Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ความยั่งยืนคือกุญแจ ผลักดันเศรษฐกิจของเมือง ลดความเสี่ยง-ต้นทุนธุรกิจ
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ความยั่งยืนคือกุญแจ ผลักดันเศรษฐกิจของเมือง ลดความเสี่ยง-ต้นทุนธุรกิจ

4 ต.ค. 68
18:07 น.
แชร์

ความยั่งยืนเป็นเป้าหมายที่ทุกภาคส่วนต่างอยากมุ่งไปให้ถึง ปัจจุบัน หลายองค์กรโดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่และภาครัฐมีตำแหน่ง “หัวหน้าฝ่ายความยั่งยืน” หรือ “ฝ่ายความยั่งยืน” เข้ามา แต่ตำแหน่งเหล่านี้มีความสำคัญอย่างไร และช่วยขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความยั่งยืนได้จริงหรือ

การเสวนาในหัวข้อ Chief Sustainability Officer (CSO) Forum: Sustainability as an Engine for Growth เน้นย้ำถึงความสำคัญของนโยบายด้านความยั่งยืนในระดับองค์กรต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการวิเคราะห์บทบาทของธนาคารและสถาบันการเงินในการส่งเสริมให้เกิดการดำเนินธุรกิจตามหลักการ ESG ที่ครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อผลักดันให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเดินหน้าอย่างยั่งยืนและมีความสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางธุรกิจกับความรับผิดชอบต่อสังคม

นโยบาย-กฎสำคัญไฉน?

คุณเมลินดา กู้ด ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําประเทศไทยและประเทศเมียนมา กล่าวถึงความสำคัญของ Chief Sustainability Officer (CSO) ในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยย้ำว่า “การเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ” ไม่ใช่แค่เรื่องของการปฏิบัติตามกฎแต่คือ “โอกาสทางเศรษฐกิจ” ที่จะสร้างการเติบโตใหม่ให้กับประเทศ

“กฎการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ ไม่ได้มีไว้เพื่อให้คุณแค่ทำตาม แต่เพื่อให้คุณ ‘มองหาโอกาสทางเศรษฐกิจ’ ที่ซ่อนอยู่ในนั้น” คุณเมลินดากล่าว และกล่าวถึงรายงานล่าสุดของธนาคารโลก (World Bank) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องเร่งเพิ่มการลงทุนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยเตือนว่าหากไม่ดำเนินการปรับตัวอย่างจริงจัง อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการปรับตัวและเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การพัฒนากลไกตลาดคาร์บอนและการจัดเก็บราคาคาร์บอนเครดิตจากภาคธุรกิจ ที่อาจช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ได้มากถึง 1%

นอกจากนี้ คุณเมลินดายังกล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในอุตสาหกรรมสีเขียว แต่สัดส่วน “การส่งออกสีเขียว” ซึ่งหมายถึงกระบวนการส่งออกที่คาร์บอนต่ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยังอยู่ที่เพียง 10% และตอกย้ำการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมว่ามีความคุ้มค่า และรัฐและเอกชนต้องร่วมกันลงทุน ทั้งในโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ และในระบบพลังงานสะอาด รวมถึงพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศ

นอกจากมุมมองขององค์กรระหว่างประเทศแล้ว ตัวแทนจากภาคสถาบันการเงินของไทยยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้าง “กลไกการเงินสีเขียว” (Green Finance Mechanism) เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนของภาคเอกชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่สนับสนุนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนได้อย่างทั่วถึง ส่วนนี้ ดร. รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวต่อถึงบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการ “ขับเคลื่อน” ภาคการเงินให้ร่วมมือในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน

“เราไม่ได้เป็นเพียงผู้กำกับดูแลอีกต่อไป แต่เป็นผู้ส่งเสริม ให้ธนาคารผนวกความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์ของตน และช่วยลูกค้าก้าวสู่การเปลี่ยนผ่าน” ดร. รุ่งกล่าว

ข้อแรกคือการเปลี่ยนจากการควบคุมเป็นการส่งเสริม ให้ธนาคารพาณิชย์นำแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมมาบูรณาการในกลยุทธ์และการดำเนินงานของตน ทางหนึ่งด้วยการสร้างสร้าง “โครงสร้างพื้นฐาน” เพื่อระบบการเงินสีเขียว พัฒนา Thailand Taxonomy (ระบบจัดประเภทกิจกรรมสีเขียว) เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันว่า “สินเชื่อสีเขียว” คืออะไร และใช้มาตรฐานเดียวกัน ทำ Climate Stress Test เพื่อดูความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมของสถาบันการเงิน ทำงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อไม่ให้ภาคธุรกิจไทยต้องดำเนินการทดสอบซ้ำเมื่อออกไปสู่ตลาดโลก

นอกจากนี้ สถาบันการเงินต่างๆ ยังต้องออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะกับบริบทไทย โดยเฉพาะสำหรับ SMEs และธุรกิจท่องเที่ยว (โรงแรม) ที่ ดร. รุ่ง กล่าวว่า ยังขาดเครื่องมือและความเข้าใจด้าน Green Finance อย่างถ่องแท้

ด้านคุณพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความยั่งยืน และที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่าภายใต้วิสัยทัศน์ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เมืองยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงเป้าหมายเชิงสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่เป็น “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ” ที่สามารถขับเคลื่อนการเติบโตของเมืองได้อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการพัฒนาเมืองให้มีสมดุลระหว่างคุณภาพชีวิตของประชาชน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

“ความยั่งยืนไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือเครื่องยนต์ของการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของกรุงเทพฯ” คุณพรพรหมกล่าว

เขากล่าวว่า “เมือง” คือแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ และกรุงเทพมหานครคือเครื่องมือสำคัญที่ประเทศไทยใช้ในการแข่งขันกับเมืองอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนและเอเชีย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ผู้เชี่ยวชาญ และนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องความยั่งยืนยังไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ทั้งที่มีตัวชี้วัดหลายด้านสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพอากาศที่ถดถอยลง ปัญหาน้ำท่วมขังเรื้อรัง ปัญหาการจัดการขยะ และความเสื่อมถอยของคุณภาพชีวิตในระยะยาว

เขายังกล่าวถึงความสำคัญของการมีตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความยั่งยืน (CSO) ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจที่ได้รับจากงาน SX เมื่อ 2-3 ปีก่อน โดยชี้ว่าก่อนหน้านี้การบริหารจัดการของกรุงเทพฯ ที่แยกออกเป็น 17 สำนักกลางและ 50 เขต ทำให้การดำเนินงานในแต่ละด้านเป็นลักษณะต่างคนต่างทำ ส่งผลให้การขับเคลื่อนนโยบายใดนโยบายหนึ่งเป็นไปได้ยาก การมี CSO จึงมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงและบูรณาการการทำงานของทุกหน่วยงานให้มุ่งไปในทิศทางเดียวกันด้านความยั่งยืน

หนึ่งในความสำเร็จที่เห็นได้ชัดคือการจัดทำ Bangkok Food Policy Plan ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านเกษตร สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และตลาดสด เพื่อพัฒนานโยบายด้านอาหารที่ครอบคลุมทั้งระบบ โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของห่วงโซ่อาหาร เพื่อให้การบริโภคและการผลิตในเมืองมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น

อีกมุมมองหนึ่งที่เขาเน้นย้ำคือแนวคิดการสร้าง “กรุงเทพฯ ที่ยืดหยุ่น” เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชานเมืองที่เกษตรกรกำลังเผชิญปัญหาน้ำกร่อยจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น

คุณพรพรหมกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่ควรจำกัดอยู่เพียงมิติสิ่งแวดล้อม แต่ต้องเชื่อมโยงกับประเด็นทางสังคมด้วย เพราะความยั่งยืนของเมืองหมายถึงการสร้างระบบที่ทำให้ “คนตัวเล็กอยู่รอดได้” เป็นการออกแบบเมืองที่ไม่เพียงปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ แต่ยังสร้างความเท่าเทียมและโอกาสในการดำรงชีวิตอย่างมั่นคงให้กับทุกกลุ่มคนในสังคม

ยิ่งยั่งยืน ยิ่งแข่งขันได้ดี

ด้านภาคเอกชนก็ให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืนเช่นเดียวกัน โดยหลายบริษัทเห็นพ้องกันว่าการลงทุนด้านความยั่งยืนเป็นการลงทุนที่ “คุ้มค่า” เพราะไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงในระยะยาว แต่ยังเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในตลาดโลก

คุณต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้ยกตัวอย่างชัดเจนถึงแนวคิดนี้ โดยระบุว่าการนำหลักการความยั่งยืนมาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธุรกิจช่วยให้บริษัทสามารถสร้างคุณค่าร่วมระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภค นักลงทุน และสังคมในเวลาเดียวกัน

คุณต้องใจกล่าวถึงการผสานแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้ากับการวางกลยุทธ์และการบริหารความเสี่ยงขององค์กร โดยชี้ว่าความยั่งยืน กลยุทธ์ และการบริหารความเสี่ยง ล้วนเป็นเรื่องเดียวกันที่ต้องดำเนินไปควบคู่กัน เพราะทั้งหมดต่างเกี่ยวข้องกับ “ความยั่งยืนของธุรกิจ” และ “การอยู่รอดร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” และย้ำว่าการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบันไม่สามารถแยกประเด็นเหล่านี้ออกจากกันได้อีกต่อไป หากองค์กรต้องการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว จำเป็นต้องบูรณาการทั้งสามด้านให้เป็นระบบเดียวกันตั้งแต่ระดับการตัดสินใจเชิงนโยบายจนถึงการปฏิบัติจริง

“ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและน้ำช่วยให้เราลดต้นทุนได้ แต่ยังทำให้เรามีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย” คุณต้องใจกล่าว

เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า ความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันหรือกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) เพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยงและการเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม โดยไทยเบฟได้นำแนวคิดความยั่งยืนมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงาน ตัวอย่างเช่น การใช้พลังงานสะอาดคิดเป็นสัดส่วนราว 50% ของการใช้พลังงานทั้งหมด ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี การรีไซเคิลและนำขวดแก้วกลับมาใช้ซ้ำซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 40 ปี รวมถึงการปรับปรุงระบบการใช้น้ำภายในโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เธอย้ำว่าการดำเนินการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุน แต่ยังเพิ่มความยืดหยุ่นของบริษัทในการรับมือกับความเสี่ยงด้านทรัพยากรน้ำและพลังงานในอนาคตอีกด้วย

ด้านบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นำเสนอโดยคุณอดัม เบรนเนน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนและการสื่อสารองค์กร ได้นำเสนอแนวคิดการเปลี่ยนมุมมองเรื่องความยั่งยืนจาก “ต้นทุน” ให้กลายเป็น “ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน”

เขากล่าวว่า ในช่วงเริ่มต้น ไทยยูเนี่ยนมองความยั่งยืนในฐานะค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเพื่อปกป้องแบรนด์และลดความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารทะเลซึ่งมีความเปราะบางต่อปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น การค้ามนุษย์ การใช้แรงงานบังคับ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน บริษัทจึงต้องให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านนี้อย่างเข้มข้น หนึ่งในประเด็นสำคัญที่คุณเบรนเนนกล่าวถึงคือการบริหารจัดการซัพพลายเชน ซึ่งถือเป็นหัวใจของการสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับอุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทยในระดับโลก

คุณอดัมกล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนให้ความสำคัญกับการตรวจสอบย้อนกลับของวัตถุดิบอย่างเข้มงวด โดยมุ่งมั่นคัดเลือกซัพพลายเออร์ที่มีแนวคิดและการดำเนินงานสอดคล้องกับหลักความยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทจะไม่เกี่ยวข้องหรือสนับสนุนพันธมิตรที่ละเมิดหลักการด้านสิ่งแวดล้อมหรือสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน เขาเน้นว่าความยั่งยืนไม่ได้จำกัดอยู่เพียงประเด็นสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงมิติทางสังคมอย่างเท่าเทียม

ในระยะข้างหน้า ไทยยูเนี่ยนตั้งเป้าที่จะทำให้โรงงานหลักทั้ง 5 แห่งของบริษัทดำเนินงานตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ได้อย่างสมบูรณ์ภายในปี 2573 โดยมีเป้าหมายลดขยะอาหาร ของเสีย และน้ำเสียให้เหลือศูนย์ ขณะเดียวกันยังตั้งเป้าให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทมีการออกสินเชื่อที่สอดคล้องกับหลักความยั่งยืนครบ 100% ภายในปีเดียวกัน ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ดำเนินการไปแล้วประมาณ 75%

อีกหนึ่งธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อมไม่แพ้กันคือ แอร์เอเชีย (AirAsia) โดยคุณมุน ชิง ยัป (Mun Ching Yap) หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความยั่งยืนของบริษัท กล่าวว่าความยั่งยืนสำหรับองค์กรของเธอหมายถึงทั้ง “ความปลอดภัย” และ “ต้นทุนทางธุรกิจ”

เธออธิบายว่าในอุตสาหกรรมการบิน ต้นทุนคาร์บอนเป็นภาระสำคัญที่สายการบินทุกแห่งต้องรับผิดชอบ และการลดต้นทุนส่วนนี้จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้

คุณมุน ชิง ยัป ยกตัวอย่างแนวทางของแอร์เอเชีย เช่น การปรับปรุงกระบวนการบินให้ประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น การอัปเกรดฝูงบินให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และการพัฒนาเทคนิคการบินของนักบิน เพื่อให้สามารถลดการใช้พลังงานและการปล่อยคาร์บอนได้อย่างเป็นรูปธรรม

“ค่าใช้จ่ายด้านคาร์บอนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ และการบริหารจัดการคือการทำความเข้าใจทางเลือกในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของคุณ” คุณมุน ชิง ยัป กล่าว

เช่นเดียวกับไทยยูเนี่ยน คุณมุน ชิง ยัป กล่าวว่าประเด็นสำคัญอีกด้านหนึ่งคือการบริหารจัดการซัพพลายเชน ซึ่งถือเป็นความท้าทายหลักในการขับเคลื่อนความยั่งยืนขององค์กร เนื่องจากต้องทำให้ทุกหน่วยงานและคู่ค้าภายนอกปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เดียวกัน แอร์เอเชียจึงให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจร่วมในระบบซัพพลายเชน โดยจัดการฝึกอบรมสำหรับผู้จัดซื้อและคู่ค้าทางธุรกิจ พร้อมกำหนดแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืนร่วมกัน เพื่อยกระดับมาตรฐานและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมตลอดห่วงโซ่อุปทาน

ธนาคาร-การเงินมีบทบาทยังไง

นอกจากนี้ ในการเสวนาหัวข้อ "สถาบันการเงินกับความยั่งยืน" ยังมีตัวแทนจาก 2 ธนาคารใหญ่ฝั่งตะวันออกมาร่วมพูดคุยคือ คุณคอลิน เฉิน หัวหน้าฝ่ายการเงินเพื่อความยั่งยืน ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ธนาคารเอ็มยูเอฟจี (Mitsubishi UFJ Financial Group: MUFG) และคุณเคลวิน ถ่าน (Kelvin Tan) หัวหน้าฝ่ายการเงินและการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ประจำภูมิภาคอาเซียน ธนาคาร HSBC

คุณเฉินได้แสดงมุมมองเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานของธนาคารในเอเชีย โดยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างจากแนวทางของยุโรปและสหรัฐอเมริกา พร้อมระบุว่า ธนาคาร MUFG ยึดหลักการสำคัญ 4 ประการในการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ได้แก่

  1. ลูกค้า MUFG ให้ความสำคัญกับการพิจารณานโยบายการเปลี่ยนผ่านและเป้าหมายด้านความยั่งยืนของลูกค้า โดยคุณเฉินระบุว่านี่คือหนึ่งในจุดที่แตกต่างจากโลกตะวันตก เพราะธนาคารในเอเชียต้องให้ความสำคัญกับการสร้างปฏิสัมพันธ์และการทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด
  2. ธุรกรรม MUFG วิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการประเมินความสอดคล้องของโครงการกับเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนของแต่ละประเทศ เพื่อให้การสนับสนุนทางการเงินอยู่ในทิศทางเดียวกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนในระดับชาติและภูมิภาค
  3. การวิเคราะห์สภาพภูมิอากาศ เพื่อประเมินความเสี่ยงทางการเงิน
  4. การติดตามหลังธุรกรรม เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามเป้าหมาย

ด้าน HSBC ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของธนาคารในการสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย HSBC มีส่วนร่วมช่วยเหลือลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อาหารทะเล การบิน เทคโนโลยี และภาคธุรกิจอื่นๆ ให้สามารถปรับตัวและพัฒนาแนวทางดำเนินงานที่ยั่งยืนมากขึ้น

ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการสนับสนุน “เศรษฐกิจใหม่” ผ่านการส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน การพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด และการสร้างระบบสนับสนุนที่ช่วยให้ SME เข้าถึงแหล่งทุนและคำปรึกษาได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งคำนึงถึงมิติทางสังคมโดยการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาดูแลด้านนโยบายและการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด

ทั้งหมดนี้สะท้อนภาพรวมของมุมมองจากผู้ปฏิบัติงานด้านความยั่งยืน ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการเงิน ที่ต่างตอกย้ำว่า “ความยั่งยืน” ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ดีต่อสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมความแข็งแกร่งและการเติบโตขององค์กรในระยะยาวอีกด้วย

แชร์
ความยั่งยืนคือกุญแจ ผลักดันเศรษฐกิจของเมือง ลดความเสี่ยง-ต้นทุนธุรกิจ