Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เปิดDNAยั่งยืนแบบ‘สวีเดน’ รักษ์โลกเป็นชีวิต ฝังเทคฯสีเขียวทุกครัวเรือน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

เปิดDNAยั่งยืนแบบ‘สวีเดน’ รักษ์โลกเป็นชีวิต ฝังเทคฯสีเขียวทุกครัวเรือน

5 ต.ค. 68
13:12 น.
แชร์

หากพูดถึงประเทศผู้นำด้านความยั่งยืน 'สวีเดน' น่าจะเป็นประเทศแรกๆ ที่จะถูกพูดถึง โดยสวีเดนครองอันดับต้นๆ ในดัชนีความยั่งยืน (SDGs Report) อันดับ 1-2 ในปี 2563-2564 ดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index) อันดับ 2 ในปี 2564 และอันดับ 1 ใน RobecoSAM Country Sustainability Ranking ปี 2564 จากการพัฒนานโยบายสิ่งแวดล้อมที่แข็งแกร่งต่อเนื่องหลายทศวรรษ ตั้งแต่การออกกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อมปี 2510 ระบบจัดการขยะที่เน้นการลด ใช้ซ้ำ รีไซเคิล ไปจนถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว ครอบคลุมเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศและการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน 

ในงานเสวนา The Swedish-Thai Sustainability Talk Stage ภายใต้หัวข้อ “A Circular Future: From Industry to Home” ณ งาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ผู้บริหารและตัวแทนจาก 5 บริษัทชั้นนำของสวีเดนในประเทศไทย ได้แก่ Alfa Laval, Candela, Electrolux, IKEA และ Tetra Pak ได้ร่วมแบ่งปันแนวคิด ประสบการณ์ และนวัตกรรมแบบฉบับสวีเดน ที่ช่วยยกระดับความยั่งยืนในชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก สะท้อนให้เห็นว่า “ความยั่งยืน” คือส่วนหนึ่งของ DNA ของสวีเดนอย่างแท้จริง

สวีเดนจับมือไทย เดินหน้าความยั่งยืน ‘พอเพียงเพื่ออนาคตสีเขียว’

นางอันนา ฮัมมาร์เกรน (H.E. Mrs. Anna Hammargren) เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงานบนเวที Swedish-Thai Talk Stage ภายในงาน Sustainability Expo 2025 โดยระบุว่านี่เป็นปีที่ 3 ที่ตนได้เข้าร่วม และเป็นปีที่ 4 ที่สวีเดนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในมหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน

นางอันนากล่าวว่า ความยั่งยืนเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสวีเดน และเป็นแรงบันดาลใจอย่างมากที่ได้เห็นองค์กรและบุคคลจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว พร้อมชี้ว่าธีมของปีนี้ “Sufficiency for Sustainability” สอดคล้องกับความพยายามร่วมกันของทั่วโลกในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นการระลึกถึงพระปรีชาสามารถของในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้านเศรษฐกิจพอเพียง

เอกอัครราชทูตฮัมมาร์เกรนกล่าวถึงบริบททางการเมืองโลกที่เต็มไปด้วยวิกฤต ความขัดแย้งทางอาวุธ และการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศว่า แม้จะมีความขัดแย้งมากมาย โลกต้องไม่ลืมว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นภัยคุกคามเชิงโครงสร้างระยะยาวที่ทั้งโลกต้องเผชิญร่วมกัน และเราไม่อาจมุ่งแก้เฉพาะวิกฤตเฉพาะหน้าได้ แต่ยังต้องรักษาประเด็นสภาพภูมิอากาศไว้ในวาระทางการเมือง สื่อ และแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

เธอกล่าวต่อว่า การประชุม COP30 ที่จะจัดขึ้นในบราซิลเดือนพฤศจิกายนนี้ จะเป็นจุดสำคัญในการทบทวนความคืบหน้าและกำหนดทิศทางสำหรับห้าปีข้างหน้า โดยประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปกำลังหารือถึงเป้าหมายร่วมกัน ขณะที่สวีเดนยังคงยืนหยัดในเป้าหมายอันทะเยอทะยาน เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2588 ตามข้อตกลงปารีส และสนับสนุนความพยายามระดับโลกผ่านกลไกการเงินด้านสภาพภูมิอากาศ “เราพิสูจน์มาแล้วว่านโยบายสิ่งแวดล้อมที่มุ่งมั่น เมื่อผสานกับนวัตกรรมและความร่วมมือ สามารถสร้างการเติบโต สร้างงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตได้จริง” เธอกล่าว

อีกหนึ่งพัฒนาการสำคัญคือ ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ระหว่างไทยและสวีเดนที่เริ่มต้นตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีนี้ ครอบคลุมหลากหลายประเด็นที่ทั้งสองประเทศให้ความสำคัญ โดยเฉพาะด้านความยั่งยืนและการเปลี่ยนผ่านสีเขียว “วันนี้คืองานที่สะท้อนการเดินหน้าของความร่วมมือนี้ในทางปฏิบัติ” เอกอัครราชทูตกล่าว

เธอกล่าวถึงเวที Swedish-Thai Talk Stage ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่โดดเด่นซึ่งเปิดโอกาสให้ภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และภาคอุตสาหกรรมได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และสร้างความร่วมมือใหม่ โดยในปีนี้มีบริษัทสวีเดนชั้นนำ 5 แห่ง ได้แก่ Alfa Laval, Candela, Electrolux, IKEA และ Tetra Pak มานำเสนอแนวทางการดำเนินธุรกิจแบบหมุนเวียน (Circular Business Models) ซึ่งสะท้อนว่านวัตกรรมด้านความยั่งยืนไม่เพียงเป็นไปได้ แต่ยังเป็นพลังขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขันและความยืดหยุ่นในระยะยาว

ท้ายสุด ท่านทูตได้เชิญชวนผู้เข้าร่วมงานร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสร้างเครือข่ายความร่วมมือในช่วง Networking Session หลังจบเวที พร้อมย้ำว่า “เรามาร่วมกันสานต่อการสนทนาและหาหนทางความร่วมมือในเชิงปฏิบัติ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน”

Alfa Laval เร่งเครื่องสู่ Net Zero ปี 2027 ดันพลังงานประสิทธิภาพสูง

คุณวิกเตอร์ ฟรีเบิร์ก (Mr. Viktor Friberg) ประธานคลัสเตอร์ Alfa Laval ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย กล่าวบนเวที Swedish-Thai Sustainability Talk Stage ในงาน Sustainability Expo 2025 ว่า “นวัตกรรม” คือหัวใจสำคัญของอัลฟาลาวัลมาตั้งแต่ก่อตั้งโดย กุสตาฟ เดอ ลาวัล ผู้ประดิษฐ์และเจ้าของสิทธิบัตรจำนวนมาก จนถึงวันนี้ บริษัทมีสิทธิบัตรกว่า 4,000 รายการ โดยดำเนินธุรกิจหลักในสามเทคโนโลยีคือ การแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Transfer) การแยก (Separation) และการจัดการของไหล (Fluid Handling) ซึ่งเป็นรากฐานของระบบอุตสาหกรรมทั่วโลก

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Alfa Laval มีสำนักงานใน 6 ประเทศ รวมถึงไทย โดยมีพนักงานราว 600 คน ครอบคลุมธุรกิจในสามกลุ่มหลัก คือ อุตสาหกรรมทางทะเล (Marine) อาหารและน้ำ (Food & Water) และพลังงาน (Energy) คุณฟรีเบิร์กกล่าวว่าโลกกำลังเผชิญความท้าทายด้านพลังงานสะอาด น้ำสะอาด อาหารยั่งยืน และระบบเดินเรือสีเขียว เทคโนโลยีของอัลฟาลาวัลจึงเป็นกลไกสำคัญเบื้องหลังการเปลี่ยนผ่าน เช่น เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนที่ทำให้ระบบปรับอากาศหรือพลังงานหมุนเวียนอย่าง โซลาร์ และ ลม มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หรือเทคโนโลยีการแยกตะกอนที่ช่วยรีไซเคิลน้ำเสียให้กลับมาใช้ได้ใหม่

คุณวิกเตอร์ ยกตัวอย่างว่า หากทั่วโลกอัปเกรดเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนเป็นรุ่นใหม่ของบริษัท จะสามารถประหยัดพลังงานได้ 100 กิกะวัตต์ เทียบเท่าการลดการปล่อยคาร์บอน 50 ล้านตัน หรือราวครึ่งหนึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งปีของประเทศไทย ส่วนเทคโนโลยีการแยกยังช่วยให้กระบวนการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม เช่น เบียร์ ใช้พลังงานน้อยลงถึง 70%

คุณฟรีเบิร์กย้ำว่า 40% ของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จำเป็นต่อการบรรลุ Net Zero จะมาจาก “การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน” ไม่ใช่แค่การผลิตพลังงานใหม่ อัลฟาลาวัลจึงเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Energy Efficiency Movement ร่วมกับ ABB โดยมีสมาชิกแล้วกว่า 550 องค์กรทั่วโลก เพื่อผลักดันให้ประสิทธิภาพพลังงานของโลกเพิ่มขึ้นสองเท่า

ในด้านการดำเนินงานของบริษัทเอง อัลฟาลาวัลตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิ (Net Zero) ภายในปี 2593 และสำหรับการดำเนินงานภายใน (Scope 1 และ 2) ให้ได้ภายใน ปี 2570 เร็วกว่ากำหนดเดิมถึง 3 ปี พร้อมผลสำเร็จแล้ว ลดการปล่อยลง 57% ตั้งแต่ ปี 2563 แม้รายได้เติบโตขึ้นกว่า 50% พลังงานที่ใช้กว่า 96% มาจากพลังงานหมุนเวียน และได้ลดการใช้น้ำลง 22% รวมถึงนำน้ำฝนกลับมาใช้และหมุนเวียนน้ำในศูนย์บริการทั่วโลก

คุณฟรีเบิร์กทิ้งท้ายว่า หัวใจของความสำเร็จอยู่ที่ “ความร่วมมือ” ในห่วงโซ่มูลค่าทั้งหมด ตั้งแต่ซัพพลายเออร์ พันธมิตร จนถึงลูกค้า บริษัททำงานร่วมกับองค์กรสวีเดนชั้นนำอย่าง IKEA และ Tetra Pak พัฒนาโมเดลการแบ่งปันข้อมูลการปล่อยคาร์บอนอย่างโปร่งใส และยังร่วมมือกับ Microsoft พัฒนาเครื่องมือ AI ลดการเดินทางตรวจสอบอุปกรณ์ รวมถึง SSAB และ Outokumpu เพื่อพัฒนาเหล็ก Low-Carbon สำหรับการผลิตในอนาคต “ไม่มีเทคโนโลยีใดที่แก้ปัญหาทั้งหมดได้ แต่ถ้าเราร่วมมือกัน ทุกคนสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกได้ทุกวัน” คุณฟรีเบิร์กกล่าว

Candela เรือไฟฟ้าไฮโดรฟอยล์สวีเดนตั้งฐานในกรุงเทพฯ ปฏิวัติขนส่งทางน้ำไร้มลพิษ

คุณบียอร์น แอนตอนส์สัน (Mr. Björn Antonsson) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของบริษัท Candela กล่าวถึงทิศทางการขยายธุรกิจของบริษัทในงาน Sustainability Expo 2025 โดยระบุว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังกลายเป็นตลาดยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับเทคโนโลยีเรือไฟฟ้าของสวีเดน โดยมีประเทศไทยเป็นฐานหลักในการดำเนินงานระดับภูมิภาค พร้อมตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ เพื่อเชื่อมโยงการผลิต การวิจัย และการให้บริการไปยังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน

Candela ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อนในกรุงสตอกโฮล์ม เป็นบริษัทเทคโนโลยีทางทะเลที่มุ่งเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งทางน้ำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยเทคโนโลยี “ไฮโดรฟอยล์ไฟฟ้า (Electric Hydrofoil)” ที่สามารถยกลำเรือให้ลอยเหนือผิวน้ำราว 80-100 เซนติเมตร ลดแรงต้านจากน้ำได้สูงสุดถึง 90% ทำให้ประหยัดพลังงานกว่าระบบขับเคลื่อนดีเซลหรือเบนซินแบบเดิมหลายเท่า อีกทั้งยังลดเสียงและแรงกระแทกจากคลื่นได้เกือบทั้งหมด

เรือโดยสารรุ่นเรือธงของ Candela ที่ให้บริการในระบบขนส่งมวลชนของกรุงสตอกโฮล์มสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่อผู้โดยสารจาก 3.3 กิโลกรัม เหลือเพียง 0.3 กิโลกรัมต่อเที่ยว และหากใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้เป็นศูนย์ ปัจจุบันเรือรุ่นนี้ได้วิ่งให้บริการแล้วกว่า 9,000 เที่ยว หรือคิดเป็นระยะทางกว่า 17,000 กิโลเมตร เทียบเท่าการเดินทางจากสตอกโฮล์มถึงสิงคโปร์ โดยมีอัตราการให้บริการ (uptime) สูงถึง 97% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในอุตสาหกรรมเรือโดยสาร

Candela มีจุดเริ่มต้นจากแนวคิดของ “กุสตาฟ แฮสเซลสกอก” วิศวกรชาวสวีเดน ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ตั้งคำถามง่ายๆ ระหว่างพาลูกชายไปซื้อไอศกรีมในหมู่เกาะว่า “ทำไมค่าน้ำมันถึงแพงกว่าไอศกรีมสิบเท่า?” ก่อนจะนำมาสู่การสร้างต้นแบบเรือไฟฟ้าขนาดเล็ก และพัฒนาเป็นเรือพาณิชย์ขนาดกลางที่ใช้ในระบบขนส่งสาธารณะในเวลาต่อมา

หัวใจของเทคโนโลยี Candela อยู่ที่ระบบขับเคลื่อนและควบคุมที่พัฒนาเองทั้งหมดในบริษัท ตั้งแต่โครงสร้างลำเรือแบบ Catamaran, ใบพัดไฮโดรฟอยล์ที่ขยับปรับมุมอัตโนมัติ ไปจนถึงระบบควบคุมสมดุลด้วยซอฟต์แวร์แบบเดียวกับ “ระบบควบคุมการบิน (Flight Control System)” ที่ช่วยให้เรือรักษาระดับได้แม้ผู้โดยสารเคลื่อนไหวภายในลำหรือคลื่นแรง

เรือโดยสารไฟฟ้ารุ่นใหม่ของ Candela ใช้มอเตอร์กำลัง 100 กิโลวัตต์จำนวน 2 ตัว สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 30 คน ด้วยความเร็วเดินเรือเฉลี่ย 25-27 น็อต โดยใช้พลังงานต่ำและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาน้อยกว่าระบบดีเซลถึงหลายเท่า อีกทั้งยังสามารถใช้แท่นชาร์จเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป ทำให้ไม่ต้องลงทุนระบบโครงสร้างไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีต้นทุนสูง

ในเชิงอุตสาหกรรม Candela นำแนวคิด “มาตรฐานการผลิตแบบยานยนต์ (Automotive Standardization)” มาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมเรือขนาดเล็ก เพื่อยกระดับคุณภาพการผลิต ความปลอดภัย และการควบคุมต้นทุน โดยออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถปรับใช้ได้หลากหลาย ทั้งเรือโดยสารสาธารณะ เรือรับส่งนักท่องเที่ยวระดับพรีเมียม เรือพาณิชย์ขนส่งสินค้า รวมถึงเรือสำหรับบริการลูกเรือในแท่นขุดเจาะน้ำมันหรือฟาร์มกังหันลมกลางทะเล

ในประเทศไทย Candela ได้นำเรือไฟฟ้ามาทดสอบล่องในแม่น้ำเจ้าพระยา หน้าวัดอรุณราชวราราม ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยถือเป็นการเปิดตัวเชิงสัญลักษณ์ของบริษัทในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังมีศักยภาพสูงด้านการพัฒนา “ระบบขนส่งทางน้ำไร้มลพิษ” เพื่อรองรับเมืองใหญ่ริมแม่น้ำและพื้นที่ชายฝั่งที่ต้องการลดการใช้พลังงานฟอสซิลในอนาคต

Electrolux เผยเส้นทางศตวรรษแห่งความยั่งยืน จากนวัตกรรมสวีเดนสู่บ้านคนไทย

คุณอเล็กซี่ ริชาร์ด (Mr. Alexi Richard) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีเลคโทรลักซ์ (ประเทศไทย) กล่าวบนเวที Swedish-Thai Sustainability Talk Stage ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ว่า “ความยั่งยืนไม่ใช่เทรนด์สำหรับอีเลคโทรลักซ์ แต่เป็นดีเอ็นเอของเรา” พร้อมเล่าถึงเส้นทางกว่า 100 ปีของแบรนด์สวีเดนที่นำแนวคิดสิ่งแวดล้อมและนวัตกรรมเพื่อมนุษย์มาเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจทั่วโลก เขาย้ำว่า “สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่สิ่งที่เราผลิต แต่คือเหตุผลที่เราทำ เพื่อสร้างชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับทุกครอบครัว”

ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา อีเลคโทรลักซ์เป็นผู้นำในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน ตั้งแต่ตู้เย็นและตู้แช่แข็งปลอดสาร CFC รุ่นแรกของโลก ไปจนถึงเครื่องดูดฝุ่น “Green Range” ที่เปิดตัวในปี 2553 ใช้พลังงานน้อยลงถึง 50% และผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลมากถึง 70% โดยยังคงมาตรฐานด้านดีไซน์และประสิทธิภาพ บริษัทเป็นหนึ่งในองค์กรแรก ๆ ของโลกที่ตั้ง “เป้าหมายด้านภูมิอากาศตามหลักวิทยาศาสตร์” (Science-Based Targets) และบรรลุเป้าหมายเร็วกว่ากำหนดถึงสามปี ก่อนยกระดับเป้าหมายใหม่ให้เข้มข้นขึ้นอีกในปี 2565 เพื่อมุ่งลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต (Scope 1-2) ลง 85% และในกระบวนการใช้งานผลิตภัณฑ์ (Scope 3) ลง 42% ภายในปี 2573 พร้อมเป้าหมายเป็นองค์กรคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยล่าสุดสามารถลดลงแล้ว 36% และ 31% เมื่อเทียบกับปี 2564

คุณริชาร์ดกล่าวว่า หัวใจของความยั่งยืนในแบบอีเลคโทรลักซ์คือ “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” (Human-Centric Innovation) ที่ออกแบบเทคโนโลยีเพื่อคุณค่าที่แท้จริงของผู้บริโภค ไม่ใช่เพียงเพื่อความล้ำสมัย โดยทุกนวัตกรรมของอีเลคโทรลักซ์เชื่อมโยงกับประสบการณ์ชีวิตสามด้านหลัก ได้แก่ Taste หมายถึงการช่วยลดขยะอาหารและส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืน, Care หมายถึงการยืดอายุเสื้อผ้าและลดการใช้พลังงานน้ำ เช่น เครื่องซักผ้า UltimateCare รุ่นใหม่ที่ซักผ้าได้ถึง 13 กิโลกรัมภายใน 45 นาที และ Well-being หมายถึงการสร้างบ้านที่สะอาดและดีต่อสุขภาพผ่านเทคโนโลยีฟอกอากาศและเครื่องใช้ในบ้านรุ่นประหยัดพลังงาน 

“ความยั่งยืนต้องไม่เป็นภาระ แต่เป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้บริโภคและโลก” คุณริชาร์ดกล่าว พร้อมระบุว่าผู้บริโภคสองในสามทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเมื่อเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า และยอมจ่ายสูงขึ้นถึง 50% หากสินค้านั้นตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมจริง

ประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางสำคัญของอีเลคโทรลักซ์ในภูมิภาคเอเชีย บริษัทดำเนินธุรกิจในไทยมากว่า 48 ปี มีสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคอยู่ที่กรุงเทพฯ และโรงงานผลิตในจังหวัดระยองซึ่งเป็นฐานการผลิตสำคัญทั้งเพื่อการจำหน่ายในประเทศและการส่งออก คุณริชาร์ดย้ำว่า “ไทยคือหัวใจของกลยุทธ์ในเอเชียของเรา ทั้งในด้านนวัตกรรม การผลิต และการพัฒนาอย่างยั่งยืน” พร้อมกล่าวถึงโครงการ “Zero Waste Electrolux Program” ที่มุ่งลดของเสียจากโรงงานทั่วโลกและส่งเสริมการรีไซเคิลวัสดุ โดยคาดว่าทุกโรงงานของบริษัทจะผ่านการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมภายในปีนี้

นอกจากนี้ คุณริชาร์ดยังยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคว่าเป็นอีกกุญแจสำคัญของความยั่งยืน เช่น การออกแบบเครื่องใช้ให้ใช้งานง่าย เพื่อให้ผู้ใช้เลือกโหมดประหยัดพลังงานโดยไม่ต้องพยายามมากนัก และการรณรงค์ผ่านโครงการ “Electrolux Food Mission” ที่ร่วมกับโรงเรียนในไทยเพื่อให้เด็ก ๆ เรียนรู้การปรุงอาหารและลดขยะอาหารอย่างมีจิตสำนึก นอกจากนี้ยังมีทีมอาสาสมัครของบริษัทที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคเหนือของไทย โดยนำเครื่องใช้ไฟฟ้าไปฟื้นฟูบ้านเรือนหลังภัยพิบัติ

“ความยั่งยืนไม่ใช่สิ่งสวยหรูที่เลือกทำได้ แต่อุตสาหกรรมของเราจะอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อเราทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของทุกสิ่งที่เราทำ” คุณริชาร์ดกล่าว “และเราจะทำได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วน คือ ผู้ผลิต ผู้กำหนดนโยบาย และผู้บริโภค ร่วมมือกันสร้างโลกที่ดีกว่า ไม่ใช่แค่วันนี้ แต่เพื่อคนรุ่นต่อไป”

IKEA ยกระดับความยั่งยืนจากโรงงานถึงบ้านลูกค้า

คุณมารินา โทรปนิโควา (Ms. Marina Tropnikova) ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ อิเกีย ประเทศไทย กล่าวในเวทีเสวนาความยั่งยืนว่า อิเกียในฐานะผู้นำด้านการตกแต่งบ้านระดับโลกที่มีเกือบ 500 สาขาทั่วโลก กำลังเร่งขับเคลื่อนแนวทางความยั่งยืนในทุกมิติของธุรกิจ ตั้งแต่กระบวนการผลิต ซัพพลายเชน ไปจนถึงการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในไทย

เธอกล่าวว่า จุดมุ่งหมายของอิเกียไม่ใช่แค่การขายเฟอร์นิเจอร์ แต่คือ “การสร้างชีวิตประจำวันที่ดีกว่าสำหรับผู้คนจำนวนมาก” โดยอิเกียในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเม็กซิโก ภายใต้การบริหารของอิคาโน่ รีเทล มีพนักงานกว่า 5,000 คน ในจำนวนนี้ราว 1,000 คนอยู่ในประเทศไทย และมีผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์กว่า 120 ล้านครั้งต่อปี

ด้านสิ่งแวดล้อม คุณโทรปนิโควาอธิบายว่า อิเกียให้ความสำคัญกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นทาง “ทุกชิ้นในคอลเลกชันใหม่ถูกออกแบบให้ใช้ทรัพยากรน้อยลงและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม” อิเกียประเทศไทยได้พัฒนาบริการขนย้ายและรีไซเคิลเฟอร์นิเจอร์ร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่น รวมถึงบริการทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ผ้า และในทุกก๊อกน้ำของอิเกียจะมีตัวกรองช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 40%

ในส่วนของวัสดุ คุณโทรปนิโควาเผยว่า ปัจจุบันกว่า 40% ของผลิตภัณฑ์อิเกียผลิตจากวัสดุรีไซเคิล เช่น ขวดพลาสติก PET เส้นใยโพลีเอสเตอร์ และเศษเซรามิกจากโรงงานเดิม ส่วนบรรจุภัณฑ์ได้รับการออกแบบใหม่ให้ใช้กระดาษลูกฟูกรีไซเคิล ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ซึ่งอิเกียเลิกใช้ทั่วโลกตั้งแต่ปี 2561และในไทยได้เลิกใช้ขวดน้ำพลาสติกตั้งแต่ปี 2566 เปลี่ยนเป็นขวดอะลูมิเนียมแทน

อิเกียยังลงทุนพลังงานสะอาดในสาขาบางใหญ่ ซึ่งมีหลังคาขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาอาคารของอิเกีย โดยติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่สามารถผลิตพลังงานสะอาดได้ถึง 30% ของการใช้พลังงานทั้งหมด และมีแผนขยายการลงทุนในอนาคต รวมถึงการเริ่มใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้าสำหรับบริการจัดส่งถึงบ้าน โดยเริ่มนำร่องแล้ว 21 คันในปีนี้

“เราเชื่อในพลังของก้าวเล็ก ๆ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่ได้” คุณโทรปนิโควากล่าว พร้อมย้ำว่า ความยั่งยืนของอิเกียไม่ได้หยุดอยู่ที่สิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแลพนักงานและชุมชน โดยอิเกียประเทศไทยได้รับการยอมรับในฐานะนายจ้างที่มอบสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อย่างเป็นธรรม พร้อมเดินหน้าสร้างความร่วมมือที่มีความหมายกับชุมชนรอบข้างอย่างต่อเนื่อง

เต็ดตรา แพ้ค ปฏิวัติระบบอาหารครบวงจร สร้างอนาคตยั่งยืน “ปกป้องอาหาร ผู้คน โลก”

ด้านคุณรัตนศิริ ติลกสกุลชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวบนเวที Swedish-Thai Sustainability Talk Stage ว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวทางปฏิบัติเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน โดยย้ำว่าความยั่งยืนไม่ใช่เพียงเรื่องของบรรจุภัณฑ์เท่านั้น แต่หมายถึงการ “คิดใหม่ทั้งระบบอาหาร” ครอบคลุมตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การแปรรูป การบริโภค ไปจนถึงการรีไซเคิล เพื่อปิดวงจรแห่งคุณค่าในทุกขั้นตอนของเส้นทางอาหาร

คุณรัตนศิริกล่าวว่า เต็ดตรา แพ้คเป็นผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันการแปรรูปและบรรจุอาหารที่ทำงานร่วมกับลูกค้าและพันธมิตรในกว่า 160 ประเทศทั่วโลก เพื่อส่งมอบอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการให้กับผู้บริโภคนับร้อยล้านคนในแต่ละวัน “เรามุ่งมั่นให้ทุกคนบนโลกมีสิทธิ์เข้าถึงอาหารที่ปลอดภัย ไม่ใช่เพียงสิทธิพิเศษของบางกลุ่ม เพราะเรามีพันธกิจชัดเจนที่จะ Protect What’s Good ปกป้องอาหาร ผู้คน และโลกใบนี้” เธอกล่าว

คุณรัตนศิริอธิบายว่า กลยุทธ์ความยั่งยืนของเต็ดตรา แพ้คครอบคลุม 5 ด้านที่เชื่อมโยงกัน ได้แก่ ระบบอาหาร ความรับผิดชอบต่อสังคม การอนุรักษ์ธรรมชาติ การลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยในปี 2567บริษัทได้เผยแพร่รายงานความยั่งยืนที่แสดงให้เห็นความคืบหน้าชัดเจนในแต่ละด้าน เช่น โครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนที่ช่วยเหลือเด็กกว่า 66 ล้านคนใน 49 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย โครงการ “Dairy Hub” สนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรายย่อยให้มีสุขภาพและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และการลงทุนกว่า 100 ล้านยูโรเพื่อพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนมากขึ้น ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่การดำเนินงานของบริษัทเอง ไปจนถึงกระบวนการของลูกค้าและพันธมิตร

ในด้านสิ่งแวดล้อม เต็ดตรา แพ้คมีความคืบหน้าในการฟื้นฟูพื้นที่ป่าและระบบนิเวศกว่า 1,500 เฮกตาร์ เพื่อส่งเสริมความมั่นคงด้านป่าไม้และแหล่งน้ำ พร้อมทั้งเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิต และในด้าน “สังคม” บริษัทให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและมีความเท่าเทียม โดยผลสำรวจพนักงานปีล่าสุดพบว่ากว่า 84% ของพนักงานรู้สึกมีความสุขและสามารถเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ในที่ทำงาน

สำหรับ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน คุณรัตนศิริกล่าวว่า “เศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็น” โดยเต็ดตรา แพ้คเน้นการเพิ่มสัดส่วนเยื่อกระดาษในบรรจุภัณฑ์ ลดการใช้พลาสติกและอะลูมิเนียม และเลือกใช้วัสดุที่ได้รับการรับรองจาก FSC ทั้งหมด เพื่อให้บรรจุภัณฑ์สามารถรีไซเคิลได้มากขึ้น เธอยกตัวอย่างว่า เต็ดตรา แพ้คเป็นบริษัทแรกในอุตสาหกรรมที่เปิดตัวบรรจุภัณฑ์พืชฐาน (Plant-based Packaging) เมื่อปี 2558 โดยใช้กระดาษและพลาสติกชีวภาพจากอ้อย

ล่าสุดในปี 2457 บริษัทได้ร่วมกับแบรนด์ Lactogal ในโปรตุเกส เปิดตัว Tetra Brik Aseptic 200 Slim Leaf ซึ่งลดการใช้แผ่นฟอยล์อะลูมิเนียมได้ถึง 80% และเพิ่มวัสดุหมุนเวียนเป็น 90% ทำให้ลดรอยเท้าคาร์บอนรวมลงได้ 23% พร้อมมีแผนขยายการใช้บรรจุภัณฑ์ชนิดนี้ทั่วโลก ในยุโรป เต็ดตรา แพ้คยังเพิ่มสัดส่วนพลาสติกรีไซเคิลในบรรจุภัณฑ์ได้ถึง 5% และร่วมกับพันธมิตรเปิดตัวฝาขวดรีไซเคิลชุดแรกของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมียอดขายกว่า 115 ล้านชิ้นในปีเดียว

ทั่วโลก บริษัทสามารถเก็บและรีไซเคิลกล่องเครื่องดื่มใช้แล้วได้กว่า 1.3 ล้านตัน เพิ่มอัตรารีไซเคิลเป็น 28% โดยในยุโรปมีการนำวัสดุที่รีไซเคิลแล้วไปผลิตเป็นเม็ดพลาสติกและของตกแต่ง ส่วนในตะวันออกกลาง บราซิล และตุรกี เต็ดตรา แพ้คได้ร่วมลงทุนสร้างโรงงานรีไซเคิล ขณะที่ในประเทศไทย บริษัทได้ร่วมมือกับ Eco Friendly Thai และสมาคมร้านรับซื้อของเก่า เพื่อขยายเครือข่ายการเก็บรวบรวมและเพิ่มมูลค่าของกล่องเครื่องดื่มใช้แล้วให้เป็นทรัพยากรหมุนเวียนที่มีคุณค่า

เธอยังกล่าวถึงการดำเนินงานในสายธุรกิจเครื่องจักรและบริการ ที่มุ่งใช้วัสดุปล่อยคาร์บอนต่ำ ยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร และช่วยให้ลูกค้าลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต ตัวอย่างเช่น โครงการนำร่องใช้เหล็กรีไซเคิลในเครื่องโฮโมจิไนเซอร์ ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลงได้มากถึง 1,300 กิโลกรัมต่อเครื่อง พร้อมช่วยลูกค้าในภาคอาหารและเครื่องดื่มลดการปล่อยคาร์บอนใน Scope 3 ได้จริง

คุณรัตนศิริกล่าวทิ้งท้ายว่า ความสำเร็จทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจาก “ความร่วมมือ” เพราะไม่มีองค์กรใดสามารถสร้างระบบอาหารที่ปลอดภัยและยั่งยืนได้เพียงลำพัง เต็ดตรา แพ้คจึงร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม ผู้กำหนดนโยบาย และสถาบันการศึกษาในทุกภูมิภาค เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง “เราต้องร่วมกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การบริโภค ไปจนถึงการจัดเก็บและรีไซเคิล เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจริงและยั่งยืนต่อไป” คุณรัตนศิริกล่าว



แชร์
เปิดDNAยั่งยืนแบบ‘สวีเดน’ รักษ์โลกเป็นชีวิต ฝังเทคฯสีเขียวทุกครัวเรือน