ปัจจุบัน หลายคนอาจยังตีความคำว่า “พอเพียง” ว่าเป็นการหยุดพัฒนา หรือการยอมจำนนอยู่กับความยากจน แต่แท้จริงแล้ว ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานไว้ คือกรอบคิดเพื่อการ “เติบโตอย่างพอดี” ไม่เกินกำลัง ไม่หวือหวาจนเสี่ยงล้ม โดยตั้งอยู่บนหลักการสำคัญสามประการ ได้แก่ การรู้จักตัวเอง การใช้เหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันที่มั่นคง แนวคิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎีในตำรา หากแต่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้จริงกับหลากหลายวงการ ตั้งแต่การเกษตร อาหาร การศึกษา ไปจนถึงแฟชั่นและบริการสมัยใหม่
ด้วยเหตุนี้ เวทีเสวนาหัวข้อ “ธุรกิจก้าวพอดี สู่การเติบโตที่ยั่งยืน” ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) จึงถูกจัดขึ้นเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ตรงของผู้ประกอบการที่นำหลักปรัชญานี้มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ จนกลายเป็น “living proof” ว่า ความพอเพียงสามารถนำพาไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนได้จริง
แกนกลางของเวทีปีนี้เน้น “การปรับตัวและการร่วมมือ” ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนและวิกฤตการณ์ที่คาดไม่ถึง ผู้ประกอบการรุ่นใหม่จำนวนมากได้พิสูจน์ว่า การใช้หลักพอเพียงทำให้ธุรกิจไม่เพียงยืนหยัดอยู่รอด แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมรอบข้าง เรื่องราวครอบคลุมตั้งแต่ร้านอาหารที่ก้าวจากผู้เล่นรายย่อยสู่การสร้าง “ระบบนิเวศ” ของทั้งอุตสาหกรรม โรงกลั่นสุราคราฟต์ที่จัดการให้ทุกขั้นตอนของการผลิตคืนรายได้และคุณค่าแก่ชุมชน ไปจนถึงแบรนด์แฟชั่นที่เลือก “เดินช้า” อย่างมั่นคง เพื่อรักษาผู้คนและภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เติบโตไปพร้อมกัน
ทุกเรื่องราวสะท้อนชัดเจนว่า “ความพอเพียง” ไม่ใช่ข้อจำกัด แต่คือเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างสง่างาม ยั่งยืน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
โครงการพอแล้วดี คือโครงการที่มุ่งสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ให้เติบโตด้วยแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy) ผสมผสานกับแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) และการพัฒนาท้องถิ่นหรือบ้านเกิดไปพร้อมกัน ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Training Workshop) ที่เน้น “การระเบิดจากข้างใน” เพื่อพัฒนาตัวตนและแบรนด์อย่างมีคุณค่า จนเกิดเป็น “พอแล้วดี The Creator” นักธุรกิจที่ไม่เพียงสร้างธุรกิจเพื่อผลกำไร แต่ยังเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อมโยงวิถีชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน ธุรกิจที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เพียงธุรกิจส่วนตัว แต่คือธุรกิจที่ช่วยขับเคลื่อนความยั่งยืนทั้งต่อสังคม ชุมชน และโลก
หัวใจของการทำธุรกิจในโครงการนี้ตั้งอยู่บนหลักการ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ได้แก่ รู้จักตนและประมาณตน มีเหตุมีผล และสร้างภูมิคุ้มกัน ควบคู่กับการใช้ความรู้และคุณธรรม การดำเนินธุรกิจจึงไม่มุ่งเติบโตแบบหวือหวาเกินกำลัง แต่เติบโตอย่างมั่นคง นอกจากนี้ยังต่อยอดจากหลักการตลาดสากล 4Ps ด้วย 3Ps ที่เหมาะกับโลกยุคใหม่ คือ Profit หรือกำไรที่พอเหมาะ People หรือการใส่ใจต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกวงจรธุรกิจ และ Planet หรือความห่วงใยต่อโลกในอนาคต
คุณกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจพอเพียงฯ หอการค้าไทย กล่าวว่า โครงการนี้เกิดขึ้นเพราะความเชื่อที่ว่าปรัชญานี้ไม่ใช่เรื่องล้าสมัย แต่เป็น “ธรรม” ที่ใช้ได้กับคนทุกเพศทุกวัย ทุกถิ่น รวมถึงชาวต่างชาติที่ใช้ชีวิตในประเทศไทย คุณกอบกาญจน์อธิบายว่าการทำธุรกิจในทุกภาคส่วน ไม่จำกัดเฉพาะเกษตร หากยึดหลักพอเพียงก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการ “กลัดกระดุมเม็ดแรกไม่ผิด” ธุรกิจจึงมีภูมิคุ้มกัน สามารถทำแผน วางกลยุทธ์ และรับมือวิกฤตที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
คุณกอบกาญจน์ เน้นย้ำว่าความสำคัญสูงสุดของการเดินตามแนวทางนี้คือ “ความซื่อสัตย์และจริยธรรม” เพราะเป็นสิ่งที่จะทำให้ธุรกิจส่งต่อคุณค่าได้จริง และคือแกนหลักที่จะทำให้ธุรกิจยืนยาว คุณกอบกาญจน์กล่าวว่าในทุกความมืดมักมีแสงเสมอ ผู้ที่ยึดหลักพอเพียงต้อง “หาไฟในตัวเองให้เจอ และส่งไฟนั้นต่อไปยังผู้อื่น” เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้สังคม โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการจำนวนมากอาจลังเลหรือถอดใจ
นอกจากนี้ คุณกอบกาญจน์ยังอธิบายว่า หอการค้าเห็นคุณค่าของปรัชญานี้ในฐานะ “เครื่องเตือนสติ” ที่ทำให้ทุกคนไม่ว่าดำรงชีวิตด้วยบทบาทใดก็สามารถก้าวต่อไปได้อย่างมีสติและยั่งยืน เธอยกตัวอย่างว่า สิ่งที่ “พอแล้วดี The Creator” และเครือข่ายนักธุรกิจรุ่นใหม่ YEC ของหอการค้าได้ลงมือทำคือ “living proof” ที่ยืนยันว่า หลักคิดนี้ไม่ใช่ทฤษฎี แต่คือแนวทางที่ทำให้ผู้ประกอบการรู้จักตนเอง มีภูมิคุ้มกัน และสามารถกลัดกระดุมเม็ดแรกได้อย่างถูกต้อง
ด้าน ดร. ศิริกุล หรือ “คุณหนุ่ย” ผู้อำนวยการโครงการ “พอแล้วดี” เล่าว่า จุดประสงค์ของโครงการอแล้วดีคือการสร้าง “กรอบคิด” ให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่สามารถต่อยอดธุรกิจไปสู่ความยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้ เพราะหลายคนมักเข้าใจผิดว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือข้ออ้างของเกษตรกรหรือผู้ที่สู้ในตลาดไม่ได้ ดร. ศิริกุลจึงตั้งใจทำให้เห็นว่าแนวคิดนี้ใช้ได้กับทุกวงการ และทันสมัยกว่าที่คิด
สำหรับปี 2568 คุณหนุ่ยอธิบายว่า ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการ “พอแล้วดี” ต้องเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่พร้อมปรับตัว เพราะธีมของปีนี้คือ “adaptation” หรือการเปลี่ยนแปลงให้ทันโลก คุณหนุ่ยย้ำว่า “ความยั่งยืนทำคนเดียวไม่ได้” และการสร้างความร่วมมือ (collaboration) คือหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการจับมือระหว่างผู้ประกอบการด้วยกัน หรือการต่อยอดความร่วมมือกับชุมชนและผู้บริโภค ทุกความสำเร็จที่เกิดขึ้นจึงเป็นมากกว่ากำไร แต่คือผลรวมของการแบ่งปันและการร่วมสร้างภูมิคุ้มกันให้ทั้งธุรกิจและสังคม
คุณธนพงศ์ วงศ์ชินศรี ผู้ก่อตั้งร้านอาหารบุฟเฟต์ Penguin Eat Shabu เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นก่อนเข้าร่วมโครงการพอแล้วดีว่า ตอนแรกคุณธนพงศ์ไม่รู้จักโครงการ “พอแล้วดี” มาก่อน เพียงแต่เห็นเพื่อนเข้าร่วมแล้วรู้สึกว่าเป็นโครงการที่คนดีๆ รวมตัวกัน จึงอยากลองสมัครบ้าง แต่ปีแรกก็ยังไม่ผ่านการคัดเลือก กระทั่งเมื่อธุรกิจร้านอาหารเริ่มเติบโต คุณธนพงศ์กลับเต็มไปด้วยความกดดันและความสับสนว่า “เราทำไปเพื่ออะไร” เพราะยิ่งขยายกิจการก็ยิ่งรู้สึกหลงทาง (lost) ไม่ได้ความสุขจากธุรกิจเลย ในทางตรงกันข้าม ทุกครั้งที่ได้ขึ้นเวทีแบ่งปันประสบการณ์กับผู้อื่น แม้จะไม่ได้ค่าตอบแทน เขากลับรู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริง
ครั้งหนึ่ง คุณธนพงศ์เคยถาม “พี่หนุ่ย” หรือ ดร. ศิริกุล ว่า ถ้าเรายึดหลักพอเพียง แปลว่าเราจะไม่มีวันรวยใช่หรือไม่ ซึ่งได้รับคำตอบว่าความหมายของ “พอเพียง” ไม่ได้หมายถึงการหยุดเติบโต แต่คือการเติบโตที่สมดุลและยั่งยืน ไปพร้อมกับสังคมโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือเมื่อคุณธนพงศ์เริ่มตระหนักว่า ธุรกิจบุฟเฟต์ที่ทำอยู่กลับเป็นการชวนให้ผู้คน “ไม่พอเพียง” กินเกินความพอดี อีกทั้งยังสร้างภาระทางใจจากการฆ่าสัตว์จำนวนมาก ความรู้สึกนั้นยิ่งตอกย้ำว่าเส้นทางนี้ไม่ใช่เป้าหมายชีวิตที่คุณธนพงศ์ต้องการอีกต่อไป
การเรียนรู้ในโครงการทำให้คุณธนพงศ์ตกผลึกว่า บทบาทของเขาไม่ใช่ผู้แข่งขัน แต่คือ “คอนเน็กเตอร์” ที่เชื่อมโยงผู้ประกอบการร้านอาหารรายเล็กให้มีที่ยืนและเติบโตไปด้วยกัน เขาจึงก่อตั้งบริษัท Penguin X ขึ้นมา โดยเปรียบตนเองเป็น “สัตว์ตัวเล็กๆ” ที่ทำหน้าที่เชื่อมพลังให้ธุรกิจ SME เกิดพลังและศักยภาพที่ใหญ่กว่าเดิม เปลี่ยนจากการมองกันเป็นคู่แข่งให้กลายเป็นเครือข่ายที่ช่วยเหลือกัน
ตลอดห้าถึงหกปีที่ผ่านมา คุณธนพงศ์จัดอีเวนต์สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้คนสามถึงสี่หมื่นคนต่อปี จัดกิจกรรมแล้วกว่าร้อยครั้ง ทำให้ผู้ประกอบการหมื่นกว่าคนทั่วประเทศได้รู้จักและเชื่อมโยงกัน พร้อมสร้าง “โรงเรียนธุรกิจอาหาร” ขึ้นเอง เพราะเห็นว่าประเทศไทยมีแต่โรงเรียนสอนทำอาหาร แต่ไม่มีโรงเรียนสอนการทำธุรกิจอาหาร และยังได้ร่วมมือกับหอการค้าไทย สร้างหลักสูตร “Restaurant MBA” ที่อาจารย์ทุกคนล้วนเป็นผู้เล่นตัวจริงในวงการ
คุณธนพงศ์สรุปว่า หน้าที่ของเขาคือการเป็น “คอนเน็กเตอร์” ที่สร้างชุมชน สร้างเครือข่าย และเชื่อมโยงผลประโยชน์ของทุกฝ่าย เพื่อเป้าหมายเดียว คือทำให้ร้านอาหารในประเทศไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่การ “แข่งเดี่ยว” อีกต่อไป แต่คือการสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่ทุกคนบินไปด้วยกัน
Onson Thai Handcrafted White Spirit อีกหนึ่งธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการพอแล้วดีในปีนี้ ถูกออกแบบขึ้นจากความตั้งใจของธรรมวิทย์ ลิ้มเลิศเจริญวนิช ที่อยากพิสูจน์ว่า แม้ธุรกิจแอลกอฮอล์ที่หลายคนมองว่าเป็น “ธุรกิจบาป” ก็สามารถสร้างประโยชน์และความยั่งยืนให้กับสังคมได้
คุณธรรมวิทย์เล่าว่า จุดเริ่มต้นของธุรกิจ Onson Thai Handcrafted White Spirit มาจากการทำร้านอาหารที่สกลนครช่วงโควิด และความสนใจเรื่องสุราชุมชน โดยคุณธรรมวิทย์เลือกเส้นทางนี้แม้ครอบครัวทำธุรกิจสังฆภัณฑ์ใกล้วัด เพราะต้องการสร้างสิ่งใหม่ในแบบของตนเอง และสิ่งที่ครอบครัวสอนคือ ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไร แม้แต่ธุรกิจที่สังคมมองในแง่ลบ ก็ควรตอบแทนสังคมได้บางส่วน นั่นกลายเป็นหลักคิดตั้งต้นของ Onson
คุณธรรมวิทย์เริ่มต้นทำสุราเมื่อราวสิบปีก่อน โดยหยิบ “น้ำตาลมะพร้าว” จากแม่กลองและอัมพวามาใช้เป็นวัตถุดิบหลัก ในเวลานั้นอุตสาหกรรมนี้กำลังขาดแรงสืบทอดเพราะลูกหลานไม่อยากกลับบ้านมาทำต่อ การเลือกใช้วัตถุดิบนี้จึงช่วยเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ใหม่ให้กับชุมชน ผลลัพธ์คือน้ำสุราคราฟต์รสชาติเป็นเอกลักษณ์และแตกต่าง
คุณธรรมวิทย์ออกแบบให้ทุกขั้นตอนในห่วงโซ่การผลิตเหล้า 1 ขวด “ไม่เหลือทิ้ง” และเกิดประโยชน์สูงสุด เริ่มตั้งแต่กากหมักที่เหลือจากการกลั่น นำไปทดลองเลี้ยงโคขุนโพนยางคำเหมือนกับโมเดลขุนวัวด้วยเบียร์ในญี่ปุ่น เถ้าถ่านจากการเผาเชื้อเพลิงไม้ถูกส่งมอบให้กลุ่มแม่บ้านใช้เป็นสารย้อมผ้าคราม ขวดสุราถูกดีไซน์ให้มีร่องสำหรับตัดเป็นแก้วได้ จากนั้นจ้างงานหัตถกรรมท้องถิ่นให้นำงานจักสานมาหุ้มแก้ว เป็นการกระจายรายได้กลับสู่ชุมชน
ส่วนหัวสุราที่เป็นเมทานอลซึ่งไม่สามารถดื่มได้ เขาส่งให้มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครใช้ในห้องแล็บ และต่อยอดทดลองพัฒนาน้ำหอมจากเอทานอล การจัดการทุกส่วนเหลือใช้จึงถูกเชื่อมต่อไปสู่ประโยชน์ใหม่ ไม่ถูกทิ้งอย่างสูญเปล่า
ด้วยระบบคิด ESG ที่ครบวงจร Onson ได้รับรางวัล ESG จากกรมสรรพสามิต เป็นเครื่องยืนยันว่าธุรกิจแอลกอฮอล์ก็สามารถออกแบบให้มีมุมมองเชิงบวกต่อสังคมได้จริง คุณธรรมวิทย์เน้นว่า Onson ยังคงเป็นงานคราฟต์ทุกขวด ไม่ใช่สินค้าในตลาดแมส แต่เน้นไปที่นักดื่มที่มีประสบการณ์และกำลังมองหาสปิริตใหม่ๆ ที่มีเรื่องราวและคุณค่าซ่อนอยู่ในทุกกระบวนการผลิต
คุณชินศรี พูลระออ ผู้ก่อตั้ง Khao Thammachad หรือ ข้าวธรรมชาติ เล่าว่า จุดเริ่มต้นของธุรกิจมาจากความพยายามผลักดันให้ชาวนาหันมาปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ แม้ราคาขายจะสูงกว่าข้าวเคมี แต่กลับประสบปัญหาคือ ไม่มีใครยอมปลูก คุณชินศรีจึงนำคำถามนี้ไปปรึกษา “คุณหนุ่ย” อีกครั้ง และได้รับคำตอบว่า “แล้วคุณเคยหันกลับไปมองชีวิตชาวนาหรือไม่ ว่าพวกเขาอยู่กันอย่างไร ลำบากแค่ไหน มีหนี้สินเพียงใด ต้องดิ้นรนมากขนาดไหนถึงจะอยู่ได้?” สิ่งนี้ทำให้คุณชินศรีเข้าใจว่าการสร้างแบรนด์ไม่ใช่เพียงการทำธุรกิจ แต่ต้องเดินบนแนวทางของ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” โดยมองครบทุกมิติ ทั้งการดูแลคนปลูก การนึกถึงคนกิน และการใส่ใจสิ่งแวดล้อม
เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์ราคาข้าวในประเทศตกต่ำลง แม้แบรนด์จะยังพออยู่รอด แต่ชาวนากลับ “ไม่รอด” นี่คือโจทย์ใหญ่ที่คุณชินศรีในฐานะคนที่ใกล้ชิดชาวนามากที่สุดต้องแก้ไข เขาอธิบายว่า “โรงสีเก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้ข้าวลีบกลายเป็นข้าวเต็มเมล็ดได้ ข้าวที่ดีต้องเกิดจากนา และนาจะดีได้ก็ต่อเมื่อชาวนามีแรงดูแลใส่ใจ ซึ่งเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขามีรายได้ที่มั่นคง”
ทางออกเกิดขึ้นเมื่อคุณชินศรีได้พบกับบริษัทปังสยาม ซึ่งไม่ได้มองหาข้าวราคาถูกเพื่อการผลิต แต่ต้องการข้าวที่มีคุณประโยชน์จริงต่อผู้บริโภค วันที่คุยกันครั้งแรก ปังสยามบอกกับเขาว่า “เราต้องการข้าวที่มีคุณค่า ทั้งสำหรับคนกินและชาวนา” จากนั้นจึงร่วมกันพัฒนา “แป้งข้าวกล้อง” ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ใช้ข้าวกล้องในสัดส่วน 48% เพื่อคงวิตามินบีและไฟเบอร์ไว้
สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการซื้อขาย โดยคุณชินศรีนำราคาที่ตกลงกับปังสยามไปกำหนดเป็น “ราคารับซื้อล่วงหน้า” ก่อนฤดูเพาะปลูก ชาวนาจึงรู้รายได้ตั้งแต่ยังไม่ลงนา นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวิถีการทำนาไทย ผลที่ได้คือรอยยิ้มจากชาวนาและคุณภาพข้าวที่ดีขึ้น เพราะทุกคนมั่นใจและพร้อมใส่ใจการเพาะปลูกตั้งแต่ต้นน้ำ
โมเดลนี้จึงไม่ใช่เพียงการขายข้าว แต่คือการสร้างระบบที่ทำให้ชาวนา “รอดไปกับแบรนด์” อย่างแท้จริง ทั้งในมิติคุณภาพชีวิต ความมั่นคงทางรายได้ และความยั่งยืนของห่วงโซ่อาหารไทย
คุณปวริศร์ รักษ์อัศวโภคิน เริ่มต้นธุรกิจ “แชมพูไบโอเวช” จากความช่างสังเกต โดยระหว่างที่กลับบ้านไปจังหวัดน่าน คุณปวริศร์สงสัยว่าทำไมผู้สูงอายุที่นั่นถึงอายุยืนยาว จนพบว่าคำตอบคือวิถีชีวิตเรียบง่ายที่พึ่งพาสมุนไพรและอาหารปลอดสารพิษ ชาวบ้านใช้ของที่หาได้ตามริมรั้วอย่างอัญชันหรือมะกรูดมาดูแลสุขภาพและเส้นผมกันมาหลายสิบปี จุดนี้ทำให้คุณปวริศร์มองเห็นคุณค่าและศักยภาพของสมุนไพรท้องถิ่น ซึ่งในเวลานั้นยังไม่เป็นที่นิยม เพราะคนรุ่นเดียวกันมักสนใจสินค้าจากเกาหลี ญี่ปุ่น หรือยุโรปมากกว่า
คุณปวริศร์ มีโอกาสได้เจอกับวิสาหกิจชุมชนที่ทำเรื่องสมุนไพรมากว่า 20 ปี แต่ยังไปไม่ถึงตลาดใหญ่ การผนึกกำลังระหว่างองค์ความรู้ด้านสมุนไพรของชุมชนและความถนัดด้านการตลาดของเขาจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแชมพู “ไบโอเวช” ผลิตภัณฑ์ล็อตแรกกว่า 5,000 ขวดกลับขายไม่ออก เพราะยังไม่มีประสบการณ์ในการทำตลาด จนกระทั่งโควิด-19 มาถึง ธุรกิจสกินแคร์อื่น ๆ ยอดขายตก แต่เมื่อคุณปวริศร์หยิบแชมพูที่เคยเก็บสต๊อกไว้มาขาย ผลลัพธ์กลับเหนือความคาดหมาย ลูกค้าที่ประสบปัญหาผมร่วงจากโควิดต่างส่งเสียงตอบรับว่าใช้แล้วได้ผลจริง
คุณปวริศร์จึงเริ่มศึกษาอย่างจริงจังและนำสมุนไพรจากน่านไปตรวจวิเคราะห์ พบว่ามีสารออกฤทธิ์สูงกว่าที่อื่นถึงห้าเท่า กลายเป็นจุดขายสำคัญที่ยกระดับผลิตภัณฑ์ คุณปวริศร์จัดตั้งซัพพลายเชนอินทรีย์ โดยให้ชาวบ้านปลูกสมุนไพรในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ ส่งต่อให้วิสาหกิจชุมชนเพื่อสกัด ก่อนนำเข้าสู่โรงงานของตนเอง แม้การทำงานกับชุมชนไม่ง่าย เพราะชาวบ้านไม่ใช่ซัพพลายเออร์มืออาชีพ แต่การหาจุด “พอดี” ระหว่างธุรกิจกับวิถีท้องถิ่นทำให้ระบบเริ่มลงตัว และผลักดันให้แบรนด์เติบโต
นอกจากนี้ คุณปวริศร์ยังเน้นรักษาอัตลักษณ์ของไบโอเวชในฐานะแบรนด์ท้องถิ่น เพราะเมื่อธุรกิจเริ่มเป็นที่จับตามอง เขาเล่าว่า เคยบริษัทใหญ่ระดับประเทศเสนอซื้อกิจการทั้งหมดพร้อมเงื่อนไขให้ตัดชื่อ “BioVech” ออกและเปลี่ยนเป็นยี่ห้อดังของตน แต่คุณปวริศร์ปฏิเสธ เขาเลือกแนวทางการร่วมทุนแทน โดยกำหนดชัดเจนว่าต้องรักษาอัตลักษณ์ของแบรนด์ และพาสมุนไพรน่านออกสู่ตลาดโลกให้ได้
ปัจจุบัน BioVech ได้สร้างงานในจังหวัดน่านกว่า 300 ตำแหน่ง และสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนกว่า 200 ครอบครัวที่ปลูกและส่งสมุนไพรเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตอย่างยั่งยืน ซึ่งคุณกอบกาญจน์ กล่าวว่า สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการและหลักเศรษฐกิจพอเพียง เพราะสิ่งสำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่นในจังหวัดของตนเอง โดยการพัฒนาและเติบโตต้องอิงกับอัตลักษณ์ที่มีอยู่ และต้องไม่ละเลยชุมชนที่เป็นรากฐาน หากจะมีความมั่งคั่งเกิดขึ้น ก็ต้องมั่นคงในการดูแลคนในพื้นที่ไปพร้อมกัน
ด้าน ดร. ศิริกุล กล่าวชื่นชมว่า ประเด็นนี้คือหัวใจสำคัญ เพราะความท้าทายในการทำงานกับชุมชนคือการหาจุดที่พอดี หากมองชาวบ้านเหมือนซัพพลายเออร์ทั่วไปในห่วงโซ่อุตสาหกรรม เน้นเพียงประสิทธิภาพและผลผลิต จะไม่สามารถพัฒนาชุมชนได้อย่างแท้จริง ดังนั้น การเคารพในความเป็นคนและบริบทของชุมชนคือสิ่งที่จะทำให้แบรนด์ไม่ได้มีเพียงคุณภาพสินค้า แต่ยังมี “คุณค่าที่ดี” และได้รับการยอมรับในฐานะแบรนด์ที่เคารพผู้มีส่วนร่วมทุกฝ่ายอีกด้วย
ด้าน คุณทิพย์รัตน์ สิทธิมนต์อำนวย นำเสนอวิสัยทัศน์ใหม่ด้านธุรกิจการศึกษา ผ่านศูนย์ “Give Space” และแฟรนไชส์โรงเรียนสอนว่ายน้ำ “Aqua-Tots Swim Schools” ที่มาจากสหรัฐฯ ปัจจุบันเปิดแล้ว 13 สาขาใน 4-5 ภูมิภาคของประเทศไทย จุดยืนสำคัญคือการสร้าง “พื้นที่การเรียนรู้” เพื่อเสริมทักษะที่จำเป็นและทักษะแห่งอนาคตให้กับเด็กไทย โดยมองว่าเศรษฐกิจจะขับเคลื่อนได้ต้องมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ และเด็กๆ ในวันนี้ก็คือกำลังแรงงานในอนาคต การศึกษาไทยที่เน้นเพียงการสอบได้เกรด A จึงไม่เพียงพออีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่ AI และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อการเรียนรู้และการทำงานอย่างลึกซึ้ง
คุณทิพย์รัตน์ ชี้ว่า แม้เด็กในโรงเรียนอินเตอร์หรือโรงเรียนคุณภาพจะได้เรียนรู้ที่หลากหลาย แต่ยังมีเด็กไทยอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาที่ได้มาตรฐานเช่นนั้น Give Space จึงถูกออกแบบให้เป็น “ส่วนเสริม” ของระบบการศึกษาไทยที่ปรับเปลี่ยนได้ยาก โดยเน้นการพัฒนาทักษะทั้งด้านความรู้และ Soft Skills ที่ผู้ปกครองควรตระหนักถึง ซึ่งเธอสรุปไว้ในกรอบ 5C ได้แก่ การสื่อสาร (Communication) การสร้างสรรค์ (Creativity) การทำงานเป็นทีม (Collaboration) การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และคาแรกเตอร์ (Character) เพราะเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในรูปแบบของตัวเองได้ หากได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองและสถาบันการศึกษา
คุณทิพย์รัตน์อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาไทยไม่อาจหวังเพียงจากภาครัฐ แต่ “ดีมานด์” จากผู้ปกครองที่ใส่ใจจะเป็นแรงขับให้ซัพพลายปรับเปลี่ยนตาม เธอเล่าว่าเพิ่งได้แลกเปลี่ยนกับคุณ Jason Kwon Chief Strategy ของ OpenAI ซึ่งมองว่าการเรียนรู้ในอนาคตจะไม่เน้นที่คำตอบสำเร็จรูป แต่ต้องวัดจาก “กระบวนการ” ที่นำไปสู่คำตอบ เช่น การออกแบบให้เครื่องมืออย่าง ChatGPT ทำหน้าที่เป็นติวเตอร์หรือเอเจนต์ที่คอยตั้งคำถามชี้นำต่อเนื่อง มากกว่าการให้คำตอบโดยตรง ซึ่งสอดคล้องกับความจริงที่ว่าเด็กและนักศึกษาในปัจจุบันใช้ AI ในการหาคำตอบและทำรายงานอยู่แล้ว
ในเชิงธุรกิจ คุณทิพย์รัตน์ อธิบายว่า การเปิดแฟรนไชส์อาจเหนื่อยกว่าและได้กำไรน้อยกว่าการเปิดเอง แต่สะท้อนแนวคิด 3P คือ People, Planet, Profit เพราะการขายแฟรนไชส์ทำให้ครอบครัวผู้ซื้อมีธุรกิจมั่นคง เด็กในพื้นที่ได้เรียนหลักสูตรระดับโลกใกล้บ้าน สังคมได้ประโยชน์ และแบรนด์สามารถขยายอิมแพ็กในวงกว้าง โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัยและทักษะชีวิต เนื่องจากโลกประกอบด้วยน้ำถึง 71% การเรียนว่ายน้ำจึงไม่ใช่เพียงกีฬา แต่คือการสร้าง “life skill” สำคัญให้เด็กๆ อยู่รอดและใช้ชีวิตในน้ำได้อย่างมั่นใจ
ด้านสิ่งแวดล้อม Aqua-Tots ทุกสาขาใช้ระบบฮีตปั๊มเพื่อลดการใช้พลังงาน ขณะที่อาคารใหม่ที่ราชพฤกษ์ถูกออกแบบให้เป็น Green และ Circular Energy โดยการนำลมเย็นจากฮีตปั๊มกลับมาใช้ภายในอาคาร ลดการใช้แอร์และค่าไฟ อีกทั้งยังพิจารณานำ IoT มาบริหารจัดการอุณหภูมิให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เธอย้ำว่าแม้การลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมจะสูงขึ้น แต่ก็เป็นการลงแรงที่ทำให้ธุรกิจ SME กลายเป็นส่วนเล็กๆ ที่ช่วยเปลี่ยนโลกให้ยั่งยืนขึ้น
คุณทิพย์รัตน์สรุปว่า “เราต้องสร้างทักษะให้เด็กๆ อยู่รอดในโลกอนาคต” ซึ่งไม่เพียงหมายถึงการเรียนรู้เนื้อหาวิชาการ แต่รวมถึงการรู้จักใช้ AI อย่างถูกต้อง มี Soft Skills ครบถ้วน และเติบโตในสังคมที่ทั้งครอบครัว ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ได้รับประโยชน์ร่วมกัน
คุณกาญจนา ชนาเทพาพร เล่าว่า BWILD ISAN ถือกำเนิดขึ้นก่อนโควิด โดยไม่ใช่แบรนด์ที่ขับเคลื่อนด้วย Passion ส่วนตัวของดีไซเนอร์เหมือนแฟชั่นทั่วไป แต่เกิดจาก “สถานการณ์และผู้คนตรงหน้า” เธอคลุกคลีอยู่กับธุรกิจตัดเย็บเสื้อผ้าและงานกูตูร์มากว่า 17 ปี ร่วมงานกับช่างทอผ้าไหมและช่างฝีมือไทย แต่เมื่อโควิดมาถึง เธอตระหนักว่าความสำคัญอยู่ที่การรวมพลังและการใช้รากเหง้าอีสานเป็นฐาน เชื่อมโยงทั้งนักออกแบบรุ่นใหม่ที่ขอนแก่นผลิตออกมามาก กับรุ่นใหญ่ที่สืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อหาจุดตรงกลางที่ทำให้งานแฟชั่นไม่เพียงตอบโจทย์ความภาคภูมิใจ แต่ยัง “ประคองผู้คนและชุมชนให้อยู่รอด”
ในช่วงแรก BWILD ISAN ก็ยังเหมือนแบรนด์แฟชั่นทั่วไป มุ่งทำสิ่งที่ตนเองภูมิใจ แต่โครงการ “พอแล้วดี” กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ กาญจนาบอกว่าแนวคิด “สามห่วงสองเงื่อนไข” ทำให้เธอปรับวิธีคิดใหม่ จาก “เราชอบอะไร” เป็น “สิ่งที่ทำนี้จำเป็นและผู้คนอยากได้หรือไม่” เพราะในโลกที่สินค้าถูกกว่าหาง่ายกว่า คำถามคือการสร้างงานแฟชั่นเพิ่มขึ้นมีความหมายอย่างไร เธอจึงหันมาโฟกัสที่คุณค่าต่อชีวิตคน แม้จะช่วยได้เพียง 1 ครอบครัวหรือ 7 ครอบครัว ก็ถือว่าเป็นพลังสำคัญ การเดินทางจึงช้าลง แต่มั่นคงกว่า
เธอย้ำว่าการทำงานในแบบ BWILD ISAN คือการ “ตกตะกอน” ใช้เวลาเยอะ มีผู้คนเกี่ยวข้องมาก และนั่นทำให้งานที่ออกมาแม้จะช้า แต่มีน้ำหนักและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ร่วมทางไปด้วย เธอไม่ได้ยึดติดว่าต้องเป็นเพียงแบรนด์แฟชั่น แต่คิดว่าตนเองและทีมสามารถสร้างประโยชน์ให้เมืองในมิติอื่นได้
ตัวอย่างสำคัญคือโครงการ “ต้นคริสต์มาส คัก-คริส-มัด” ที่เธอทำกับอัตตาสตูดิโอและเซ็นทรัลขอนแก่น กาญจนาเสนอแนวคิดว่า งบประมาณอีเวนต์ควรกลับมาสู่ชุมชน ไม่ใช่แค่ผลิตงานสวยงามชั่วคราว แต่ต้องเป็น “เทศกาลแห่งความสุขของคนในเมืองจริงๆ” งบทุกบาทถูกใช้กับทีมงานกว่า 15 ทีมในชุมชน นำอัตลักษณ์ “มัดหมี่” ของขอนแก่นมาสร้างเป็นงานศิลป์ร่วมสมัย ภายใต้การควบคุมของทีม BWILD ISAN ที่ดูแลให้ทุกชิ้นส่วนอยู่กับชุมชนอย่างแท้จริง ผลงานนี้ได้รับรางวัล Creative Collaboration Award และกลายเป็นเครื่องยืนยันว่า “แม้จะเป็นแบรนด์เล็ก เดินช้า แต่ก็สร้างผลกระทบที่มั่นคงและมีคุณค่าต่อผู้คนและเมืองได้จริง”
คุณกอบกาญจน์ กล่าวว่า สิ่งที่ประทับใจจากโครงการพอแล้วดี คือการเห็นคนรุ่นใหม่ไม่ได้คิดเพียงการเอาตัวรอดของธุรกิจ แต่กลับเลือกที่จะไม่ทิ้งพนักงานในช่วงวิกฤตโควิด น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้จนค้นพบตัวตนและอัตลักษณ์ที่แท้จริงของตนเองและท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นความเป็นอีสาน ขอนแก่น น่าน หรือสกลนคร สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าหากนำปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาทบทวนอย่างต่อเนื่อง จะพบว่ายังมีสิ่งดีที่สร้างคุณค่าและความแตกต่างอยู่เสมอ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจึงเหมาะสมกับประเทศไทยอย่างยิ่ง เพราะเราไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับโลกที่เปิดเสรีได้ แต่เราสามารถชนะด้วยความแตกต่างที่มีคุณค่า
สิ่งสำคัญคือทุกจังหวัดของไทยล้วนมีอัตลักษณ์และศักดิ์ศรีที่ควรถูกนำมาพัฒนา โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่เริ่มลุกขึ้นกลับบ้านเกิด มองเห็นโอกาสสร้างสิ่งที่ดีงามให้ท้องถิ่น งาน SX จึงเป็นเวทีที่สะท้อนพลังและการเรียนรู้ร่วมกัน ไม่ใช่เพียงงานจัดแสดง แต่เป็นพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจและส่งกำลังใจต่อกัน เพื่อให้ประเทศไทยก้าวต่อไปอย่างสง่างามบนเวทีโลก
ด้าน ดร. ศิริกุล เสริมว่า เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เพียงเครื่องมือของไทย แต่เป็นศาสตร์พระราชาที่มีคุณค่าระดับโลก เพราะแนวคิดนี้ไม่เพียงตอบคำถามว่า “เป้าหมายคืออะไร” แต่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “เราจะไปถึงเป้าหมายนั้นอย่างไร” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงวางหลักการที่เชื่อมโยงความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันไว้เป็นระบบสามห่วงที่ชัดเจน ทำให้เศรษฐกิจพอเพียงเป็นทั้งกรอบความคิด เครื่องมือทางกลยุทธ์ และลายเซ็นที่สร้างความมั่นใจในการพัฒนาตนเองและธุรกิจโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ขณะเดียวกันยังสอดคล้องกับกระแสโลกเรื่อง Sustainability ที่พูดถึง Profit People Planet หรือการพัฒนาที่ไม่ลืมทั้งธุรกิจ คน และสิ่งแวดล้อม
ดร. ศิริกุล ชี้ว่าคนรุ่นใหม่ในโครงการ “พอแล้วดี” และเครือข่าย YEC คือภาพสะท้อนที่จับต้องได้ว่าหลักการนี้ไม่ใช่เพียงทฤษฎี แต่สามารถแปลงเป็นการลงมือทำจริง และกำลังสร้างคลื่นแห่งความหวังใหม่ให้กับสังคมไทย
เรื่องราวทั้งหมดสะท้อนชัดว่า ความ “พอเพียง” ไม่ได้หมายถึงการหยุดเติบโต แต่คือการเติบโตอย่างมีทิศทาง รู้จักตัวเอง ใช้เหตุผล มีภูมิคุ้มกัน และไม่ทอดทิ้งคนรอบข้าง ประเทศไทยอาจไม่สามารถแข่งขันด้วยราคาที่ต่ำที่สุด แต่สามารถชนะด้วยคุณค่าที่ต่างออกไปจากอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา และศักยภาพในแต่ละท้องถิ่น เมื่อปรัชญานี้ถูกนำมาประยุกต์จริง ธุรกิจไทยก็จะไม่ได้เติบโตอย่างโดดเดี่ยว แต่จะเติบโตไปพร้อมสังคม ชุมชน และโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน