
สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯร้อนแรงสุดๆ มีเหตุการณ์สำคัญและการทำลายสถิติเกิดขึ้นมากมาย เฉพาะในวันที่ 28 ตุลาคมวันเดียวก็นับไม่หวาดไม่ไหว เรียกได้ว่า “หนึ่งวันพันเหตุการณ์” ของจริง
หุ้น Apple ปรับตัวขึ้น ส่งให้ Apple เป็นบริษัทที่สาม (ต่อจาก Nvidia และ Microsoft) ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่แตะ 4 ล้านล้านดอลลาร์อยู่เพียงชั่วครู่เดียวก็ลดลงมาอยู่ที่ 3.99 ล้านล้านดอลลาร์
ในขณะเดียวกัน Microsoft บรรลุข้อตกลงรับส่วนแบ่งหุ้น 27% ของ OpenAI เป็นการตอบแทนเงินลงทุนซึ่ง Microsoft เป็นนักลงทุนรายใหญ่สุดที่ร่วมลงทุนในการพัฒนา ChatGPT มาหลายปี ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Microsoft พุ่งขึ้น และ Microsoft แซง Apple กลับขึ้นไปเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก
แต่ไฮไลต์ที่สุดของที่สุดอยู่ที่ Nvidia บริษัทผู้ออกแบบชิป AI ซึ่งเป็นบริษัทหมายเลข 1 ของโลกอยู่ในเวลานี้ กำลังสร้างสถิติใหม่เป็นบริษัทแรกของโลกที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (market cap) 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
Nvidia ใช้เวลาเพียง 2 ปีกว่าๆ เดินทางจากมูลค่าตามราคาตลาด 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ณ เดือนมิถุนายน 2023) สู่มูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถ้าไม่มีอะไรผิดคาดน่าจะทำได้อย่างเป็นทางการภายในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ หลังจากขยับเข้าใกล้เต็มที โดยมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 4.89 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ เวลาปิดตลาดวันที่ 28 ตุลาคม และราคาหุ้นยังปรับตัวเพิ่มขึ้นในการซื้อขายหลังปิดตลาด ส่งให้มูลค่าแตะ 5 ล้านล้านดอลลาร์แล้วอย่างไม่เป็นทางการ
Nvidia จัดงาน NVIDIA GTC 2025 ในวันที่ 28 ตุลาคม ซึ่งเจนเซน หวง (Jensen Huang) ซีอีโอ Nvidia เปิดตัวโปรเจ็กต์และประกาศดีลสำคัญๆ หลายรายการ ยกตัวอย่างเช่น
1. เปิดตัวสถาปัตยกรรมไร้สาย ‘AI-Native’ ตัวแรกของสหรัฐอเมริกาสำหรับ 6G (AI-RAN Stack) โดยร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญ เช่น Booz Allen, Cisco, MITRE, ODC และ T-Mobile เพื่อนำ AI ไปสู่เครือข่ายไร้สายตั้งแต่ต้น
2. ประกาศลงทุน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯใน Nokia โดยซื้อหุ้นในราคา 6.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น มีเป้าหมายเพื่อสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อบุกเบิกแพลตฟอร์ม AI-Native 6G (AI-RAN) โดยจะรวมแพลตฟอร์ม NVIDIA Aerial RAN Computer Pro (ARC-Pro) เข้ากับผลิตภัณฑ์ RAN (Radio Access Network) ของ Nokia เพื่อนำ AI เข้าไปสู่โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมโดยตรง
3. ประกาศความร่วมมือกับ Oracle ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดให้แก่กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ในชื่อ ‘Solstice’
4. ประกาศความร่วมมือกับ Uber เพื่อขยายเครือข่ายรถแท็กซี่ไร้คนขับ (L4) โดยตั้งเป้า 100,000 คัน เริ่มต้นปี 2027
5. เปิดตัว NVIDIA NVQLink™ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบเปิดสำหรับเชื่อมต่อ GPU (การประมวลผลแบบดั้งเดิม) กับโปรเซสเซอร์ควอนตัม (Quantum Processors) เพื่อสร้างระบบประมวลผลควอนตัมแบบลูกผสม (Hybrid Quantum-Classical Supercomputers)
6. ประกาศแผนงานการสร้างโรงงาน AI (AI Factories) ทั่วสหรัฐฯ รวมถึงพิมพ์เขียว Omniverse DSX สำหรับการสร้างและดำเนินการโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่
7. ประกาศความร่วมมือกับผู้นำด้านการผลิตและหุ่นยนต์ (รวมถึง Foxconn) เพื่อใช้เทคโนโลยี NVIDIA Omniverse และ Physical AI ในการออกแบบและจำลองโรงงานหุ่นยนต์ (Robotic Factories) และหุ่นยนต์ทำงานร่วมกันอัตโนมัติ
ซึ่งการประกาศดีลเหล่านี้ส่งให้หุ้นของ Nvidia พุ่งขึ้นปิดบวกเกือบ 5% และยังปรับตัวขึ้นต่อในการซื้อขายหลังปิดตลาด
ในบรรดาดีลต่างๆ ที่ Nvidia ประกาศออกมา ดีลที่สร้างความฮือฮาที่สุด คือ การลงทุน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในบริษัท Nokia โดย Nokia จะออกหุ้นให้ Nvidia จำนวน 166 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.9% ของหุ้นทั้งหมด ทันทีที่ Nvidia ประกาศดีลนี้ หุ้นของ Nokia ก็พุ่งขึ้นมากกว่า 20%
ภายใต้ข้อตกลงนี้ Nokia จะใช้ชิปของ Nvidia เพื่อเร่งการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับเครือข่าย 5G และ 6G ของ Nokia ส่วน Nvidia จะพิจารณาการใช้เทคโนโลยีศูนย์ข้อมูลของ Nokia ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ของตนเอง และทั้งสองจะร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายสำหรับ AI
Nokia เคยเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือที่พ่ายแพ้ต่อสมาร์ทโฟน และคำถามที่น่าสนใจ คือ ตอนนี้ Nokia มีอะไรเจ๋งที่ทำให้ Nvidia ที่เป็นเบอร์ 1 ของโลกเลือกลงทุนในบริษัทนี้ ?
คำตอบ คือ Nokia ในปัจจุบันต่างจาก Nokia ที่เป็นที่รู้จักในอดีต
หลังจากพ่ายแพ้กับธุรกิจโทรศัพท์มือถือ Nokia หลับใหลไปหลายปี ก่อนจะกลับมากับการโฟกัสธุรกิจบริการเครือข่ายและเป็นซัพพลายเออร์จัดหาอุปกรณ์สื่อสารครบวงจรให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมเป็นหลัก
ต่อมา Nokia ได้รุกเข้าสู่ธุรกิจศูนย์ข้อมูล ซึ่งเป็นธุรกิจที่กำลังเติบโตเนื่องจากการเติบโตของ AI ได้ผลักดันดีมานด์ด้านการประมวลผล และ Nokia ได้ซื้อกิจการบริษัท Infinera Corp. เป็นมูลค่า 2,300 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อต้นปีนี้ เพื่อขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์เครือข่ายสำหรับศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งการเข้าสู่ธุรกิจศูนย์ข้อมูลเป็นมูฟเมนต์สำคัญที่ช่วยให้ Nokia ทำกำไรได้สูงกว่าประมาณการของนักลงทุนในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
สรุปว่า ในปัจจุบัน Nokia เป็น Nokia ยุคใหม่ที่มีจุดแข็งคือ เป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย, เป็นหนึ่งในผู้นำเทคโนโลยี 5G ซึ่งเทคโนโลยีและสิทธิบัตร 5G ของ Nokia เป็นแหล่งรายได้ที่ให้อัตรากำไรสูง และปัจจุบันกำลังเป็นผู้นำการพัฒนาเทคโนโลยี 6G ด้วย