ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 ออกมาหลายแห่งแล้ว ซึ่งจากที่ SPOTLIGHT รวบรวมข้อมูลและคำนวณพบว่า 10 ธนาคารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีกำไรรวมกันเกือบ 72,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.43% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรในงวด 9 เดือนของปี 2568 รวมกัน 206,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.96% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
จากข้อมูลงบการเงินของธนาคารที่ประกาศออกมาแล้วนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปสถานการณ์ว่า กลุ่มแบงก์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCBX) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ธนาคารทิสโก้ (TISCO) ธนาคาารเกียรตินาคินภัทร (KKP) และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ยังสามารถประคองผลการดำเนินงานไว้ได้ แม้รายได้จากธุรกิจหลักยังคงอ่อนแอ
สำหรับ 10 ธนาคารที่ SPOTLIGHT รวบรวมข้อมูล มีผลกำไรในไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน ปี 2568 ดังนี้
ธนาคารกรุงไทย (KTB)
กำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 14,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.07% จากไตรมาส 3 ปี 2567 (YoY) ซึ่งกำไรอยู่ที่ 11,107 ล้านบาท
กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรก ปี 2568 อยู่ที่ 37,456 เพิ่มขึ้น 6.52% จากงวด 9 เดือนแรก ปี 2567 ซึ่งกำไรอยู่ที่ 33,381 ล้านบาท
ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
กำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 13,789 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.52% จากไตรมาส 3 ปี 2567 (YoY) ซึ่งกำไรอยู่ที่ 12,476 ล้านบาท
กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรก ปี 2568 อยู่ที่ 38,247 เพิ่มขึ้น 9.88% จากงวด 9 เดือนแรก ปี 2567 ซึ่งกำไรอยู่ที่ 34,807 ล้านบาท
ธนาคารกสิกรไทย (KBANK)
กำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 13,007 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.79% จากไตรมาส 3 ปี 2567 (YoY) ซึ่งกำไรอยู่ที่ 11,965 ล้านบาท
กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรก ปี 2568 อยู่ที่ 39,287 เพิ่มขึ้น 1.16% จากงวด 9 เดือนแรก ปี 2567 ซึ่งกำไรอยู่ที่ 38,104 ล้านบาท
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCBX)
กำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 12,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.19% จากไตรมาส 3 ปี 2567 (YoY) ซึ่งกำไรอยู่ที่ 10,941 ล้านบาท
กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรก ปี 2568 อยู่ที่ 37,344 เพิ่มขึ้น 15.85% จากงวด 9 เดือนแรก ปี 2567 ซึ่งกำไรอยู่ที่ 32,236 ล้านบาท
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)
กำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 8,783 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.48% จากไตรมาส 3 ปี 2567 (YoY) ซึ่งกำไรอยู่ที่ 7,672 ล้านบาท
กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรก ปี 2568 อยู่ที่ 24,612 เพิ่มขึ้น 5.07% จากงวด 9 เดือนแรก ปี 2567 ซึ่งกำไรอยู่ที่ 23,424 ล้านบาท
ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)
กำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 5,299 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.53% จากไตรมาส 3 ปี 2567 (YoY) ซึ่งกำไรอยู่ที่ 5,230 ล้านบาท
กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรก ปี 2568 อยู่ที่ 15,399 ล้านบาท ลดลง 4.00% จากงวด 9 เดือนแรก ปี 2567 ซึ่งกำไรอยู่ที่ 15,919 ล้านบาท
ธนาคารทิสโก้ (TISCO)
กำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 1,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.99% จากไตรมาส 3 ปี 2567 (YoY) ซึ่งกำไรอยู่ที่ 1,713 ล้านบาท
กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรก ปี 2568 อยู่ที่ 5,017 ล้านบาท ลดลง 3.50% จากงวด 9 เดือนแรก ปี 2567 ซึ่งกำไรอยู่ที่ 5,199 ล้านบาท
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP)
กำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 1,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.97% จากไตรมาส 3 ปี 2567 (YoY) ซึ่งกำไรอยู่ที่ 1,305 ล้านบาท
กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรก ปี 2568 อยู่ที่ 4,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.70% จากงวด 9 เดือนแรก ปี 2567 ซึ่งกำไรอยู่ที่ 3,579 ล้านบาท
ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT)
กำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 1,013 ล้านบาท ลดลง 12.75% จากไตรมาส 3 ปี 2567 (YoY) ซึ่งกำไรอยู่ที่ 1,161 ล้านบาท
กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรก ปี 2568 อยู่ที่ 2,842 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.9% จากงวด 9 เดือนแรก ปี 2567 ซึ่งกำไรอยู่ที่ 2,432 ล้านบาท
ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT)
กำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 818 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 366.86% จากไตรมาส 3 ปี 2567 (YoY) ซึ่งกำไรอยู่ที่ 596 ล้านบาท
กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรก ปี 2568 อยู่ที่ 1,830 ล้านบาท ลดลง 3.17% จากงวด 9 เดือนแรก ปี 2567 ซึ่งกำไรอยู่ที่ 1,890 ล้านบาท
รวม 10 ธนาคาร
กำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 72,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.43% จากไตรมาส 3 ปี 2567 (YoY) ซึ่งกำไรอยู่ที่ 64,166 ล้านบาท
กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรก ปี 2568 อยู่ที่ 206,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.96% จากงวด 9 เดือนแรก ปี 2567 ซึ่งกำไรอยู่ที่ 190,971 ล้านบาท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกบทวิเคราะห์ในวันที่ 22 ตุลาคม 2568 ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมที่ขยายตัวแบบไม่ทั่วถึงยังคงเป็นสภาพแวดล้อมที่ท้าทายการประคองรายได้ของของกลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งปรับตัวลงมาแล้ว 5 ไตรมาสติดต่อกัน (นับตั้งแต่ไตรมาส 3/2567-ไตรมาส 3/2568)
อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า กำไรจากเงินลงทุนและกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) ปรับเพิ่มสูงขึ้น และมีส่วนช่วยหนุนผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งตลอดหลายไตรมาสที่ผ่านมา โดยล่าสุดในไตรมาส 3/2568 รายการกำไรจากเงินลงทุน และ FVTPL ขยับขึ้นไปสูงกว่า 30,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 22.4% ของกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ
นอกจากนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมบางรายการ เช่น ค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ธุรกิจการจัดการกองทุน และค่าธรรมเนียมการให้บริการด้าน Wealth Management ที่ได้รับอานิสงส์จากสภาวะตลาดเงินตลาดทุนที่เอื้ออำนวย ก็มีส่วนช่วยเพิ่มแรงหนุนต่อผลการดำเนินงานด้วยเช่นกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ไปที่ข้อมูล ‘ยอดคงค้างสินเชื่อ’ จากงบการเงินของธนาคารรวม 9 แห่ง ณ ไตรมาส 3/2568 หดตัวลง 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนห้นา (YoY) ต่อเนื่องจากที่หดตัว 1.7% (YoY) ในไตรมาส 2/2568 แล้วอธิบายว่า นอกจากภาพรวมสินเชื่อจะได้รับแรงกดดันจากผลของการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ และการระมัดระวังความเสี่ยงด้านเครดิตในการปล่อยสินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงินแล้ว ความต้องการเบิกใช้สินเชื่อของภาคธุรกิจเพื่อลงทุนในระยะยาวก็ปรับตัวลดลงตามสัญญาณการฟื้นตัวล่าช้าและความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน
ผลจากสถานการณ์สินเชื่อที่อ่อนแอ เมื่อรวมเข้ากับผลของการทยอยปรับลดดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 และการช่วยเหลือลูกหนี้ที่เข้าโครงการคุณสู้เราช่วย ทำให้ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อ (Yield on Loans) ปรับลดลงเร็วกว่าต้นทุนทางการเงิน (Funding Cost) ซึ่งสะท้อนผ่านการชะลอตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin: NIM) ที่ปรับลดลงมาแล้ว 4 ไตรมาสติดต่อกัน โดย NIM ในไตรมาส 3/2568 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.18% จาก 3.22% ในไตรมาสที่ 2/2568
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยบอกอีกว่า แม้ว่าสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ NPL ratio ตามข้อมูลงบการเงินรวมของธนาคารพาณิชย์ 9 แห่ง ขยับสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยมาที่ 3.18% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 3/2568 จากระดับ 3.16% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 2/2568 แต่สินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต หรือ Stage 2 ratio ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงประมาณ 7.38% ของสินเชื่อรวมในไตรมาสที่ 3/2568 สะท้อนว่า คุณภาพของพอร์ตสินเชื่อยังมีความเสี่ยงที่จะด้อยลงในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะหากแนวโน้มเศรษฐกิจและรายได้ภาคครัวเรือนยังไม่ฟื้นกลับมาเป็นปกติ และมีผลกระทบต่อเนื่องต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
ศูนย์วิจัยกสิกกรไทยวิเคราะห์อีกว่า จากข้อมูลงบการเงินรวมของธนาคารพาณิชย์และบริษัทย่อย 9 แห่งที่มีสัญญาณอ่อนแอดังกล่าวข้างต้น สะท้อนว่า ข้อมูลสถานการณ์ภาพรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย 17 แห่งในระบบแบงก์ไทย ที่จะทยอยรายงานตามมาคงจะให้ภาพที่คล้ายคลึงกัน
สำหรับช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า แรงกดดันด้านค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มสูงขึ้นตามปัจจัยด้านฤดูกาล และธนาคารพาณิชย์หลายแห่งน่าจะกลับมามีแนวทางการตั้งสำรองฯ ที่ระมัดระวังเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจไทย ซึ่งอาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นโจทย์ที่ท้าทายต่อการประคองผลการดำเนินงานของระบบแบงก์ไทย โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมบางตัวที่ต้องพึ่งพาสภาวะที่เอื้อของตลาดการเงิน รวมไปถึงรายได้จากธุรกิจหลักอย่างการปล่อยสินเชื่อ และเมื่อรวมกับผลของทิศทางดอกเบี้ยในประเทศที่มีโอกาสปรับลดลงอีกก่อนสิ้นปี อาจทำให้ NIM ของระบบแบงก์ไทยชะลอลงไปอยู่ต่ำว่าระดับ 2.72% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 (เทียบกับตัวเลขคาดการณ์ NIM ของระบบแบงก์ไทยในไตรมาส 3/2568 ที่ 2.80% และตัวเลขจริงของ NIM ในไตรมาส 2/2568 ที่ 2.84%) ขณะที่ คาดว่า อัตราส่วนค่าใช้จ่ายสำรองต่อสินเชื่อ (Credit Cost) ของระบบแบงก์ไทยน่าจะยังอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ และปิดปี 2568 ที่ระดับประมาณ 1.27% ใกล้เคียงกับปี 2567
“ทิศทางเหล่านี้ ทำให้โจทย์หลักของแบงก์จะกลับมาเป็นเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุนส่วนอื่นๆ เฉพาะหน้า เพื่อประคองความสามารถในการทำกำไรในช่วงดอกเบี้ยขาลงนี้” ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ