ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แนวคิด "Green City Smart City" จึงกลายเป็นกระแสหลักในการพัฒนาเมืองทั่วโลก โดยมุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างเมืองที่น่าอยู่ ทันสมัย และยั่งยืน สำหรับคนรุ่นปัจจุบัน และอนาคต
งานเสวนา "Pathways to a Sustainable Urban Future เส้นทางสู่อนาคตเมืองที่ยั่งยืน" ซึ่งจัดขึ้นโดยโครงการ One Bangkok ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ และแนวทางการพัฒนาเมือง จากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างเมืองที่ยั่งยืน โดยอาศัยความร่วมมือ นวัตกรรม และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน บทความนี้จะสรุปสาระสำคัญจากงานเสวนาดังกล่าว ครอบคลุมประเด็นต่างๆ เช่น ความท้าทายในการพัฒนาเมือง บทบาทของเทคโนโลยี การส่งเสริมสุขภาพ และแนวทางการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างเมืองที่ยั่งยืน ตามแนวคิด Green City Smart City
SX 2024 กับเส้นทางสู่อนาคตเมืองที่ยั่งยืน Green City Smart City
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 โครงการอสังหาริมทรัพย์ One Bangkok ต้นแบบ Green Smart City ได้จัดงานเสวนาพิเศษในหัวข้อ "Pathways to a Sustainable Urban Future เส้นทางสู่อนาคตเมืองที่ยั่งยืน" ณ SX Grand Plenary Hall โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้แลกเปลี่ยนความรู้และแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เมืองแห่งอนาคตที่ยั่งยืน ภายในงานได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิร่วมเสวนา ได้แก่ ดร. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ,นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ,คุณปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด และ คุณเข็มอัปสร สิริสุขะ นักสิ่งแวดล้อมและนักธุรกิจเพื่อสังคม โดยมี คุณอลิซาเบธ แซดเลอร์ ลีนานุไชย เป็นผู้ดำเนินรายการ
คุณอลิซาเบธ กล่าวเปิดงานว่า "ในปัจจุบัน เมืองต่างๆ ทั่วโลกกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เรื่องของความยั่งยืนมีความสำคัญมากขึ้น วันนี้บนเวธีการเสวนาในหัวข้อ Pathways to a Sustainable Urban Future เส้นทางสู่อนาคตเมืองที่ยั่งยืน เราจะมาพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมอง แนวคิด และกลยุทธ์ต่างๆ ที่จะช่วยกันพัฒนาเมืองให้มีความยั่งยืน"
Green City Smart City โจทย์ท้าทายการพัฒนาเมือง
ดร. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงความท้าทายในการทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่และยั่งยืนนั้น ท่านระบุว่า การสร้างสมดุลระหว่างการขยายตัวของเมืองใหญ่กับการเป็น Green City Smart City นับเป็นความท้าทายสำคัญยิ่งในการพัฒนาเมือง มิใช่เพียงมุ่งเน้นการเติบโตทางกายภาพหรือเศรษฐกิจ หากแต่พึงคำนึงถึงมิติสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต และความยั่งยืนในระยะยาวอย่างสมดุล และเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว กรุงเทพมหานครพึงดำเนินการอย่างบูรณาการ โดยยึดมั่นในหลักการพัฒนาเมืองน่าอยู่ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ ครอบคลุมมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในระดับมหภาคและจุลภาคนับเป็นรากฐานสำคัญ จำเป็นต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบโครงสร้างพื้นฐานในทุกระดับ อาทิ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่ง การปรับปรุงระบบระบายน้ำ การจัดการขยะ และการเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยมุ่งเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างความเป็น Smart City
การส่งเสริมการมีส่วนร่วม จากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน ถือเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเมือง พึงส่งเสริมการสร้างช่องทางและกลไกที่เอื้อต่อการระดมทุน การแบ่งปันทรัพยากร และการร่วมกำหนดนโยบาย เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมืองอย่างแท้จริง
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็ก อาทิ การปรับปรุงทางเท้า การจัดการขยะ และการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง เป็นภารกิจสำคัญที่พึงให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับชุมชน และปลูกฝังความรู้สึกเป็นเจ้าของเมืองร่วมกัน นอกจากนี้การส่งเสริมความร่วมมือแบบพหุภาคี อาทิ โครงการปลูกต้นไม้ล้านต้น โครงการ Bangkok Food Bank และการสร้างศูนย์กีฬาโดยความร่วมมือกับภาคเอกชน ล้วนเป็นตัวอย่างอันดีของการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาเมือง
การสร้างสมดุลระหว่างการขยายตัวของเมืองกับการเป็น Green City Smart City จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการบริหารจัดการเมืองแบบองค์รวม เพื่อพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองน่าอยู่ ทันสมัย และยั่งยืน สำหรับคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต
Green City Smart City สร้างสุขภาพดี เพื่ออนาคตของคนเมืองที่ยั่งยืน
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรในเมือง โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาวะแบบองค์รวม มิใช่เพียงการดูแลสุขภาพกาย เพื่อให้ประชาชนมีอายุยืนยาวและปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น หากแต่ยังมุ่งส่งเสริมสุขภาพจิต ลดภาวะความเครียด และเสริมสร้างสภาพจิตใจที่ดี ให้ประชาชนมีสติและวิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการดำรงชีวิตในสังคมเมืองยุคปัจจุบัน
เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินนโยบายและมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีพฤติกรรมที่เอื้อต่อสุขภาพ อาทิ การส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ ลดการบริโภคอาหารที่มีรสหวาน มัน และเค็ม โดยอาจร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพที่มีรสชาติอร่อย ราคาเหมาะสม และเข้าถึงได้โดยง่าย ควบคู่กับการส่งเสริมการออกกำลังกาย ผ่านการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสถานที่ออกกำลังกาย และการจัดให้มีมาตรการจูงใจ เช่น การลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมีการออกกำลังกายเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาสภาพแวดล้อมที่ดี โดยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลคุณภาพสิ่งแวดล้อม ลดปัญหามลพิษทางอากาศ น้ำ และเสียง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่สาธารณะเพื่อสุขภาพ เช่น สวนสาธารณะ ทางเดิน และทางจักรยาน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้มีโอกาสออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้ง ออกกำลังกาย และพักผ่อนหย่อนใจ
ยิ่งไปกว่านั้น กระทรวงสาธารณสุขได้ส่งเสริมให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน พัฒนาสภาพแวดล้อมภายในองค์กรให้เอื้อต่อสุขภาพ เช่น การจัดให้มีสถานที่ออกกำลังกาย และการส่งเสริมกิจกรรมสุขภาพต่างๆ โดยอาจพิจารณามาตรการจูงใจ เช่น การลดหย่อนภาษี สำหรับองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพของบุคลากร
กระทรวงสาธารณสุขตระหนักถึงความสำคัญของการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น กรุงเทพมหานคร ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้การดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพของประชาชนในเมือง เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุด และนำไปสู่การมีสุขภาพกายใจที่สมบูรณ์แข็งแรง สามารถดำรงชีวิตได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเมืองสู่ Green City Smart City ของกรุงเทพมหานคร
พัฒนาอสังหาฯ ตอบโจทย์เมืองน่าอยู่ ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของคนเมือง
คุณปณต สิริวัฒนภักดี ได้นำเสนอมุมมองเชิงลึกต่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานคร โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบูรณาการการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนเข้ากับการแสวงหาผลกำไร ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกรุงเทพมหานครในการพัฒนาเมืองสู่ Green City Smart City
หัวใจสำคัญประการหนึ่งคือการพัฒนาโครงการแบบผสมผสาน (Mixed-use Development) ซึ่งเป็นการผสานรวมพื้นที่หลากหลายประเภท อาทิ ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก โรงแรม และพื้นที่สาธารณะ เข้าไว้ในโครงการเดียวกัน แนวทางดังกล่าวช่วยให้เกิดการใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดต้นทุนในการบริหารจัดการ กระจายความเสี่ยง และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตอย่างครบวงจร ส่งผลให้เมืองมีความน่าอยู่และมีพลวัตมากขึ้น
นอกจากนี้ การออกแบบโครงการพึงคำนึงถึงประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยมุ่งเน้นการสร้างสรรค์พื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน อำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิต และส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ทางสังคม อันจะนำไปสู่การสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง ยิ่งไปกว่านั้น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้สะดวก เช่น สวนสาธารณะ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพกายและใจ
การเชื่อมต่อโครงการกับระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่พึงให้ความสำคัญ เนื่องจากช่วยลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนตัว ซึ่งส่งผลต่อการลดปัญหาการจราจรติดขัดและมลภาวะทางอากาศ ขณะเดียวกัน การส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรม เช่น การจัดสรรพื้นที่สำหรับการจัดแสดงงานศิลปะ ก็เป็นส่วนสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่น่าอยู่และมีชีวิตชีวา
โครงการ One Bangkok ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ใจกลางเมือง เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ด้วยการผสมผสานพื้นที่ต่างๆ เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม ที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก และพื้นที่สาธารณะ เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมทั้งจัดให้มีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะ และมีพื้นที่สำหรับกิจกรรมทางศิลปะและวัฒนธรรม โครงการนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของภาคเอกชนในการพัฒนาโครงการที่ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเมืองของกรุงเทพมหานคร
วิถีคนเมืองกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มากกว่าทางเลือก แต่คือทางรอด
การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ แวดล้อมไปด้วยความสะดวกสบาย เทคโนโลยี และวิถีชีวิตที่เร่งรีบ อาจทำให้หลายคนมองข้ามความสำคัญของสิ่งแวดล้อม โดยไม่รู้ตัวว่าพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ส่งผลกระทบต่อโลกของเราอย่างมหาศาล แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ก็สามารถสร้างความแตกต่าง และช่วยรักษาสมดุลของธรรมชาติได้
เริ่มต้นจากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคของตนเอง ลองเปลี่ยนจากการสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี ซึ่งมักมาพร้อมกับบรรจุภัณฑ์พลาสติก และการใช้พลังงานในการขนส่ง มาเป็นการทำอาหารทานเอง ซึ่งนอกจากจะช่วยลดขยะ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังเป็นการดูแลสุขภาพ ฝึกฝนทักษะการทำอาหาร และประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังสามารถเลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ หรือจากแหล่งผลิตในท้องถิ่น เพื่อลดผลกระทบจากการขนส่ง และสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนได้อีกด้วย
การลด ละ เลิก การใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น การพกแก้วน้ำส่วนตัว ปิ่นโต และถุงผ้า เมื่อไปจับจ่ายใช้สอย แม้ในระยะแรกอาจรู้สึกไม่สะดวกสบายนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป จะกลายเป็นนิสัยที่เราคุ้นเคย และเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เหมือนที่เราเคยชินกับการพกโทรศัพท์มือถือ หรือกระเป๋าสตางค์
การเดินทาง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า รถเมล์ เป็นทางเลือกที่ช่วยลดปริมาณรถยนต์บนท้องถนน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และลดปัญหาการจราจรติดขัด การปั่นจักรยาน นอกจากจะเป็นการออกกำลังกาย แล้วยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศรอบตัว ส่วนการเดินเท้า เหมาะสำหรับการเดินทางระยะใกล้ๆ ช่วยให้เราได้ชื่นชมทัศนียภาพ และสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว ที่อาจมองข้ามไป เมื่อเดินทางด้วยรถยนต์ นอกจากนี้ การพิจารณาเลือกที่อยู่อาศัยในเขตชานเมือง ซึ่งมีความหนาแน่นของประชากรน้อยกว่า อากาศบริสุทธิ์กว่า และสามารถลดระยะเวลาการเดินทาง ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจ เพราะนอกจากจะช่วยลดการใช้พลังงาน แล้วยังส่งผลดีต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิต อีกด้วย
การเลือกซื้อสินค้าและบริการ ก็เป็นสิ่งที่เราควรพิจารณา เช่น การวางแผนการจับจ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงการซื้อของที่ไม่จำเป็น การลดการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งมักมาพร้อมกับบรรจุภัณฑ์ และการขนส่งที่สิ้นเปลือง การสนับสนุนสินค้าจากผู้ประกอบการในท้องถิ่น ซึ่งช่วยลดระยะทาง และเวลาในการขนส่ง การเลือกใช้สินค้าที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผ้า ไม้ ไผ่ ซึ่งย่อยสลายได้ง่าย และไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้สินค้าพื้นเมือง และสินค้าออร์แกนิค ซึ่งปลอดภัยต่อสุขภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แม้จะมีราคาสูงกว่า แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทั้งต่อตัวเรา และต่อโลก
สิ่งสำคัญที่สุด คือ การสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม เริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง โดยไม่ต้องกดดัน หรือคาดหวังผลลัพธ์ที่รวดเร็ว แต่เน้นการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป และต่อเนื่อง เช่น การคัดแยกขยะ การนำของเหลือใช้กลับมาใช้ใหม่ การปลูกต้นไม้ การประหยัดน้ำ และไฟฟ้า การใช้ชีวิตแบบรักษ์โลก ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เราเปิดใจ และลงมือทำ โลกของเราก็จะน่าอยู่ยิ่งขึ้น สำหรับเรา และสำหรับคนรุ่นหลัง
แนวคิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
จากมุมมองของคุณปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด ได้สะท้อนแนวคิด และทิศทางการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต โดยมุ่งเน้นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับกระแสโลก และความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น สำหรับกรอบแนวคิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ได้ดังต่อไปนี้
- การสร้างแรงบันดาลใจ และการมีส่วนร่วม: การปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการสร้างแรงบันดาลใจ และการกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มเยาวชน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมในอนาคต กิจกรรม หรือโครงการต่างๆ เช่น SX 2024 เป็นกลไกสำคัญในการเผยแพร่ความรู้ และเสริมสร้างความตระหนักรู้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และความร่วมมือในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
- การบูรณาการความยั่งยืนในทุกภาคส่วน: การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน มิใช่ภารกิจเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ต้องอาศัยความร่วมมือ และการบูรณาการจากทุกภาคส่วนในสังคม เช่น ภาคสาธารณสุข ภาคเทคโนโลยี โดยนำเทคโนโลยี และนวัตกรรม เช่น AI มาประยุกต์ใช้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน อันจะนำไปสู่การสร้างสังคมที่สมดุล และยั่งยืน ในระยะยาว
- การพัฒนาชุมชน และคุณภาพชีวิต: การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ต้องคำนึงถึงมิติทางสังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับมิติทางเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาชุมชน และคุณภาพชีวิต ที่สอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น โครงการ "Battle Living" และ "Battle Community" ที่มุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อม และวิถีชีวิตที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยร่วมกันอย่างยั่งยืน
- การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ: การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภาคอสังหาริมทรัพย์ ควรนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการพลังงาน และทรัพยากรน้ำ เลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และออกแบบอาคารที่ประหยัดพลังงาน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
กล่าวโดยสรุป การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการสร้างความตระหนัก ปลูกฝังจิตสำนึก และประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนา และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และคุณภาพชีวิตที่ดี สำหรับคนรุ่นปัจจุบัน และอนาคต
การพัฒนาระบบสาธารณสุข เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในเมือง
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ระบุว่าการพัฒนาระบบสาธารณสุข เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมเมือง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงบริการสาธารณสุข และการบูรณาการเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมสุขภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน อาทิ
- การเข้าถึงบริการสาธารณสุข: แม้ในเมืองใหญ่จะมีทรัพยากรทางการแพทย์ครบครัน แต่การเข้าถึงบริการยังคงเป็นปัญหา ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา สถานที่ และพฤติกรรม ดังนั้น จึงควรมีการกระจายหน่วยบริการขนาดเล็ก เข้าสู่ชุมชน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยอาจพิจารณาแนวคิด "คลินิกแบบเซเว่นอีเลฟเว่น" ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้นแบบ
- เทคโนโลยีทางการแพทย์: การนำเทคโนโลยี เช่น Telemedicine, AI มาประยุกต์ใช้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และขยายโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพการรักษาพยาบาล
- การบูรณาการกับการพัฒนาเมือง: การพัฒนาเมือง และโครงการอสังหาริมทรัพย์ ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพ และการเข้าถึงบริการสาธารณสุข เช่น การจัดสรรพื้นที่สำหรับตรวจสุขภาพ การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพกับระบบ Smart City เพื่อการบริหารจัดการ และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
มาร่วมสร้างอนาคตเมืองที่ยั่งยืนไปด้วยกัน
จากงานเสวนา "Pathways to a Sustainable Urban Future เส้นทางสู่อนาคตเมืองที่ยั่งยืน" เราได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วน ในการร่วมกันสร้างเมืองที่น่าอยู่ ทันสมัย และยั่งยืน ตามแนวคิด Green City Smart City ซึ่งมิใช่เพียงแค่การเพิ่มพื้นที่สีเขียว หรือการใช้เทคโนโลยี แต่หมายถึงการพัฒนาอย่างบูรณาการ ในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ
การพัฒนาเมืองที่ยั่งยืน ต้องอาศัยความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน โดยเริ่มจากการสร้างจิตสำนึก ปลูกฝังความรับผิดชอบ และส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ในชีวิตประจำวัน เช่น การลดการใช้พลังงาน การลดขยะ การเลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเดินทางอย่างยั่งยืน
เทคโนโลยี และนวัตกรรม มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน และยกระดับประสิทธิภาพ ของการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืน เช่น การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการพลังงาน น้ำ และขยะ การพัฒนาระบบขนส่งอัจฉริยะ และการสร้างแพลตฟอร์ม เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ในการสร้างเมืองที่ยั่งยืน โดยควรคำนึงถึงการออกแบบ และการก่อสร้าง ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการขยะ และการสร้างพื้นที่สีเขียว รวมถึงการคำนึงถึงคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัย และชุมชนโดยรอบ
การสร้างเมืองที่ยั่งยืน เป็นภารกิจที่ต้องอาศัยความร่วมมือ และความมุ่งมั่น จากทุกภาคส่วน ในระยะยาว โดยเริ่มต้นจากวันนี้ เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า สำหรับคนรุ่นต่อไป "เมืองที่ยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน แต่เป็นเป้าหมายที่เราสามารถร่วมกันสร้างได้จริง"