะเฉพาะของแต่ละกลุ่ม จะนำไปสู่ผลลัพธ์ต่าง ๆ กัน

คนไทยมองสงครามเป็นทางออกของปัญกหา เพราะการจำจดประวัติศาสตร์ว่าสงครามคือชัยชนะ และข้ามการเล่าความสูญเสียหรือไม่ ?

แล้วด้านกัมพูชาเล่า คนไทยหลายส่วนเผยความเห็นบนโลกอินเทอร์เน็ตมองว่า กัมพูชาเป็นประเทศที่มีเสรีภาพสื่อต่ำ (ผลสำรวจหลายแห่งก็กล่าวเช่นนั้น) และเขาได้รับการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ที่จำกัด นำมาสู่วาทะกรรมในกลุ่มคนไทยในทำนองว่า “คนกัมพูชาไม่รู้เรื่องราว” “ถูกหลอก” 

กัมพูชา: บาดแผลทียังไม่ถูกเยียวา

การบวนการสร้างความรักชาติและชาตินิยมไม่ได้ยกเว้นกัมพูชาไป และหลายแง่มุมก็คล้ายกับไทยอยู่มาก สะท้อนในคำขวัญประจำชาติที่เหมือนกันคือ “ชาติ, ศาสนา, พระหากษัตริย์” หรือในภาษาเขมร “ខ្មែរ: "ជាតិ សាសនា ព្រះមហាក្សត្រ” 

บทความ Cambodia and its own narrative: A history of ideas วิเคราะห์เนื้อหาจากหนังสือ Cambodge, The Cultivation of a nation 1860-1945 ศึกษาปัจจัยที่ก่อให้เกิดกัมพูชาสมัยใหม่ ซึ่งมีตั้งแต่การให้ควมสำคัญกับนครวัด สัญลักษณ์ของความรุ่งเรืองของอาณาจักรโบราณ บทบาทพุทธศาสาที่ถูกลบล้างไปและฟื้นคืนข้ึนใหม่ ประวัติศาสตร์บอบช้ำและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ

ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่ากัมพูชาเข้าสู่กระบวนการโลกาภิวัตน์ต่างจากชาติอื่น และมีความเปราะบางต่ออิทธิพลต่างชาติค่อนข้างมาก อย่างเรื่องสกุลเงิน หรือการพัฒนาทางสังคม การเข้าถึงการศึกษา ทำให้ผู้เขียนพิเคราะห์ว่า กลุ่มชนชั้นนำส่วนน้อยได้ประโยชน์อย่างมากจากความช่วยเหลือขององค์กรพัฒนาเอกชนต่างชาติ

ก่อนจะเขียนว่า กัมพชาอาจมีมุมมองต่อสงครามอย่างไร? จะขอเขียนถึงวิธีการในการสร้างชาตินิยมแบบกัมพูชาเสียก่อน ด้วยเหตุผล 2 ข้อคือ เราอาจเคยชินกับการสร้างชาตินิยมแบบกัมพูชาน้อยกว่าไทย จึงต้องอธิบายมากกว่า และสองคือ คงเป็นสิ่งที่ผู้อ่าน (เมื่อขณะนี้เกิดความขัดแย้งชายดนไทยกัมพูชา) อยากอ่านและทำความเข้าใจ และเนื่องจากผู้เขียนพยายามติดต่อแหลงข่าวผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชาศึกษา และเพื่อนชาวกัมพูชา แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับ ต้องขอยอมรับและขออภัยว่า ไม่ได้มาจากแหล่งของคนกัมพูชามากนัก แต่มาจากชาติตะวันตกมากกว่า จึงอาจมีมุมมองที่เอาตะวันตกเป็นศูนย์กลางมากกว่าท้องถิ่น และพูดได้เพียงผิวเผินเท่านั้นในพื้นที่จำกัด

ในหนังสือ Pol Pot: The History of a Nightmare (2007) โดยฟิลลิป ชอร์ต หน้า 47 กล่าวเอาไว้ว่า ระหว่างอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ความรู้สึกชาตินิยมร่วมยังไม่ปรากฎในกัมพูชาอย่างเข้มแข็งเท่าไหร่นัก ต่างจากเวียดนามซึ่งอยู่ในสถานการณ์คล้ายกัน เพระมีการกระจายตัวการศึกษาที่มากกว่า

อย่างไรก็ดี มีกลุ่มชนชั้นนำที่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศและต้องการการปกครองระบอบประชาธิปไตย และมีความไม่พอใจในกลุ่มนักเรียนกัมพูชาต่อชาวเวียดนาม ซึ่งมีอภิสิทธิ์บางอยางมากกว่าในขณะนั้น มีการเกิดขึ้นของกลุ่ม “เขมรอิสระ” เป็นองค์กรฝ่ายซ้ายที่ต่อต้านการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสและชาตินิยมเขมร ก่อตั้งขึ้นในกรุงเทพฯ และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย

ช่วงศตวรรษปลายที่ 19 ฝรั่งเศสบูรณะนครวัดและบริเวณโดยรอบครั้งใหญ่ สร้างความตระหนกในความยิ่งใหญ่ในของอาณาจักรขอมและสร้างความภาคภูมิใจให้คนกัมพูชา นครวัดกลายมาเป็นสัญลัษณ์ความชาตินิยมชิ้นสำคัญ ปรากฎอยู่บนธงชาติ และบ่อยครั้งในหนังสือเรียน

ความภูมิใจในชาติ ในอารยธรรมเก่าแก่ บ่อยคร้งถูกยึดโยงกับนครวัด เพราะมรดกที่ตกทอดมาในรูปแบบศิลปะบนกำแพง กลายมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาศิลปะกัมพูชาหลายแขนง เป็นสะพานเชื่อมอดีตอันรุ่งเรืองกับกัมพูชาปัจจุบันเข้าด้วยกัน 

ข้อต่อมาคือสงครามและความรุนแรง คนกัมพูชามองสิ่งนี้อย่างไร? ข้อนี้กัมพูชามีส่ิงหนึ่งที่ไทยโชคดีกว่าจึงไม่เกิดขึ้น (อย่างน้อยในประวัติศาสตร์กระแสหลัก) คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และความรุนแรงช่วงเขมรแดง

เขมรแดง (1975-1979) คือ กองกำลังคอมมิวนิสต์กัมพูชาภายใต้การนำของ พล พต มีเป้าหมายสร้างสังคมชาวเขมรอันบริสุทธิ์ ด้วยการบังคับให้คนจำนวนมากอพยพไปชนบท ทำไร่นา และปฏิเสธสถาบันอย่างโรงเรียน ศาสนา ต่อต้านปัญญาชน การปกครองของเขมรแดงทำให้มีประชาชนกัมพูชาเสียชีวิตราว 1.7-2 ล้านคน หรือร้อยละ 25 ของประชากร ทั้งด้วยการประหารชีวิต โรคภัย ความอดอยาก

เหตุการณ์นี้เป็นบาดแผลใหญ่ของชาติ เป็นความเจ็บปวดที่ชาวกัมพูชาหลายคนเลี่ยงไม่พูดถึง เพราะสร้างบาดแผลและความสูญเสียมากกินไป โดยเฉพาะช่วงแรกหลังยุคการปกครองของเขมรแดงจบลง

แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้ามและพูดถึงไม่ได้ ฉะนั้นคงไม่มีพิพิธภัณฑ์ตวลซะแลง (Toul Sleng Genocide Museum) หรือทุ่งสังหาร (โตสะแลง) ซึ่งแสดงความโหดร้ายของเขมรแดงเพื่อเตือนใจประชาชน 

รายงาน Cambodian Genocide Museums And Memorials: A Medium For Transmitting Intergenerational Cultural Memory จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลศึกษาว่า สถานที่ทั้งสองแห่งที่กล่าวไปนั้นช่วยส่งต่อความทรงจำเรื่องเขมรแดงจากรุ่นสู่รุ่นอย่างไร และกัมพูชาสร้าง “ความทรงจำร่วม” ของสังคมอย่างไร (บทความศึกษาพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเขมรแดงอีก 2 แห่งในสหรัฐฯ ด้วย)

รายงานกล่าวว่า พิพิธภัณฑ์ตวลซะแลงเมื่อเปิดทำการในฐานะพิพิธภัณฑ์ครั้งแรกปี 1979 รับเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศคอมมิวนิสต์อย่าง สหภาพโซเวียต ลาว เวียดนาม โปแลนด์ เพราะพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามต้องการใช้กมพูชาเป็นตัวอย่าง “คอมมิวนิสต์ที่แย่” กระทั่ง 2 ปีต่อมาจึงให้ชาวกัมูชาเข้าชมได้ ประชาชนหลายพันหลั่งไหลไปรอชม มองหาภาพครอบครัว และเพื่อนที่พวกเขาเสียไป

ผู้เขียนรายงานได้พูดคุยกับเด็กนักเรียนที่มาเยี่ยมชม และทราบว่า เมื่อเด็กๆ อายุโตพอ หรือราว 10 ขวบ พ่อแม่จะเริ่มเล่าเรื่องเขรแดงให้ฟัง และหลายคนก็มาที่พิพิธภัณฑ์เพื่อเรียนรู้เพิ่ม ภายในมีหลุมศพนักโทษ อุปกรณ์ทรมาน รูปถ่ายสภาพดั้งเดิมของห้อง รูปถ่ายนักโทษ เรื่องเล่าโหดร้าย สร้างความรู้สึกหดหู่และไม่สบายใจให้ผู้เยี่ยมชม

ทุ่งสังหารเป็นสถานที่ที่เขมรแดงเคยใช้ฆ่าคนจำนวนมาก เป็นอีกสถานที่ที่แสดงความโหดร้ายของช่วงกลียุคนั้น ยังมีวิธีการอื่นๆ ที่คนในชาติใช้จดจำเรื่องนี้ อาทิ ภาพยนตร์สารคดี “We want (u) to know” ที่สร้างขึ้นโดยทีมสร้างภาพยนต์ต่างชาติและคนท้องถิ่นใน Thnol Lok หรือละครเวที “Breaking the silence” เขียนบทโดยผู้เขียนบทชาวดัตช์ และเปิดตัวในกัมพูชา 

อย่างไรก็ตาม มีการวิจารณ์กระบวนการเล่าถึงยุคเขมรแดงโดยรัฐบาลว่า เน้นที่ความโหดร้ายแต่ยังขาดการเยียวยา รัฐบาลยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ให้พื้นที่จดจำแต่เป็นไปด้วยนัยทางการเมือง กระบวนการยุติธรรมต่อผู้กระทำผิด การจัดการปัญหาสุขาพจิตประชาชน การเล่าเรื่องในระบบการศึกษาขาดการประมวลผลทางอารมณ์ และเรื่องเล่าจากมุมมองของคนที่ก้าวข้ามความเป็นเหยื่อ และยังมีความขัดแย้งกันในกระบวนการจดจำอยู่ เช่น ความทรงจำของรัฐ ของท้องถิ่น หรือของบุคคล

“การขาดกระบวนการเยียวยาสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทางจิตใจ การสร้างความไม่ไว้วางใจ ความหวาดกลัว และการบีบบังคับ ส่งผลให้ค่านิยมหลักดั้งเดิมพังทลายลง และการจัดตั้งศาลเขมรแดงเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดหลักมาลงโทษที่ล่าช้า ล้วนเป็นปัจจัยที่ขัดขวางไม่ให้กัมพูชาและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทางจิตใจก้าวข้ามประสบการณ์ในอดีตเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบอบการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดงได้กัดเซาะความไว้วางใจระหว่างบุคคล กลุ่ม และสถาบันทางสังคมอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ” ส่วนหน่ึงของบทสรุปจากบทความ Cambodia’s Untreat Wound โดย Vicheth Sen (2008)

หากต้องสรุป แต่ละชาติมีกระบวนการสร้างชาติด้วยรากฐานชาตินิยมหน้าตาต่างกัน การจดจำสงครามเมื่อเราชนะเท่านั้น และสร้างชาตินิยมจากการเสียสละและความสามารถของชนชั้นนำสร้างให้คนไทยมองสงครามในรูปแบบหนึ่ง กลับกัน การจดจำความโหดร้าย และภาพการเป็นเหยื่อ แต่ขาดกระบวนการเยียวยาอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ก้าวข้ามอดีตได้ยาก ทำให้คนกัมพูชามีมุมมองอีกแบบหนึ่งเช่นกัน

ที่มาเพิ่มเติม: Cambridge, abacus, springer


แชร์
สงครามในสายตาไทย-กัมพูชา การจดจำความรุนแรงของชาติ สู่ทัศนะคนปัจจุบัน