
ในประเทศไทย เหตุการณ์น้ำท่วมยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับหนังที่ถูกนำกลับมาฉายใหม่ทุกปี ทิ้งร่องรอยความเสียหายและความทุกข์ยากไว้กับผู้คนในแทบทุกภูมิภาค ชาวบ้านต้องรีบขนย้ายข้าวของขึ้นที่สูงเพื่อเอาตัวรอด ขณะที่เศรษฐกิจก็ต้องรับภาระความสูญเสียมหาศาลที่วนกลับมาไม่รู้จบ แม้ภาวะโลกร้อนจะทำให้ฝนตกหนักและพายุรุนแรงขึ้น แต่ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยยังต้องเดือดร้อนหนักจากน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง คือระบบบริหารจัดการน้ำที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งที่ประเทศต้องต่อสู้กับปัญหานี้มานานกว่าร้อยปีแล้ว
ในปีนี้เอง ประเทศไทยก็ยังต้องเผชิญอุทกภัยรุนแรงต่อเนื่องทั้งในภาคเหนือและภาคใต้ เหตุการณ์ที่ถาโถมเข้ามาแทบไม่ทันตั้งตัวไม่เพียงสะท้อนถึงสภาพอากาศที่ผันผวนและรุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน แต่ยังชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบรับมือภัยพิบัติที่ยังล่าช้า กระจัดกระจาย และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริงในพื้นที่ การแจ้งเตือนที่คลาดเคลื่อน การประสานงานที่ติดขัด และการกู้ภัยที่ไม่ตอบโจทย์ ล้วนทำให้ประเทศอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติยิ่งกว่าที่เคย
ข้อมูลตลอดยี่สิบปีย้อนหลังยืนยันให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไทยต้องเผชิญความสูญเสียจากภัยพิบัติมากขึ้นในแต่ละปี ระหว่างปี 2543-2562 ประเทศไทยประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติรวม 146 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 138 คน และความเสียหายรวมสูงถึง 7.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 277,200 ล้านบาท คิดเป็นเกือบ 1% ของ GDP น้ำท่วมเพียงประเภทเดียวคร่าชีวิตคนไทยไปแล้วกว่า 2,000 รายในช่วงดังกล่าว และสร้างความเสียหายรวมกว่า 2.124 ล้านล้านบาท
เหตุการณ์ในปีนี้ยิ่งสะท้อนความเปราะบางของระบบรับมือภัยพิบัติ ภาคเหนือเจอกับน้ำท่วมครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 80 ปี ความเสียหายพุ่งถึง 60,000 ล้านบาท ขณะที่ในขณะนี้ ภาคใต้ก็เผชิญอุทกภัยหนักที่สุดในรอบหลายสิบปี หลายชุมชนต้องอพยพออกจากบ้านเรือนท่ามกลางน้ำที่เพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว แต่รัฐเองยังไม่สามารถแก้ไขและยกระดับวิธีการป้องกันหรือลดผลกระทบจากปัญหาภัยพิบัติได้ ทำให้วิกฤตเหล่านี้ยังคงย้อนกลับมาเล่นงานประเทศ และสร้างความเสียหายมหาศาลให้กับประชาชนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และนายณัฐสิฏ รักษ์เกียรติวงศ์นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า ปัญหาน้ำท่วมของไทยเกิดจาก 3 สาเหตุหลัก คือ นโยบายแบบรวมศูนย์ที่ขาดการประสานงานในพื้นที่ ระบบเตือนภัยที่ล้าสมัย และงบประมาณในการป้องกันอุทกภัยที่ไม่เพียงพอและมุ่งผิดจุด
นักวิจัย TDRI ระบุว่า ความเปราะบางด้านการจัดการภัยพิบัติของไทยมีรากเหง้ามาจากโครงสร้างราชการที่กระจัดกระจาย หน่วยงาน 48 แห่งภายใต้ 13 กระทรวงล้วนมีบทบาทในด้านการจัดการน้ำและภัยพิบัติ แต่กลับทับซ้อนกันโดยไม่มีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบชัดเจน
ปัจจุบัน การทำงานของระบบด้านน้ำของไทยถูกวางอยู่บนกรอบกฎหมาย พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ 2561 ซึ่งกำหนดให้หลายหน่วยงานต้องรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งการวางนโยบาย ดูแลแหล่งน้ำ ควบคุมการระบายน้ำ และรับมือภัยพิบัติจริงในพื้นที่ โดยมีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช. ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนแม่บทระดับชาติ ขณะที่กรมทรัพยากรน้ำดูแลแหล่งน้ำต้นทุนและงานอนุรักษ์ ส่วนกรมชลประทานรับผิดชอบงานโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมเขื่อน อ่างเก็บน้ำ ประตูระบายน้ำ ไปจนถึงการจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตรตามฤดูกาล
เมื่อเกิดสถานการณ์รุนแรง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานที่ต้องออกมาเตือนภัย ประสานงาน บัญชาการช่วยเหลือประชาชน และเร่งฟื้นฟูหลังน้ำลด ทั้งหมดนี้เชื่อมโยงเข้ากับคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และใช้ สทนช. เป็นฝ่ายเลขานุการในการขับเคลื่อนนโยบาย
แม้โครงสร้างดังกล่าวดูเหมือนครอบคลุมทุกมิติ หากมองในเชิงปฏิบัติแล้วกลับพบปัญหาใหญ่คือความซ้ำซ้อนของอำนาจและสายบังคับบัญชาที่แตกต่างกัน หน่วยงานด้านน้ำแต่ละแห่งขึ้นกับกระทรวงต่างกัน ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ประสบภัยจึงไม่สามารถสั่งการทุกหน่วยงานได้โดยตรง ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง ขณะที่แต่ละหน่วยงานก็มีภารกิจและกฎหมายของตนเองรองรับ ส่งผลให้การแก้ปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่เกิดความล่าช้าและขาดเอกภาพ
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์เหล่านี้ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2568 นายกรัฐมนตรีจึงประกาศตั้งคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ พร้อมจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติขึ้นมาอีกหนึ่งชั้นของระบบ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อทำให้การบัญชาการเป็นไปอย่างรวดเร็ว ชัดเจน และมีผลในทางปฏิบัติ หน้าที่ของคณะกรรมการใหม่ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมพร้อม ป้องกัน แก้ไข เยียวยา ไปจนถึงการติดตามผลและฟื้นฟู รวมถึงสามารถสั่งการหน่วยงานรัฐทุกแห่งให้บูรณาการร่วมกันได้อย่างเป็นเอกภาพ
อย่างไรก็ตาม การตั้งศูนย์ใหม่ทับบนโครงสร้างเดิมยังไม่ทำให้คำถามเรื่อง “ใครคือผู้สั่งการสูงสุดเมื่อเกิดน้ำท่วม” ชัดเจนขึ้นในทางปฏิบัติ เพราะในพื้นที่จริง ผู้ว่าราชการจังหวัดยังต้องรอประสานงานกับทั้งกรมชลประทาน กระทรวงมหาดไทย ปภ. และหน่วยงานส่วนกลางหลายชุด คำสั่งจากศูนย์ใหม่ยังกระทบกับบทบาทของ กนช. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานอยู่แล้ว ทำให้การสั่งการไม่สามารถรวมศูนย์ได้อย่างแท้จริง
ภายใต้โครงสร้างการทำงานที่น่าสับสนนี้ เหตุการณ์น้ำท่วมที่ลุกลามไปทั่วประเทศในปีนี้จึงเป็นผลจากทั้งปริมาณฝนที่มากผิดปกติและโครงสร้างการบริหารจัดการน้ำที่แบ่งหน้าที่กันหลายชั้นจนสายคำสั่งไม่ชัดเจน ประเทศไทยยังขาดระบบบัญชาการเหตุการณ์แบบ “ผู้สั่งการคนเดียว” ที่สามารถสั่งการทุกหน่วยงานได้ทันทีตามโมเดลของหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จ เมื่อโครงสร้างยังเป็นเช่นนี้ การรับมือภัยพิบัติย่อมสะดุดอยู่เสมอระหว่างทาง ตั้งแต่การจัดการน้ำต้นทาง การเตือนภัย ไปจนถึงความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จริง
นอกจากนี้ TDRI ยังชี้ให้เห็นอีกว่า ระบบเตือนภัยของไทยซึ่งควรเป็นด่านป้องกันแรกสำหรับประชาชนกลับยังมีช่องโหว่อย่างน่ากังวล รายงานระบุว่าอุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอากาศทั่วประเทศเกือบครึ่งหนึ่งทำงานไม่สม่ำเสมอ และมากถึง 96% ไม่สามารถส่งข้อมูลได้ครบถ้วนอย่างน้อยหนึ่งวันภายในรอบปีที่ผ่านมา ช่องว่างเหล่านี้ทำให้ข้อมูลสำคัญที่ใช้วิเคราะห์เส้นทางของน้ำหลาก รวมถึงการประเมินปริมาณฝน หายไปในช่วงเวลาที่มีความจำเป็นสูงสุด ทำให้การเตรียมรับมือและการแจ้งเตือนประชาชนเกิดความล่าช้าหรือคลาดเคลื่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อข้อมูลพื้นฐานยังไม่ครบถ้วน ความสามารถในการคาดการณ์จึงยิ่งจำกัด ปัจจุบัน การประเมินสถานการณ์น้ำท่วมล่วงหน้าหนึ่งวันในประเทศไทยมีความแม่นยำเพียง 33% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำเกินกว่าจะช่วยให้ชุมชนในพื้นที่เสี่ยงเตรียมการอพยพหรือป้องกันความเสียหายได้อย่างทันท่วงที
นักวิจัยจาก TDRI ยังระบุว่า ในหลายอำเภอและจังหวัด การแจ้งเตือนผ่าน SMS ไม่เคยไปถึงประชาชน เนื่องจากระบบสื่อสารยังไม่พัฒนาและอุปกรณ์หลายชิ้นชำรุดหรือขัดข้อง ขณะที่พื้นที่เสี่ยงบางแห่งไม่มีข้อมูลภูมิประเทศหรือการใช้ที่ดินที่ละเอียดพอจะประเมินความเสี่ยงแบบพื้นที่ต่อพื้นที่ การขาดข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ทำให้การระบาย เตือนภัย และอพยพต้องอาศัย “การคาดเดา” แทนข้อมูลจริง ผลลัพธ์คือการเตือนภัยที่มาช้าเกินไปหรือบางครั้งไม่เกิดขึ้นเลย แม้ระดับน้ำจะเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง
ช่องว่างเชิงนโยบายยิ่งชัดเจนเมื่อพิจารณาการใช้งบประมาณ โดยแม้จากข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่าการลงทุนในระบบเตือนภัยล่วงหน้ามีผลตอบแทนสูงถึง 9 เท่าเมื่อเทียบกับต้นทุน แต่ในปีงบประมาณ 2566 ส่วนใหญ่ของงบจัดการน้ำกลับถูกใช้สร้างเขื่อน คลอง และโครงสร้างขนาดใหญ่ ขณะที่งบสำหรับระบบเตือนภัยและการเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่มีสัดส่วนเพียงเล็กน้อย วงจรนี้ทำให้รัฐใช้เงินจำนวนมากหลังเกิดภัย แต่ลงทุนเพียงเล็กน้อยเพื่อป้องกันก่อนเกิดเหตุ
น้ำท่วมรุนแรงทั้งในภาคเหนือและภาคใต้ในปีนี้จึงเป็นภาพสะท้อนระบบการเตือนภัยของไทยที่ไม่ตอบสนองความเป็นจริงของภัยพิบัติยุคใหม่ ซึ่งเกิดเร็วขึ้น รุนแรงขึ้น และคาดเดาได้ยากกว่าเดิม
ดร.จอร์จ จี. แวน เดอร์มิวเลน (George G. van der Meulen) อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) และกรรมการผู้จัดการสถาบันความรู้ด้านภูมิสารสนเทศประยุกต์ คอมพิวแพลน (Compuplan Knowledge Institute of Applied Geo-Spatial Informatics: CKI) และ ดร.จำเนียร วรรัตน์ชัยพันธ์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยและปฏิบัติการเพื่อสังคม ระบุว่า นอกจากปัจจัยด้านระบบทำงานและการเตือนภัยแล้ว ภูมิศาสตร์และการวางผังเมืองก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำท่วมกลายเป็นปัญหาเรื้อรังของไทย เนื่องจากประเทศตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มขนาดใหญ่ โดยเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่รับน้ำจากแม่น้ำสายหลักทางภาคเหนือก่อนระบายลงสู่พื้นที่ตอนล่างใกล้ทะเล ส่งผลให้ภาคกลางรวมถึงกรุงเทพฯ เป็นเขตเสี่ยงตามธรรมชาติอยู่แล้ว การทรุดตัวของแผ่นดินจากการสูบน้ำบาดาลติดต่อกันเป็นเวลานานยิ่งทำให้ระดับพื้นที่ลดต่ำลงกว่าเดิม และเมื่อผนวกกับระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ความรุนแรงของภัยน้ำท่วมในเขตเมืองจึงทวีคูณมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ปัจจุบัน สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้มรสุมและพายุโซนร้อนมีความรุนแรงกว่าในอดีต แม้บางครั้งแรงพายุจะมาจากไต้ฝุ่นที่ก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกแล้วอ่อนตัวลงก่อนเคลื่อนผ่านประเทศไทย แต่ปริมาณฝนที่ตกลงมาในเวลาสั้น ๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดน้ำหลากฉับพลันได้ในหลายพื้นที่ ตั้งแต่เชียงใหม่ไปจนถึงเพชรบูรณ์และลำปาง ซึ่งหลายชุมชนมีคลองและลำน้ำที่ถูกตื้นเขินและอุดตันจนระบายน้ำไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพฝน
การขยายตัวของเมืองโดยไม่คำนึงถึงระบบนิเวศเดิมยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ซ้ำเติมสถานการณ์น้ำท่วม พื้นที่รับน้ำทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำหรือป่าบุ่งป่าทาม ถูกถมเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกัน ถนนและอาคารจำนวนมากสร้างขวางเส้นทางการไหลของน้ำ ทำให้ระดับน้ำในเขตเมืองเพิ่มสูงและรุนแรงเร็วกว่าสมัยก่อน กรุงเทพฯ เคยเผชิญมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2481, 2538 และ 2554 ทว่าการปรับตัวของเมืองยังไม่ทันต่อความเสี่ยงที่ทวีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่ต้องเผชิญพายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว และสึนามิบ่อยครั้งที่สุดในโลก แต่กลับพัฒนาระบบรับมือภัยพิบัติได้อย่างโดดเด่นจนกลายเป็นต้นแบบระดับสากล จุดแข็งสำคัญมาจากแนวคิดที่ว่าการป้องกันล่วงหน้าและการบริหารจัดการเชิงรุกมีประสิทธิภาพมากกว่าการแก้ไขเมื่อความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว นโยบายต่าง ๆ จึงถูกออกแบบให้ลด “ช่วงหน่วงเวลา” ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจจับสัญญาณ การตัดสินใจ ไปจนถึงการแจ้งเตือนประชาชนให้เร็วที่สุด
หัวใจของระบบญี่ปุ่นคือโครงสร้างการบริหารแบบกระจายศูนย์ ซึ่งเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นตัดสินใจได้ตามสภาพพื้นที่จริง การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน และระบบข้อมูลกลางแบบบูรณาการ และเน้นป้องกันเป็นหลัก โดยหน่วยงานท้องถิ่นรับหน้าที่จัดการเหตุฉุกเฉินขนาดเล็ก ส่วนรัฐบาลกลางรับผิดชอบแผนการจัดการวิกฤตระดับชาติ และทั้งหมดดำเนินงานภายใต้กรอบเดียวกันเพื่อให้การประสานงานระหว่างท้องถิ่นและรัฐบาลกลางราบรื่น
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการประเมินความเสี่ยง เช่น “แบบจำลองเมืองเสมือน” ที่นำข้อมูลภูมิประเทศจริงมาจำลองสถานการณ์หลากหลายเพื่อหาวิธีและป้องกันภัยพิบัติ และการสร้างระบบเตือนภัยที่รวดเร็ว ครอบคลุม และแม่นยำ โดยหนึ่งในเสาหลักสำคัญของระบบนี้คือ ระบบเตือนภัย J-Alert ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการลดความสูญเสียจากภัยพิบัติและภาวะฉุกเฉินหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดินไหว สึนามิ พายุ น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด สภาพอากาศที่รุนแรง รวมไปถึงสภาวะที่ประเทศถูกคุกคาม
ระบบ J-Alert นี้เริ่มใช้งานตั้งแต่ปี 2547 และออกแบบให้รัฐสามารถส่งสัญญาณเตือนไปถึงทุกบ้าน ทุกชุมชน รวมถึงโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่เสี่ยงได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ผ่านโครงข่ายดาวเทียมและระบบสำรองภาคพื้นดิน ความรวดเร็วนี้ทำให้แทบไม่เกิด “ช่องว่าง” ระหว่างการตรวจจับเหตุการณ์กับการแจ้งเตือนประชาชน
ปัจจุบัน ระดับเตือนภัยของ J-Alert แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่
ควบคู่กัน ญี่ปุ่นยังมีระบบ Alert Levels จากสำนักงานอุตุนิยมวิทยา แบ่งเป็น 5 ระดับ เพื่อบอกให้ประชาชนรับรู้ว่าควรเตรียมตัวในขั้นไหน ตั้งแต่ตรวจสอบเส้นทางอพยพ ไปจนถึงการอพยพโดยทันที โดยระดับ 4 คือ “ถึงเวลาต้องอพยพ” และระดับ 5 คือ “ภัยกำลังเกิดขึ้นแล้ว” ซึ่งหมายความว่าต้องหาที่ปลอดภัยใกล้ตัวที่สุด เช่น บริเวณชั้นบนของอาคารและห่างจากหน้าต่าง
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังพัฒนาระบบ L-Alert ซึ่งเปิดใช้งานในปี 2554 ทำหน้าที่เป็นศูนย์ข้อมูลท้องถิ่นแบบเรียลไทม์ ส่งข้อมูลเฉพาะพื้นที่ เช่น เส้นทางที่ถูกตัดขาด จุดปลอดภัย สถานที่ตั้งศูนย์พักพิง สถานการณ์ไฟฟ้าดับหรือสัญญาณโทรศัพท์ล่ม รวมถึงคำแนะนำปฏิบัติตัวที่เหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ระบบนี้ไม่ได้แจ้งเตือนแบบ “เหมารวมทั้งจังหวัด” แต่ให้ข้อมูลที่สอดคล้องกับผังเมืองและความเสี่ยงเฉพาะจุด ทำให้การสื่อสารในภาวะฉุกเฉินมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงกว่ามาก
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นไม่ได้หยุดเพียงการพัฒนาระบบข้อมูลและการสื่อสาร แต่ยังวางรากฐานด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือน้ำท่วมอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในมหานครโตเกียวซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เมืองได้สร้างเครือข่ายอุโมงค์และอ่างเก็บน้ำใต้ดินเพื่อรองรับน้ำจากแม่น้ำสายเล็กและสายกลาง เมื่อฝนตกหนัก น้ำในแม่น้ำจะถูกผันลงสู่ระบบใต้ดินผ่านฝายและเขื่อนกันดิน ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลลงปลายน้ำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันเมืองมีอาคารประกอบระบบนี้แล้ว 28 แห่ง สามารถกักเก็บน้ำรวมกว่า 2.56 ล้านลูกบาศก์เมตร ช่วยลดความเสี่ยงน้ำท่วมในเขตเมืองชั้นในได้อย่างมาก
หนึ่งในโครงสร้างที่โดดเด่นที่สุดคืออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นใต้ถนนวงแหวนใจกลางกรุงโตเกียว ซึ่งพิสูจน์ประสิทธิภาพได้ชัดเจนในปี 2562 เมื่อไต้ฝุ่นทำให้ปริมาณฝนในกรุงโตเกียวพุ่งขึ้นถึง 32 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง โดยในปีนั้น อ่างเก็บน้ำแห่งนี้สามารถรองรับน้ำจากกรุงโตเกียวได้ถึง 490,000 ลูกบาศก์เมตร หรือประมาณ 90% ของความจุทั้งหมด ส่งผลให้ระดับน้ำท้ายน้ำลดลงกว่า 1.5 เมตร
ในเขตเมืองที่มีความเสี่ยงเฉพาะจุด เช่น ย่านชิบูย่า ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ต่ำกว่าบริเวณรอบข้างและเคยเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงน้ำท่วมสำคัญ รัฐบาลกรุงโตเกียวได้พัฒนาโรงเก็บน้ำฝนใต้ดินความจุ 4,000 ลูกบาศก์เมตรทางด้านตะวันออกของสถานี และเปิดใช้งานในเดือนสิงหาคม 2563
ระบบนี้ทำหน้าที่กักน้ำฝนชั่วคราว หากปริมาณฝนสูงเกินค่าที่กำหนด น้ำส่วนเกินจะถูกระบายผ่านท่อสู่คลอง และเมื่อฝนหยุดตก น้ำในอ่างจะถูกสูบขึ้นมาใช้ประโยชน์ต่อหรือระบายทิ้งตามความเหมาะสม เมื่อรวมกับอ่างเก็บน้ำเดิมที่อยู่ทางด้านตะวันตก ระบบนี้ทำให้ชิบูย่าสามารถกักเก็บน้ำได้ถึง 8,000 ลูกบาศก์เมตร ทำให้พื้นที่พัฒนาไปสู่สถานีรถไฟที่ “ปลอดภัยจากน้ำท่วม” มากที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังวางรากฐานด้านการรับมือภัยพิบัติผ่านระบบการศึกษา โดยเด็กนักเรียนญี่ปุ่นต้องเรียนวิชาภัยพิบัติเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร ฝึกซ้อมหนีภัยเป็นกิจวัตร และรู้ขั้นตอนการอพยพที่ถูกต้องตั้งแต่วัยเยาว์ ขณะที่หลายชุมชนมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้และจำลองสถานการณ์เป็นประจำ
ทั้งหมดนี้คือบทสรุปสำคัญจากญี่ปุ่น ภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องที่ต้อง “รอให้เกิดแล้วแก้” แต่ต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้า ใช้ข้อมูลเดียวกันตัดสินใจ ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วย และสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับเหตุร้ายแรง เมื่อระบบพร้อม ความสูญเสียย่อมลดลงได้อย่างมหาศาล
ดังนั้น เพื่อยุติวงจรน้ำท่วมซ้ำซาก นักวิจัย TDRI จึงแนะว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากการรอแก้ปัญหาเมื่อเกิดเหตุ มาเป็นการป้องกันล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ การประสานงานระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นและส่วนกลางต้องมีเอกภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันต้องหยุดการใช้ที่ดินในพื้นที่เสี่ยงอย่างไร้การควบคุม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมสถานการณ์ให้รุนแรงขึ้นทุกปี
ในขณะเดียวกัน ศูนย์บัญชาการภัยพิบัติต้องเป็นเสาหลักในการกำกับแผนความเสี่ยง ซักซ้อมการรับมือเป็นประจำ ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ และทำงานเคียงข้างชุมชนตั้งแต่ระบบเตือนภัย การอพยพ กู้ภัย ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังน้ำลด เพื่อป้องกันปัญหาการประสานงานที่กระจัดกระจาย
ในระดับชาติ ปัจจุบัน นักวิจัย TDRI มองว่า การประสานงานระหว่างหน่วยงานยังขาดแคลน คณะกรรมการจัดการน้ำและคณะกรรมการป้องกันภัยพิบัติไม่ได้ทำงานเต็มเวลาและไม่ประสานงานกันอย่างแท้จริง และไม่มีศูนย์ปฏิบัติการที่บังคับใช้นโยบาย รัฐจึงควรจัดตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานเต็มเวลาในการบริหารลุ่มน้ำ และสนับสนุนมหาวิทยาลัยตั้งศูนย์วิจัยภัยพิบัติ รวมถึงสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศในการช่วยพัฒนาระบบเตือนภัยและการพยากรณ์
อีกวิธีแก้ปัญหาคือการมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมากกว่าที่เป็นอยู่ ปัจจุบันผู้ว่าฯ ไม่สามารถกำกับดูแลหน่วยงานรัฐทั้งหมดในพื้นที่ การรับมือภัยพิบัติจึงสะดุดหลายขั้นตอน หากเพิ่มบทบาทผู้ว่าฯ ให้มีอำนาจคล้าย “ซูเปอร์ซีอีโอ” การตัดสินใจและการบริหารจัดการย่อมคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้านการใช้ที่ดิน รัฐบาลต้องแก้ปัญหาการพัฒนาในพื้นที่เสี่ยงอย่างจริงจัง ทั้งจำกัดโครงการใหม่ ควบคุมสิ่งปลูกสร้างเดิม และดำเนินการรื้อถอนเฉพาะจุดที่จำเป็น พร้อมค่าชดเชยที่เป็นธรรม เพราะการวางผังเมืองที่ดีจะลดความเปราะบางของเมืองได้อย่างมหาศาล
อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ บัน คี-มูน เคยกล่าวว่า “เราไม่สามารถกำจัดภัยพิบัติได้ แต่เราลดความเสี่ยงได้ ลดความเสียหายได้ และช่วยชีวิตคนได้มากขึ้น” คำกล่าวนี้สะท้อนความจริงของประเทศไทยอย่างเจ็บแปลบ เพราะเราต่างเห็นผลกระทบของน้ำท่วม ทั้งชีวิตที่สูญเสีย บ้านเรือนที่ถูกทำลาย และมูลค่าความเสียหายระดับแสนล้านบาท ซึ่งทั้งหมดรัฐสามารถป้องกันหรือลดผลกระทบได้หากไทยมีระบบที่พร้อมและการประสานงานที่ดี
ดังนั้น แม้ภัยน้ำท่วมจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ผลลัพธ์ไม่จำเป็นต้องเลวร้ายเช่นเดิม ประเทศไทยต้องลงมืออย่างจริงจังเพื่อยุติวัฏจักรความไร้ประสิทธิภาพ และเตรียมพร้อมรับมือพายุลูกถัดไปที่ไม่ช้าก็เร็วจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน
อ้างอิง: TDRI, BKK Tribune