ในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ใกล้ๆหรือเหนือกว่าบริเวณ 30,000-32,000 บาทต่อบาททองคำได้ เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าตามค่าเงินในภูมิภาค แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ก็ยังคงประเมินว่าค่าเงินบาทจะยังคงอ่อนค่าต่อไปจากแนวโน้มเฟดขึ้นดอกเบี้ย คาดว่าค่าเงินบาทจะมีจังหวะอ่อนค่าแตะประมาณ 36 บาท/ดอลลาร์ได้ เป็นโอกาสให้นักลงทุนซื้อทองคำในรูปของดอลลาร์สหรัฐและขายในรูปของเงินบาทเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนได้
YLG เผยภาพรวมทองคำในครึ่งปีแรกเหวี่ยงตัวผันผวน เป็นโอกาสเก็งกำไรตามรอบส่งผลให้นักลงทุนเปิดพอร์ตเทรดทองคำออนไลน์กับวายแอลจีเพิ่มขึ้นถึง 60% ส่วนครึ่งปีหลังเชื่อว่ายังคงมีนักลงทุนเปิดพอร์ตลทุนทองคำเพิ่มขึ้น คุณพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรก ราคาทองคำเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัวผันผวน โดยมีบางจังหวะที่ราคาขึ้นไปในจุดสูงสุดบริเวณ 2,070 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จนเกือบทำ All time high ส่งผลให้ปีนี้จึงเป็นอีกปีที่นักลงทุนสามารถเก็งกำไรจากจังหวะการปรับตัวขึ้นลงของราคาทองคำได้เป็นอย่างดี ทำให้มีนักลงทุนเข้ามาเปิดพอร์ตซื้อขายทองคำแท่งออนไลน์กับ วายแอลจี มากขึ้น 60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ภาพรวมการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงครึ่งหลังปี 2565 วายแอลจีประเมินว่าจะมีลักษณะแกว่งตัวคล้ายกับครึ่งปีแรก โดยวายแอลจียังคงมองว่าหากราคาทองคำโลกยืนเหนือบริเวณ 1,786 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ยังมีโอกาสกลับขึ้นไปทดสอบบริเวณ 1,916 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็น High ของไตรมาส 2 ปีนี้ แม้ครึ่งปีหลังจะมีปัจจัยลบจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามและเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ นั่นคือ ความไม่สงบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงยืดเยื้อและคาดเดาสถานการณ์ได้ยาก รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกที่ หลังล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า GDP ของสหรัฐจะเติบโต 2.9% ในปี 2565 ลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อนหน้าที่ประเมินไว้ 3.7% จากปัจจัยทั้งหมดจึงทำให้ทองคำยังคงมีโอกาสแกว่งตัวสลับขึ้นลงได้ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดีในส่วนของราคาทองคำในประเทศนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ใกล้ๆหรือเหนือกว่าบริเวณ 30,000-32,000 บาทต่อบาททองคำได้ เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าตามค่าเงินในภูมิภาค แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ก็ยังคงประเมินว่าค่าเงินบาทจะยังคงอ่อนค่าต่อไปจากแนวโน้มเฟดขึ้นดอกเบี้ยซึ่งหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่า โดยคาดว่าค่าเงินบาทจะมีจังหวะอ่อนค่าแตะประมาณ 36 บาท/ดอลลาร์ได้ ซึ่งจุดนี้อาจเป็นโอกาสให้นักลงทุนซื้อทองคำในรูปของดอลลาร์สหรัฐและขายในรูปของเงินบาทเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนได้
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนทองคำวายแอลจี แนะนำจับจังหวะการเก็งกำไรตามรอบ โดย “ระยะสั้น” ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นหาแนวต้าน 1,837-1,848 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากผ่านไปได้จะไปที่แนวต้านถัดไปที่ 1,865 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนแนวรับมองที่ 1,812 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับถัดไปที่ 1,800-1,786 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหรับการเคลื่อนไหวของทองคำแท่งในประเทศมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบ 29,650 – 31,000 บาทต่อบาททองคำ
สำหรับช่องทางของนักลงทุนเปิดบัญชีเทรดทองออนไลน์กับวายแอลจี ผ่าน www.ylgopenacc.com/