Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
มุมมองการลงทุนไตรมาส 3 หลัง Bitcoin ทำ All Time High
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

มุมมองการลงทุนไตรมาส 3 หลัง Bitcoin ทำ All Time High

21 ก.ค. 68
15:34 น.
แชร์

หลังจาก Bitcoin สามารถยืนเหนือระดับ $120,000 และสร้างจุดสูงสุดใหม่ในประวัติการณ์ (All-Time High) ถือเป็นการส่งสัญญาณยืนยันว่า Bull run ได้กลับมาอีกครั้งในปี 2025 อย่างเป็นทางการ

สิ่งที่น่าสนใจในรอบนี้คือ ราคา Bitcoin ขยับขึ้นพร้อมกับการลดลงของ Bitcoin Dominance หรือสัดส่วนมูลค่าตลาด Bitcoin ต่อ Altcoins สะท้อนว่าตลาดกำลังให้ความสนใจกับ Altcoins มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

และคำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนในช่วงนี้คือ “Bull run รอบนี้ Narrative ไหนจะเป็นตัวนำตลาด” ซึ่งเพื่อจะตอบคำถามนี้ เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับ 3 ปัจจัยขับเคลื่อนหลักในช่วงครึ่งปีหลังดังนี้

1. สภาพคล่องล้นโลก หนุนคริปโทฯ ไปต่อ

หากในตลาดหุ้น "กำไร" คือเจ้ามือที่แท้จริง ในโลกคริปโทฯ สิ่งนั้นคือ “สภาพคล่อง” (Liquidity) ความสัมพันธ์เชิงสถิติระหว่างราคาบิตคอยน์และปริมาณเงิน M2 Supply ทั่วโลกมีค่า Correlation สูงถึงกว่า 80% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าความสัมพันธ์ระหว่าง BTC และดัชนีหุ้นโลกที่อยู่เพียงราว 50% เท่านั้น

ข้อมูลจาก Trading Economics และ IMF ระบุว่า M2 Supply ของโลกทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องแตะระดับ $114 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้วในช่วงกลางปี 2025 โดยมีแรงหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งจากจีน สหภาพยุโรป และธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งต่างทยอยอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อลดแรงกดดันจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

ในฝั่งสหรัฐฯ ตลาดกำลังจับตาว่า Fed มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย 1–2 ครั้งในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนเสริมอีกทางหนึ่งให้เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์ความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะคริปโทฯ ที่ตอบสนองต่อ Liquidity Cycle ได้อย่างชัดเจน

มุมมองการลงทุนไตรมาส 3 หลัง Bitcoin ทำ All Time High

2. การผ่านร่างกฎหมาย Stablecoin จุดเปลี่ยนสำคัญที่ตลาดรอคอย

อีกหนึ่งพัฒนาการที่สำคัญของตลาดคริปโทฯ คือการที่สภาสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมาย GENIUS Act (Guaranteed Electronic Dollar and Innovation for the United States Act) ซึ่งเป็นกรอบกฎหมายที่วางหลักเกณฑ์ชัดเจนให้กับการออกและดูแล Stablecoin ที่อ้างอิงกับดอลลาร์สหรัฐฯ และพันธบัตรรัฐบาล

ขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวได้ผ่านการรับรองทั้งจากวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร โดยรอเพียงการลงนามของประธานาธิบดี ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 3 ปีนี้

สาระสำคัญของกฎหมายคือการ ยกเว้นการจัดประเภท Stablecoin เป็นหลักทรัพย์ (Non-Security Designation) และเปิดทางให้ธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตสามารถออก Stablecoin ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่ต้องตกอยู่ในกรอบกำกับของ SEC

ข้อมูลจาก Standard Chartered คาดว่าหากกฎหมายมีผลบังคับใช้ Stablecoin Marketcap จะเติบโตจาก $250 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน สู่ระดับ $2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 ส่วน Scott Bessent รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ประเมินว่าอาจขยายได้ถึง $3.8 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

ผู้ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากเม็ดเงินนี้คือ Ethereum ซึ่งในปัจจุบันครอง Market Share ของ Stablecoin เกิน 50% จากการที่โปรโตคอลต่าง ๆ ถูกพัฒนาอยู่บน Ethereum และมีระบบนิเวศ (DeFi) รองรับการสร้าง Yield อย่างมั่นคงและปลอดภัยเมื่อเทียบกับเครือข่ายบล็อกเชนอื่น ๆ 

3. เมื่อบริษัทจดทะเบียนแห่กันมาเก็บคริปโทฯ เป็น Treasury 

กลยุทธ์ของ Strategy (ชื่อเดิมคือ MicroStrategy) ที่ใช้การออกหุ้นกู้แปลงสภาพและออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อนำเงินไปสะสม Bitcoin อย่างต่อเนื่อง ได้กลายเป็นต้นแบบของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนจากทุนสำรองบริษัท

ปัจจุบัน Strategy ถือครองบิตคอยน์มากกว่า 600,000 BTC และมีแผนจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้าน BTC ในอนาคต ซึ่งกลายเป็นแรงจูงใจให้บริษัทอื่นเริ่มใช้แนวทางคล้ายกัน โดยมีมากกว่า 100 บริษัททั่วโลกที่เริ่มนำ BTC เข้ามาเก็บใน Treasury อย่างเป็นทางการแล้ว

โดยล่าสุดกลยุทธ์ดังกล่าวเริ่มขยายมาสู่ Ethereum จากความต้องการจะเป็น “หัวแถว” ในสินทรัพย์ใหม่ โดยมีบริษัทอย่าง Sharplink Gaming (SBET), Bit Digital (BTBT) และบริษัทอื่น ๆ หลัก 10 แห่งเริ่มประกาศซื้อ ETH มาเก็บไว้ใน Treasury

แม้ว่าโมเดลดังกล่าวอาจจะดูเหมือนฟองสบู่ แต่ปัจจุบันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยสังเกตได้จากเรายังอยู่ในเฟสที่มีบริษัทแห่มาทำโมเดลนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จุดพีคของฟองสบู่หรือ Red flag ที่ควรติดตามจะเป็นการที่เริ่มมีบริษัทมาทำโมเดลนี้น้อยลง หรือบริษัทอย่าง Strategy เริ่มระดมทุนไม่ผ่านเป็นต้น 

มุมมองการลงทุนไตรมาส 3 หลัง Bitcoin ทำ All Time High

กล่าวโดยสรุป Outlook ในไตรมาส 3 คาดตลาดยังเป็นขาขึ้นจากสภาพคล่องทั่วโลกยังทำ New high ต่อเนื่อง ประกอบกับการมีปัจจัยหนุนจากเม็ดเงินใหญ่ที่จะถูกอัดฉีดเข้าระบบบล็อกเชนโดยตรงจาก Stablecoin bill รวมไปถึงเทรนด์การเก็บ BTC และ ETH เข้าบริษัท จะเป็นหนึ่งใน Flywheel สำคัญในการเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด

และ Narrative ที่เรามองจะได้ประโยชน์จากเทรนด์ดังกล่าวมากที่สุดคือ Ethereum และเหล่า Ethereum Ecosystem หรือโปรเจกต์ DeFi ที่อยู่บนเครือข่าย ที่จะได้ประโยชน์จากเม็ดเงิน Stablecoin ไหลทะลักเข้ามาในระบบ หนุนสภาพคล่องและรายได้ให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

อ้างอิงข้อมูล
https://www.cnbc.com/2025/06/17/genius-stablecoin-bill-crypto.html

https://finance.yahoo.com/news/ethereum-treasuries-boom-companies-look-103000363.html?guccounter=1&guce_referrer=aHR0cHM6Ly93d3cuZ29vZ2xlLmNvbS8&guce_referrer_sig=AQAAAHCmQ_fvxf05e8HeA4OwCyfey4SRp-MCyhPJZ0PWwFhuYDoJA6l4JsdW-qHKGN4asZe2eDqfOZKkFwmsNi1q7nsYYyPxuZwDLvNsEeNhyW3xrbFbMmwecRIIfTx3wVMy98lGvflO6RrtE8hMnsJomC_SA2fRSZCHwn5NDqi7Z0kL

https://bitcoincounterflow.com/charts/m2-global/

แชร์
มุมมองการลงทุนไตรมาส 3 หลัง Bitcoin ทำ All Time High