Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
คนไทยไม่เคยหนีน้ำท่วม!  มองสถาปัตยกรรมไทย อยู่กับน้ำท่วมได้ในวันโลกรวน
โดย : ณัฏฐณิชา ภู่คล้าย

คนไทยไม่เคยหนีน้ำท่วม! มองสถาปัตยกรรมไทย อยู่กับน้ำท่วมได้ในวันโลกรวน

11 พ.ย. 68
11:53 น.
แชร์

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีน้ำท่วมมากขึ้น หนักขึ้น และบ่อยขึ้น” หากใครมีความคิดนี้อยู่ อาจไม่ใช่การคิดไปเอง เพราะมีหลักฐานเชิงประจักษ์หลายชิ้นที่บ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่า เรากำลังอยู่ในโลกที่น้ำท่วมบ่อยและหนักมากขึ้นจริงๆ

ตัวอย่างหนึ่งคือรายงาน A macroscopic analysis of the demographic impacts of flood inundation in Thailand (2005–2019) ที่จัดพิมพ์ในปี 2023 โดย Hinako Tsuda และ Taichi Tebakari เราจะพอเห็นหลักฐานได้ว่า ระหว่างปี 2005–2019 รูปแบบน้ำท่วมในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในภาคกลางและภาคเหนือซึ่งอยู่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปิง วัง ยม และน่าน ที่เกิดน้ำท่วมมีความถี่เพิ่มขึ้น และระยะเวลาท่วมยาวนานกว่าเดิม แม้บางปีปริมาณฝนจะไม่สูงสุดก็ตาม

สาเหตุที่รายงานกล่าวถึง มีตั้งแต่ความเปราะบางของระบบจัดการน้ำของประเทศไทย พื้นที่เมืองที่ขยายตัวในพื้นที่ลุ่มต่ำ และการทำเกษตรเชิงเดี่ยว ที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งข้อนี้มีรายงานอีกหลายประการสนับสนุน อาทิ รายงานปี 2022 State of the Climate in Asia 2022 ของ World Meteorological Organization ที่แสดงความเปราะบางของทวีปเอเชียจากผลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แต่เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นแล้วอย่างไรต่อ? การปรับตัวพร้อมกับการจำกัดผลกระทบคือสิ่งที่เราต้องทำ และวิธีการอาจเป็นสิ่งที่เราสามารถประยุกต์จากองค์ความรู้ที่เรามีอยู่ใกล้ตัวนำมาปรับใช้กับวิถีชีวิต
ปัจจุบันได้ เช่น ตัวอย่างจากสถาปัตยกรรมไทยในอดีต

SPOTLIGHT มีโอกาสคุยกับอาจารย์ภูมิ บูรณะ อาจารย์ประจำภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เกี่ยวกับนวัตกรรมที่ปรากฏอยู่แล้วในไทย ต่อการรับมือหรืออยู่ร่วมกับน้ำท่วม

แนวคิดแบบไทย อยู่ร่วมกับน้ำท่วมได้

หากอนาคตสภาพภูมิอากาศและปรากฏการณ์ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไป การปรับตัวให้ “อยู่ร่วมกันได้” คงจะเป็นแนวคิดที่เป็นไปได้มากที่สุด และยังเป็นแนวคิดที่ปรากฏในสังคมไทยมานานแล้ว

“ตั้งแต่อดีตคนไทยมีแนวคิดพึ่งพาน้ำเป็นหลัก แต่มักไม่ใช่แนวคิดรับมือหรือต่อสู้กับปัญหาน้ำท่วม ทว่าเป็นการอยู่ร่วมกันกับน้ำท่วมมากกว่า หมายความว่าคนไทยมีความเข้าใจถึงมิติในการเปลี่ยนแปลงของน้ำตามฤดูกาลเสียเป็นส่วนใหญ่”

หากถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าคนไทยสมัยก่อนไม่ได้วิ่งหนีน้ำท่วม เรามองได้จากการวิธีการตั้งถิ่นฐานของที่พักอาศัย ที่มักเรียงตัวเป็นแนวยาว เลียบเคียงไปกับริมตลิ่ง ของแม่น้ำลำคลองต่างๆ แม้ว่าน้ำจะขึ้นและลง หรือลงและขึ้นอยู่ตลอด แต่คนไทย (ในที่นี้หมายความถึงคนไทยภาคกลาง ที่นิยมตั้งหลักในพื้นที่ลุ่ม) ก็ยังรักการดำเนินชีวิตกับสายน้ำจึงเลือกปรับตัวให้อยู่ด้วยกันได้ โดยรูปแบบของบ้านเรือนในช่วงเวลาดังกล่าวหรือ “เรือนไทย” ก็นับเป็นหลักฐานอย่างหนึ่ง

“ถ้าเราดูที่พักอาศัยคนไทยในอดีต ตามพื้นที่ลุ่มหรือพื้นที่ที่มีแม่น้ำไหลผ่าน เราจะเห็นชัดเจนว่าบ้านเรือนในแถบนั้นจะมีลักษณะเป็นเรือนใต้ถุนสูง” อาจารย์ภูมิกล่าว

ประโยชน์ของใต้ถุนไม่ใช่แค่ยกบ้านเรือนให้หนีสูงจากน้ำขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อน้ำลดลง พื้นที่ใต้ถุนก็เปลี่ยนเป็นพื้นที่เอนกประสงค์ ทั้งเลี้ยงเป็ดไก่ วางจอบคันไถ อุปกรณ์ทำไร่สวน กี่ทอผ้า หรือจะไว้พักผ่อนหย่อนใจก็ทำได้เช่นกัน

เลือกวัสดุให้อยู่กับน้ำได้

นอกจากนี้อาจารย์ภูมิยังอธิบายว่า คนไทยได้หยิบเอาประโยชน์อื่นจากการอาศัยอยู่ริมน้ำมาใช้ อย่างการสร้างท่าเรือเอาไว้สัญจรตลอดแม่น้ำ หรือขุดคูคลองเข้าสู่สวน รับน้ำมาใช้ปลูกพืชผลเพื่อหาเลี้ยงชีพ

ตัวเรือนเอง ก็เป็นข้อพิสูจน์แนวคิดการอยู่ร่วมกับน้ำอีกข้อ คือการเลือกใช้ไม้เนื้อแข็งเป็นโครงสร้างหลัก (ในช่วงหลังมีการนำวัสดุอื่นเช่นคอนกรีตมใช้เป็นฐานเสาด้วย) ที่ทนน้ำอย่างดี และบางคราวก็ใช้ไม้เนื้ออ่อนเป็นองค์ประกอบของตัวเรือน ระบายความชื้นได้ง่าย

“โครงสร้างส่วนใหญ่ก็จะเป็นไม้เนื้อแข็ง” อาจารย์อธิบาย “อย่างเช่นไม้แดง ไม้ตะเคียน ไม้สัก เพราะไม้เหล่านี้เมื่อทิ้งให้แห้งแล้วจะทนความชื้นได้ดี ส่วนหลังคาก็จะมีตั้งแต่มุงจาก มุงแฝก จนถึงกระเบื้องดินเผา ซึ่งวัสดุเหล่านี้เอื้อต่อการระบายอากาศและทำให้เกิดการหมุนเวียนของอากาศได้ดี ฉะนั้นเมื่อมีความชื้นก็จะทำให้บ้านไม่อมความชื้นมากเกินไป”

“ในบ้านเรือนไทยจะใช้ระบบเครื่องสับ คือเป็นการเข้าสลักไม้ สามารถถอดออกมาซ่อมแซมเฉพาะส่วนได้ไม่ยาก” อาจารย์อธิบายต่อ ชี้ว่าไม่ใช่แค่การเลือกวัสดุ แต่การประกอบเข้าด้วยกันก็คิดถึงการใช้งาน “กับน้ำ” ร่วมด้วย

ยังมีตัวอย่างอื่นที่ช่วยให้บ้านเรือนไทยภาคกลางเหมาะสมอยู่ร่วมกับน้ำ หรือภูมิอากาศ อย่างจั่วสูงที่ช่วยให้น้ำไหลลงได้เร็ว ไม่ค้างขัง ช่วยระบายอากาศได้ดี ทำให้เรือนเย็น เช่นเดียวกันกับการวางฝาเรือนแบบสอบเข้า ที่ช่วยระบายอากาศและความชื้นได้ดี เหมาะกับการอยู่ริมน้ำที่ต้องระบายความชื้นให้ได้มากที่สุด

ส่วนนี้หากเราเปรียบเทียบกับเรือนในวัฒนธรรมล้านนา ก็จะเห็นอิทธิพลของสภาพอากาศและภูมิศาสตร์ที่ต่อการออกแบบบ้านเรือนได้เป็นอย่างดี ซึ่งอาจารย์ภูมิได้อธิบายความต่างและความเหมือนไว้ดังนี้

“การออกแบบเรือนแบบล้านนาและเรือนแบบภาคกลางก็จะมีความคล้ายกันอยู่บ้าง เช่นการยกใต้ถุนขึ้นมา เพียงแต่การยกใต้ถุน [แบบเรือนล้านนา] อาจไม่ได้มุ่งเน้นการตอบสนองในแง่ของปัญหาน้ำท่วมเท่าไหร่นัก จึงทำให้ไม่ได้มีการยกตัวสูงขึ้นเท่าเรือนไทยภาคกลาง” อาจารย์อธิบาย พร้อมชี้ความเหมือนคือ ใต้ถุนมีไว้เพื่อประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ได้เช่นกัน

“เรือนล้านนามีผนังที่ไม่สูงใหญ่มากนักเมื่อเทียบกับผืนหลังคา ช่องเปิดเล็ก เป็นผนังแบบล้มออก ในขณะที่เรือนไทยภาคกลางเป็นผนังแบบล้มสอบเข้าด้านใน” อาจารย์อธิบายผลของสภาพอากาศต่อการออกแบบฝาเรือน ที่เรือนล้านนาจะไม่รับแรงปะทะของลมโดยตรง เพื่อให้อากาศเย็นไม่เข้ามากเกินไป

“การเป็นอยู่ของเรือนล้านนาในอดีตไม่ได้เจอน้ำท่วมใหญ่บ่อย แม้จะอยู่ในพื้นที่ลุ่มบ้าง แต่จะมีสันมีดอน ทำให้ไม่เอื้อต่อเกิดน้ำหลากทางภาคกลาง” อาจารย์อธิบาย

ฉะนั้นแล้วเรือนล้านนาแบบดั้งเดิมยังสามารถใช้งานได้ดีในสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนมากขึ้น และมีน้ำท่วมบ่อยและหนักขึ้นหรือไม่ เป็นคำถามที่เราอาจต้องสำรวจกันต่อไป อย่างไรก็ดี แนวคิดการอยู่ร่วมกับน้ำบางประการในสถาปัตยกรรมไทย อาจเป็นสิ่งที่เราสามารถนำมาประยุกต์กับการออกแบบสถาปัตยกรรมปัจจุบันได้

ออกแบบเมืองใหญ่ ด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมไทย

เราถามอาจารย์ภูมิว่า ในสังคมไทยที่เมืองขยายตัวมากขึ้น และพื้นที่เมืองนี้เองก็เป็นเหยื่อภัยน้ำท่วมอยู่บ่อยครั้ง เราสามารถทำความรู้สถาปัตยกรรมไทยมาใช้อย่างไรได้บ้างหรือไม่ ใต้ถุนคือคำตอบหนึ่ง

“การออกแบบบ้านเรือนอาจต้องมีการหนุนตัวเรือนให้สูงหน่อย ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นใต้ถุนเปิดโล่ง แต่ต้องดูแนวของพื้นที่ และระดับของถนน ซึ่งตัวบ้านควรยกขึ้นมาให้สูงกว่าพื้นถนนหลัก เพราะเวลาน้ำท่วมขัง น้ำก็จะมีความสูงมากกว่าปกติ ฉะนั้นการหนุนบ้านขึ้นมาเป็นอย่างแรกเลยที่สามารถทำได้”

อีกแนวคิดหนึ่งที่อาจกล่าวได้ว่ามีความคล้ายคลึงกับการใช้ประโยชน์ของใต้ถุน คือการสร้างพื้นที่รับน้ำ เพราะเป็นพื้นที่ที่รองรับน้ำได้เมื่อน้ำมา และสามารถกลับมาใช้ทำกิจกรรมอื่นได้เมื่อน้ำลดลง

“ในระดับเมือง กรุงเทพฯ ตอนนี้มีปัญหานี้ [น้ำท่วม] ค่อนข้างเยอะ แล้วมีการคิดวิธีขึ้นมาคือ พื้นที่รับน้ำ เช่นสวนเบญจกิติ ซึ่งออกแบบให้สวนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ให้สามารถรับน้ำได้ในตัว และเอาน้ำบำบัดทางธรรมชาติด้วย”

พื้นที่รับน้ำคือหนึ่งในนวัตกรรมป้องกันน้ำท่วม และสำรองน้ำไปพร้อมกัน สามารถป้องกันไม่ให้น้ำเข้าท่วมชุมชน ในบางพื้นที่อาจใช้สนับสนุนการเกษตรหรือการประมงได้อีกทาง แม้ไม่ใช่การอยู่ร่วมกับน้ำท่วมโดยตรง แต่ก็เป็นการอยู่ร่วมกับ “ความผันแปร” ของน้ำตามฤดูกาลได้

ย้อนกลับมาถึงเรื่องการออกแบบบ้านเรือนรับน้ำท่วม นอกจากการยกพ้น การเรียนรู้ใช้วัสดุที่ทนน้ำ ทนชื้นก็เป็นอีกบทเรียนหนึ่งที่เราอาจจดบันทึกไว้และทำตาม

“การออกแบบโดยใช้วัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ หรือวัสดุที่ทนทานต่อน้ำ เช่น คอนกรีต หรือคอนกรีตเสริมเหล็ก จะช่วยลดความเสียหายเมื่อมีน้ำขัง ถึงแม้ว่าไฟเบอร์ซีเมนต์จะเหมาะกับสภาพชื้นและโดนน้ำกระเซ็น แต่ก็ยังไม่เหมาะกับการแช่น้ำนาน ๆ ส่วนวัสดุอย่างไม้อัด หากโดนน้ำบ่อยก็อาจต้องซ่อมบำรุงค่อนข้างมาก” อาจารย์อธิบาย

ไม่ใช่เพียงการเรียนรู้จากสถาปัตยกรรมแบบไทยเท่านั้น แต่บางองค์ประกอบของสถาปัตยกรรมไทยก็อาจต้องประยุกต์ใช้ร่วมกับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ อาทิ การเปลี่ยนเสาส่วนใต้ถุนที่ต้องแช่น้ำตลอดเวลาป็นเสาคอนกรีต การหมั่นตรวจสอบคานไม้ที่มีอายุมากที่อาจเสียหาย ใช้สีเคลือบไม้เพื่อรักษาเนื้อไม้เอาไว้ เหล่านี้เพื่อหาแนวทางที่เป็นส่วนผสมที่ดีที่สุดสำหรับสถาปัตยกรรมทั้งสองแบบ (หรือมากกว่า) สำหรับการอยู่ร่วมกับน้ำที่พัฒนาอยู่เสมอ


แชร์
คนไทยไม่เคยหนีน้ำท่วม!  มองสถาปัตยกรรมไทย อยู่กับน้ำท่วมได้ในวันโลกรวน