Stablecoins กับการเป็น Narrative หลักของตลาดคริปโตในปี 2025
ปกติแล้วในปีที่ตลาดคริปโตเป็นขาขึ้น นักลงทุนมักจะมองหากลุ่มเหรียญที่มีโอกาสเติบโตสูงในไซเคิลนั้นๆหรือที่เรียกกันว่า Narrative โดยในไซเคิลนี้มีหลายกลุ่มเหรียญที่ถูกเล็งว่าจะเป็น Narrative หลักไม่ว่าจะเป็น Meme หรือ AI แต่จากปัจจัยหนุนในปัจจุบันมีโอกาสสูงที่ธีมการลงทุนในไซเคิลนี้จะเป็น Stablecoins
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ล่าสุด วุฒิสภาสหรัฐฯได้ผ่านกฎหมาย Genius ACT ที่อนุญาตให้สามารถออกเหรียญ Stablecoins ที่มีสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯหนุนหลัง 100% ได้ จุดประสงค์เพื่อหนุนความต้องการสกุลเงินดอลลาร์ให้ยังคงเป็นที่ต้องการในตลาดโลกต่อไปและรองรับกับนโยบายส่งเสริมคริปโตของโดนัลด์ ทรัมป์
รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สกอตต์ เบสเซนต์ กล่าวในการประชุมวุฒิสภาสหรัฐฯว่า ตลาด Stablecoins ที่มีเงินดอลลาร์สหรัฐหนุนหลังมีศักยภาพที่จะเติบโตทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบัน Stablecoins ที่มีสกุลเงินดอลลาร์หนุนหลังมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 246,900 ล้านดอลลาร์ โดยคิดเป็นสัดส่วนตลาดมากกว่า 96%
สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท เซอร์เคิล อินเทอร์เนต หรือ Circle ผู้ผลิตเหรียญ Stablecoins อย่าง USDC ได้มีการระดมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯและราคาหุ้นได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีโดยราคาพุ่งในวันซื้อขายวันแรกกว่า 40% เป็นการยืนยันได้ว่าตลาดกำลังให้ความสำคัญกับ Stablecoins อย่างแท้จริง
จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเหรียญ Altcoin ที่มีโอกาสเติบโตสูงในไซเคิลนี้จะเป็นเหรียญที่มีความเกี่ยวข้องกับ Stablecoins โดยพอจะมีเหรียญที่เกี่ยวข้องอย่างเช่นกลุ่ม Blockchain Layer1 ซึ่งทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนที่นำไปใช้ในการสร้าง Stablecoins โดยเชนที่มีการใช้งานมากที่สุดคือ Ethereum รองลงมาคือ Tron ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการใช้งานเชนที่สูงขึ้น
เหรียญที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินอย่างเช่น XRP โดยมีการสร้างเหรียญ RLUSD ของตัวเองขึ้นมา ขณะที่ XLM ที่มีคุณสมบัติเดียวกับ XRP แต่การใช้งานยังจำกัดอยู่เฉพาะผู้ใช้งานรายย่อย ถึงตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการออก Stablecoin ของตัวเอง
ขณะที่ TON Coin ล่าสุดเพิ่งมีการว่าจ้างอดีตผู้บริหาร Visa เข้ามาดูแลด้าน Payment การที่มีฐานลูกค้าของ Telegram กว่าพันล้านรายถือเป็นข้อได้เปรียบ รวมถึง TON ยังร่วมมือกับผู้ให้บริการ Stablecoins หลายราย เช่น Ethena รวมถึง Tether และล่าสุด Kaia ซึ่งเป็นบล็อกเชนที่อยู่ภายใต้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของเกาหลีอย่าง Kakao ก็ถูกเก็งว่าจะได้รับประโยชน์จากการที่เกาหลีใต้กำลังจะมีกฎหมาย Stablecoin เช่นกัน
ทางฝั่ง DeFi มีทางด้าน World Liberty Financial ที่บริหารโดยลูกชายของโดนัลด์ ทรัมป์ มีการออกเหรียญ USD1 ของตัวเอง รวมถึงมีการลงทุนในเหรียญ ENA ซึ่งเป็น DeFi Protocol ที่สร้างเหรียญ Stablecoin ในรูปแบบ DeFi ในชื่อ USDe โดยผู้ถือเหรียญยังได้ผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ยอีกด้วย รวมถึง AAVE ที่นอกจากให้บริการ DeFi Lending แล้วยังได้ออกเหรียญ GHO เป็น Stablecoin แบบ multi-collateralized เพื่อใช้ในการทำธุรกรรมกู้ยืมและรับผลตอบแทน
การที่มีกฎหมายรับรองการผลิต Stablecoins ยังเป็นแรงหนุนให้บริษัทยักษ์ใหญ่รวมถึงสถาบันการเงินต่างๆเข้ามาในตลาดนี้ โดยสื่ออย่าง Fortune เผย Apple Google Airbnb และ X กำลังศึกษานำ Stablecoin มาใช้ในธุรกิจ และ Uber ผู้ให้บริการ Ride Hailing ระดับโลกก็ประกาศว่ากำลังศึกษาการใช้งานด้วยเช่นกันขณะที่ ANT International บริษัทลูกของ ANT Group วางแผนยื่นขอใบอนุญาต Stablecoin ในสิงคโปร์และฮ่องกง
ด้านสถาบันการเงินและฟินเทคต่างหันมาจับมือกับบริษัทเกี่ยวกับชำระเงินด้วยคริปโตในการพัฒนาโซลูชั่นที่นำเหรียญคริปโตรวมถึง Stablecoin มาใช้ในการชำระเงินร่วมกับระบบการเงินดั้งเดิม โดย Mastercard ได้จับมือกับ Moonpay ขณะที่ Stripe ซึ่งเป็นฟินเทคด้านการชำระเงินก็มีการพัฒนาโซลูชั่นเกี่ยวกับ Stablecoin ด้วยเช่นกัน
จากเดิมที่ Narrative ต่างๆในโลกคริปโตจะมีคอนเซบท์ของความเป็น Decentralized ไม่ว่าจะเป็น DeFi GameFi NFT DeSci ฯลฯ แต่การที่ Stablecoins มีโอกาสจะขึ้นเป็นกระแสหลักของไซเคิลนี้ เป็นการยืนยันว่าสถาบันการเงินและนักลงทุนสถาบันคือผู้ขับเคลื่อนหลักของตลาดคริปโตแทนที่รายย่อยอย่างแท้จริง
หมายเหตุ:บทความนี้เป็นมุมมองของผู้เขียนที่มีต่อเทคโนโลยี Stablecoin ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุนแต่อย่างไร
นเรศ เหล่าพรรณราย Founder Ricco,นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย
นเรศ เหล่าพรรณราย
ประธานเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการ บริษัท เมตาที จำกัด และ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย
