
ห่างจากชายฝั่งที่มีประชากรหนาแน่นของจีนหลายร้อยกิโลเมตร บริเวณโค้งหักศอกของแม่น้ำในเทือกเขาหิมาลัยอันห่างไกล กำลังจะกลายเป็นจุดศูนย์กลางของโครงการระบบผลิตไฟฟ้าพลังน้ำขนาดมหึมา แม้จะเป็นที่ถกเถียงมากที่สุดของผู้คนในภูมิภาค แต่จีนยังเดินหน้าต่อไปด้วยการเก็บข้อมูลการดำเนินการเป็นความลับ สะท้อนความทะเยอทะยานของรัฐบาลจีนที่ต้องการทำให้สำเร็จ
CNN คาดการณ์ว่า รัฐบาลจีนได้ทุ่มงบประมาณมากกว่า 168,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในโครงการงระบบผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่ว่านี้ และเมื่อโครงการเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ก็จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่าระบบใด ๆ ในโลก เพื่อรองรับกับตลาดแห่งอนาคต มุ่งหน้าสู่ยุคที่รถยนต์ไฟฟ้าครองท้องถนน และโมเดล AI ที่ใช้พลังงานสูงจะแข่งขันกันเพื่อเอาชนะคู่แข่งในระดับนานาชาติ
Spotlight สรุปบทความ ชวนอ่านว่าโครงการลับของจีนนี้มีรายละเอียดอย่างไร พิกัดอยู่ตรงไหน เป็นประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน
เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน เดินทางเยือนนครลาซา ของทิเบต เพื่อเป็นประธานในพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีการก่อตั้งเขตปกครองตนเองทิเบต ณ จัตุรัสหน้าพระราชวังโปตาลา ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่เป็นหัวใจหลักในการกล่าวสุนทรพจน์ของเขา คือการเร่งรัดโครงการระบบผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ บริเวณตอนล่างของแม่น้ำยาร์ลุงซางโปในทิเบต
สี จิ้นผิง เรียกเมกะโปรเจกต์นี้ว่าเป็น “โครงการแห่งศตวรรษ” เพราะจะช่วยให้จีนบรรลุเป้าหมายควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนภายในปี 2030 และสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060 ได้สำเร็จ นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงแผนการสร้างทางรถไฟสายเสฉวน-ทิเบต และอุโมงค์ต่าง ๆ ว่าจะไม่ได้เป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจจีนเท่านั้น แต่ยังเสริมแกร่งให้ความมั่นคงและการสร้างเอกภาพ
สี จิ้นผิง ได้กล่าวถึงการพัฒนาเครือข่ายคมนาคมที่ต้องใช้เทคโนโลยีการขุดอุโมงค์ขั้นสูง เพื่อลดระยะเวลาการเดินทางและสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ จะช่วยให้ทิเบตไม่อยู่โดดเดี่ยวอีกต่อไป และเป็นการดึงทรัพยากรธรรมชาติของทิเบตมาใช้เพื่อประโยชน์ของ "คนทั้งชาติ" เขาสั่งการให้ยกระดับมาตรฐานการใช้ชีวิตในพื้นที่ชายแดนผ่านโครงการก่อสร้างเหล่านี้ เพื่อสร้างความจงรักภักดีและความสงบเรียบร้อยในพื้นที่
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ระบบผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่สร้างขึ้นในบริเวณตอนล่างของแม่น้ำยาร์ลุงซางโปในทิเบต จะเป็นผลงานทางวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เคยมีมา การใช้ประโยชน์จากระดับความสูงที่ลดลง 2,000 เมตร โดยการระเบิดอุโมงค์ผ่านภูเขา จะช่วยให้จีนสามารถควบคุมแม่น้ำสายสำคัญในภูมิภาคที่รู้จักกันในฐานะ “หอคอยน้ำของเอเชีย” ในช่วงเวลาที่รัฐบาลต่างๆ กำลังให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางน้ำมากขึ้น
โครงการนี้อาจช่วยสนับสนุนความพยายามระดับโลกในการชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยช่วยให้จีนลดการพึ่งพาพลังงานจากถ่านหินลงได้ ในฐานะที่ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุดในโลก แต่การก่อสร้างโครงการนี้ก็อาจรบกวนระบบนิเวศที่บริสุทธิ์และหายาก รวมถึงบ้านเรือนดั้งเดิมของชนพื้นเมืองด้วย
นอกจากนี้ ผู้คนหลายสิบล้านคนในอินเดียและบังกลาเทศ ซึ่งอยู่ทางตอนล่างของแม่น้ำ ยังคงพึ่งพาแม่น้ำสายนี้อยู่ โดยผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศ รวมถึงผลกระทบต่อการประมงและการเกษตร ยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างเพียงพอ
พาดหัวข่าวในอินเดียต่างขนานนามโครงการนี้ว่าเป็น “ระเบิดน้ำ” ที่อาจเกิดขึ้นได้ และการที่โครงการนี้อยู่ใกล้กับพรมแดนจีน-อินเดียที่กำลังเป็นข้อพิพาท ทำให้มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นจุดปะทะในข้อพิพาททางชายแดนที่คุกรุ่นมานานระหว่างสองมหาอำนาจ ซึ่งล้วนเป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์
ด้วยเดิมพันที่สูงขนาดนี้ จีนจึงเดินหน้าโครงการนี้อย่างแข็งขัน ขณะเดียวกันก็ปิดเป็นความลับสุดยอด เพราะไม่อยากให้ประเทศที่จะได้รับผลกระทบมองว่า จีนกำลังจะฮุบ “หอคอยแห่งน้ำ” แน่นอนว่าสไตล์การทำโครงใหญ่แบบลับ ๆ ล่อ ๆ ของจีน ทำให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับแผนเมกะโปรเจกต์ที่จีนกำลังซุ่มสร้าง แม้จะดูมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาพลังงานสะอาด แต่ก็แสดงให้เห็นถึงการขาดความโปร่งใส เพราะกระบวนการสร้างพลังงานสะอาดของจีน อาจทำให้เพื่อนบ้านเดือดร้อน
ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่า เขื่อนต้นน้ำอาจส่งผลดีต่อปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญทั้งในอินเดียและบังกลาเทศ ที่น้ำท่วมรุนแรงในช่วงฤดูมรสุมคร่าชีวิตผู้คนและทำลายพืชผลและบ้านเรือนในพื้นที่ราบลุ่มที่มีประชากรหนาแน่นของประเทศ แต่กล่าวว่าไม่สามารถทราบได้แน่ชัดหากไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม
เบาะแสเกี่ยวกับการออกแบบโครงการ ทั้งที่อ้างอิงจากรายงานทางการหรือรายงานทางวิทยาศาสตร์ และจากข้อมูลเปิดเผยที่รวบรวมโดย CNN ชี้ให้เห็นถึงระบบที่ซับซ้อน ซึ่งอาจรวมถึงเขื่อนและอ่างเก็บน้ำตามแนวแม่น้ำยาร์ลุงซางโป ตลอดจนสถานีผลิตไฟฟ้าพลังน้ำใต้ดินหลายแห่งที่เชื่อมต่อกันด้วยอุโมงค์ โดยใช้ประโยชน์จากพลังงานที่ได้จากการผันน้ำส่วนหนึ่งของแม่น้ำซึ่งไหลลงมาจากระดับความสูงที่ลาดชัน
ไบรอัน ไอย์เลอร์ ผู้อำนวยการโครงการพลังงาน น้ำ และความยั่งยืนของศูนย์วิจัยสติมสันในวอชิงตัน กล่าวว่า “นี่คือระบบเขื่อนที่ซับซ้อนและล้ำสมัยที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา และมันก็เป็นระบบที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดและอาจเป็นอันตรายที่สุดด้วย”
บริเวณโค้งใหญ่ของแม่น้ำยาร์ลุงซางโปถูกล้อมรอบด้วยหุบเหวที่ลึกที่สุดในโลกถึงสองด้าน ซึ่งตัดผ่านภูมิประเทศที่เป็นป่าบริสุทธิ์ล้อมรอบด้วยภูเขา และได้รับการกำหนดให้เป็นหนึ่งในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติระดับชาติของจีน
ที่นั่น ต้นสนไซเปรสสูงตระหง่านเติบโตมานานหลายร้อยปี และสัตว์ป่าที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เช่น เสือเบงกอล เสือดาวลายเมฆ หมีดำ และแพนด้าแดง อาศัยอยู่ในถิ่นที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปตามภูมิประเทศที่สูงขึ้น และยังคงมีการค้นพบพืชและสัตว์สายพันธุ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
รูธ แกมเบิล นักประวัติศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และภูมิอากาศของทิเบตจากมหาวิทยาลัยลา โทรบ ในออสเตรเลียกล่าวว่า โค้งแม่น้ำยาร์ลุงซางโปอันยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาและนิเวศวิทยาที่พิเศษที่สุดบนโลก เขากล่าวว่า ภายในระยะทางเพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตร คุณจะพบกับการเปลี่ยนแปลงจากยอดเขาสูงเกือบ 8,000 เมตร ไปสู่ป่าเขตร้อน ทั้งนี้ การสร้างระบบผลิตไฟฟ้าพลังน้ำอาจทำลายความอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่นี้อย่างสิ้นเชิง
มีประชาชนหลายหมื่นคนอาศัยอยู่ในเขตที่โครงการเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้น ซึ่งรวมถึงกลุ่มชนพื้นเมือง เช่น ชาวมอนปาและชาวโลบา ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการที่มีขนาดเล็กที่สุดสองกลุ่มในประเทศ
ทั้งนี้ จีนมีประวัติการสร้างเขื่อนที่ซับซ้อนและเป็นที่ถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน โครงการเขื่อนสามหุบเขา ซึ่งเป็นเขื่อนที่มีความสูงเกือบครึ่งหนึ่งของตึกเอ็มไพร์สเตท ต้องมีการอพยพผู้คนกว่าล้านคนก่อนที่จะเริ่มใช้งานในปี พ.ศ. 2546 ปัจจุบัน แม่น้ำในประเทศจีนเต็มไปด้วยโครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ขณะที่สายส่งไฟฟ้าล้ำสมัยลำเลียงไฟฟ้าแรงสูงจากพื้นที่ชนบทและภูเขาไปยังตึกระฟ้า เครื่องปรับอากาศ และรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองต่างๆ ของจีน
กระทรวงการต่างประเทศของจีนพยายามออกมาปกป้องการดำเนินงานของรัฐบาล โดยระบุว่า โครงการนี้ผ่านการวิจัยเชิงลึกมานานหลายทศวรรษและได้ดำเนินการตามมาตรการอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้านความปลอดภัยทางวิศวกรรมและการปกป้องระบบนิเวศ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ปลายน้ำ พร้อมเผยว่ารัฐบาลปักกิ่งจะแบ่งปันข้อมูลที่จำเป็นกับประชาคมระหว่างประเทศ และเสริมสร้างการสื่อสารและความร่วมมือกับประเทศปลายน้ำ
แถลงการณ์ระบุว่า โครงการนี้ “มีเป้าหมายเพื่อเร่งการพัฒนาพลังงานสะอาด ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น และแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง” แต่รัฐบาลปักกิ่งอาจมีเป้าหมายอื่นที่สำคัญกว่านั้น หลายฝ่ายมองว่านี่ไม่ใช่แค่เพียงการรับประกันแหล่งพลังงานของจีน แต่ยังเป็นแผนควบคุมแนวชายแดนที่มีข้อพิพาท และควบคุมภูมิภาคบ้านเกิดของชนกลุ่มน้อยด้วย
ริชี กุปตา ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันนโยบายเอเชียโซไซตีในนิวเดลี กล่าวว่า “หากคุณเชื่อมโยงจุดต่างๆ ของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจีนในเทือกเขาหิมาลัย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่จีนมีพรมแดนติดกับอินเดียตามแนวชายแดนทิเบต จะเห็นได้ว่าพื้นที่เหล่านั้นตั้งอยู่ในตำแหน่งทางยุทธศาสตร์”
แม่น้ำยาร์ลุงซางโป ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นแม่น้ำสายหลักที่สูงที่สุดในโลก ไหลคดเคี้ยวจากธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัย ผ่านที่ราบสูงซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของพุทธศาสนาแบบทิเบต และมุ่งหน้าสู่ขอบใต้สุดของประเทศ ช่วงหนึ่งของแม่น้ำที่อยู่ติดกับพรมแดนของทิเบตกับรัฐหนึ่งของอินเดียซึ่ง ซึ่งจีนอ้างสิทธิ์ในดินแดนนั้น เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพในการผลิตพลังงาน
มีการประเมินว่า น้ำตกแห่งนี้ มีศักยภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 300 พันล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตของเขื่อนสามหุบเขาของจีนซึ่งปัจจุบันเป็นเขื่อนที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดในโลกถึงประมาณสามเท่า
เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐอรุณาจัลประเทศของอินเดีย ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนทิเบต ได้ประกาศเตือนเมื่อเดือนกรกฎาคมว่า เขื่อนดังกล่าวเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการดำรงอยู่ของประชาชนในภูมิภาคนี้ ด้านเพมา คันดู หัวหน้าคณะรัฐมนตรีกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเพรสทรัสต์ออฟอินเดีย โดยชี้ให้เห็นว่าการปล่อยหรือกักเก็บน้ำอาจทำให้ภูมิภาคของเขาประสบกับภาวะน้ำท่วมหรือแห้งแล้งได้ เขากล่าวว่า “จีนไม่น่าไว้ใจ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรและเมื่อไหร่”