ซีอีโอกรุ๊ป ของดุสิตธานี คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ยืนยันอยู่เคียงข้างและบริหารธุรกิจดุสิตธานีต่อไปตามแผนกลยุทธ์ที่ได้วางไว้ไม่มีสะดุด มองปัญหาความขัดแย้งผู้ถือหุ้นจบไปแล้วไม่มีผลต่อแผนธุรกิจ โดยในปี 2568 นี้บริษัทจะทยอยรับรู้รายได้จากการขายเรสซิเด้นท์ในโครงการดุสิต เซ็นทรัลพาร์คแล้วถึง 90% มั่นใจทิศทางผลประกอบการดีขึ้น
หลังจาก บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) มีกระแสข่าวความขัดแย้งของกลุ่มผู้ถือหุ้น จนส่งผลต่อการนำส่งงบการเงินของบริษัทล่าช้าไป แต่ในท้ายที่สุดปัญหาก็ถูกแก้ไขจนบริษัทสามารถนำส่งงบการเงินได้เรียบร้อย แม้อาจจะยังมีคำถามคาใจถึงปมปัญหาของกลุ่มผู้ถือหุ้นที่เกิดขึ้นก็ตาม แต่หัวเรือใหญ่อย่าง คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ก็ได้ชี้แจงถึงแนวทางในการพาดุสิตธานี ให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆไปได้ และตั้งเป้ารายได้ปีนี้จะเติบโตถึง 20-25%
คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ยืนยันว่าการดำเนินธุรกิจยังเดินหน้าได้ตามแผนกลยุทธ์ 9 ปีที่ได้วางไว้ก่อนหน้านี้โดยในช่วงเวลานี้คือปี2566-2568 เป็นช่วงที่ 3 ของแผนธุรกิจ คือ Unlock Value เป็นการเติบโตจากการที่ดุสิตธานีได้ลงทุนไปในช่วงทีผ่านมา โดยเฉพาะการเปิดโครงการใหญ่ ดุสิต เซ็นทรัลพาร์ค รวมถึงการขยายธุรกิจเพื่อโอกาสใหม่ๆมากขึ้น
ประเด็นผลประกอบการของบริษัทที่ผ่านมานั้น คุณศุภจี ชี้แจงว่า ในปี 2567 บริษัทฯมีรายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 74.8% โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA)ที่ 1,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.4% (YoY) แต่ขาดทุนสุทธิ ที่ 237 ล้านบาท
ซึ่งสาเหตุของการขาดทุน เกิดจากภาระดอกเบี้ย ประมาณ 281 ล้านบาท เพื่อจ่ายหุ้นกู้ 2 ล็อต กำหนดอัตราดอกเบี้ย 5.5% ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายเพื่อรองรับสภาพคล่องทางการเงินในช่วงเจอปัญหาโควิด-19 อีกส่วนเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม รวมถึงดอกเบี้ยของหนี้สินจากสัญญาเช่าตามมาตรฐานการรายงานการเงินฉบับที่ 16 (TFRS 16) อีกประมาณ 297 ล้านบาท รวมเป็นต้นทุนทางการเงินประมาณ 578 ล้านบาท จึงทำให้มีตัวเลขขาดทุนสุทธิในปี 2567 อยู่ที่ 237 ล้านบาท
“ดังนั้นหากเราไม่รวมต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย ธุรกิจของเรายังมีกำไรจากการดำเนินงาน แต่ที่เราต้องออกหุ้นกู้และกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เนื่องจากที่ผ่านมา กลุ่มดุสิตธานีมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ใน “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ที่มีมูลค่าประมาณ 46,000 ล้านบาท หรือเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กว่า 3 ปี ในขณะที่ทุนจดทะเบียนของบริษัทยังคงอยู่ที่ 850 ล้านบาทไม่มีการเปลี่ยนแปลง”คุณศุภจีกล่าว
อย่างไรก็ตามภาระดอกเบี้ยจ่ายเหล่านี้นี้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากการโอนโครงการที่พักอาศัยเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ต่อเนื่องถึงปี 2569 และช่วงเวลานั้น จะเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานีจะกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้ง
ส่วนปมปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มผู้ถือหุ้น คุณศุภจี ระบุว่า ในส่วนของการดำเนินการทางธุรกิจได้มีการพุดคุยกับทุกฝ่ายอย่างครบถ้วน รวมถึงยืนยันว่า บอร์ดของบริษัทไม่มีความขัดแย้งใดๆทั้งสิ้น ภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 มีมติไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 และยังไม่ได้ประชุมในวาระการแต่งตั้งผู้สอบบัญชี ประจำปี 2568 จยในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมการและคณะผู้บริหารของบริษัทฯ ก็ได้พยายามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ โดยได้หารือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายครั้ง จนกระทั่งสามารถนำส่งงบการเงินไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านการสอบทานแล้วได้ทันตามกำหนดเวลา ทำให้หุ้น DUSIT ไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP หยุดการซื้อขาย และต่อมาในการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นก็ได้อนุมัติการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีรับอนุญาตของปี 2568 เป็นที่เรียบร้อย
คุณศุภจี ย้ำว่า การจัดทำและอนุมัติงบการเงินของดุสิตธานีมีความถูกต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ผู้สอบบัญชีจึงลงนามรับรองอย่างไม่มีเงื่อนไข และการนำส่งงบการเงินได้ทันตามกำหนดเวลา อีกทั้งสามารถแต่งตั้งผู้สอบบัญชีปี 2568 ได้ ส่งผลให้บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ประกาศยกเลิก “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของบริษัทฯ พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทฯ ไว้ที่ระดับ “BBB-” รวมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน (DUSIT22PA) ของบริษัทฯ ไว้ที่ระดับ “BB” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”
แม่ทัพใหญ่แห่งดุสิตธานี เล่าว่า ได้เข้ามาร่วมงานกับดุสิตธานีในช่วงปี 2558 ในฐานะกรรมการ และเริ่มรับตำแหน่ง CEO ในป 2559 สิ่งที่ต้องดำเนินการคือการวางแผนธุรกิจเพื่อทำให้ดุสิตธานีมีความแข็งแรงและเติบโตมากขึ้น เนื่องจากในอดีตกว่า 9 ปีที่ผ่านมา รายได้หลักของบริษัท 90% มาจากธุรกิจโรงแรม 27 แห่ง ซึ่งในจำนวนนี้ดุสิตธานีเป็นเจ้าของเอง 10 แห่ง รายได้ที่เหลืออีกไม่ถึง 10% มาจาก ธุรกิจการศึกษาคือโรงเรียนวิทยาลัยดุสิคซึ่งปัจจุบันมีนักเรียนอยู่ราว 3-4 พันคน
นั่นจึงทำให้เกิดแผนกลยุทธ์ 9 ปี คือเริ่มจากปี 2559 -2568 แบ่งออกเป็น 3 ช่วงที่ยึดหลักการ รักษาสมดุลของธุรกิจ (Balance) ขยายธุรกิจ (Expand) และ การกระจายความเสี่ยง(Diversify) หาโอกาสใหม่ๆ ดังนี้
เป็นช่วง 3 ปีแรกของการเข้ามาบริหารงานกลุ่มดุสิตธานี โดยเป้าหมายที่วางไว้จะโฟกัสที่การสร้างคน ทั้งวัฒนธรรมองค์กร ทัศนคติ การพัฒนาทักษะพนักงาน พัฒนากระบวนการทำงาน เตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี สร้างศักยภาพของสินทรัพย์กลุ่มดุสิตธานี และยกระดับศักยภาพของแบรนด์ดุสิตธานีให้ตอบโจทย์ทุกเซกเมนต์ หรือเซกเมนต์ที่มีศักยภาพสูง รวมถึงเตรียมพร้อมด้านโครงสร้างการเงินเพื่อรองรับแผนระยะยาว เพื่อให้กลุ่มดุสิตธานีเตรียมพร้อมที่จะนำเสน่ห์แบบไทยและความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไทยไปให้คนทั่วโลกได้รู้จัก
เป็นช่วงขยายการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ทั้งการขยายธุรกิจโรงแรม ควบคู่ไปกับการขยายบริการที่หลากหลายรูปแบบ ขยายธุรกิจการศึกษา พร้อมๆ กับการขยายสู่ธุรกิจอาหาร ด้วยการจัดตั้งบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด รวมถึงการเดินหน้าขยายโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use) ที่มีมูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท
แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานี ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ ต้องปรับกลยุทธ์ โดยเน้นการสำรองเงิน เพื่อให้มีกระแสเงินสดที่เพียงพอ ด้วยการตัดสินใจขายทรัพย์สินบางส่วนออกไปเพื่อปรับโมเดลทางการเงินใหม่ ด้วยวัตถุประสงค์หลักในการรักษาองค์กรให้เดินต่อไปได้ และโครงการสำคัญยังคงเดินหน้าโดยไม่ลดทอนคุณภาพ ช่วงเวลานี้จึงส่งผลทำให้ธุรกิจอาจล่าช้ากว่าแผนที่วางไว้
ปัจจุบันเป็นช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต จากการที่กลุ่มดุสิตธานีลงทุนไปก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างผลประกอบการที่เติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการขยายโรงแรม จากที่เคยมีโรงแรม 27 แห่งใน 8 ประเทศ ปัจจุบัน ณ ไตรมาสแรกปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารจัดการรวม 294 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง ใน 18 ประเทศ เป็นโรงแรม 55 แห่งและวิลล่าหรู 239 แห่ง และในปี 2568 จะรับรู้รายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เต็มปี หลังจากเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567
นอกจากนี้ กลุ่มดุสิตธานียังขยายการลงทุนในธุรกิจอาหาร ผ่านบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งปัจจุบัน มีการลงทุนใน บริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการกับโรงเรียนนานาชาติในไทย บริษัท เดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด (The Caterers Joint Stock) หรือ เดอะ เคเทอเรอร์ส (The Caterers) ผู้ให้บริการด้านการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน และงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในประเทศเวียดนาม
บริษัท บองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ “บองชู” (BONJOUR) มีสาขารวมทั้งสิ้น 99 แห่ง ครอบคลุมในประเทศไทย จีน และเวียดนาม และมีโรงงานผลิตเบเกอรี่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง และขณะนี้ บริษัทกำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับการนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
คุณศุภจี ทิ้งท้ายว่า ผลจากแผนที่ได้วางไว้ทำให้ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของธุรกิจในกลุ่มดุสิตธานี พึ่งพารายได้จากโรงแรมลดลงจาก 90% ดังนี้
ส่วนในปี 2568 ที่เป็นปีสุดท้ายของแผนนี้ ตั้งเป้ารายได้โรงแรมเติบโต 20-25% การศึกษาโต 10-12% ธุรกิจอาหารโต 10-15% และอสังหาริมทรัพย์โต 100% เพราะก่อสร้างเสร็จแล้ว
อย่างไรก็ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้นั้น ก็ยังคงต้องติดตามความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังอีกครั้ง ว่าจะมีปัจจัยลบมากระทบเพิ่มอีกหรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนของภาคการท่องเที่ยวที่มีจำนวนลดลง ซึ่งกลุ่มดุสิตธานีได้ปรับตัวพัฒนาการท่องเที่ยวไปสู่ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รูปแบบการพักอาศัยแบบ Long Stay และ การพัฒนาธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน เชื่อว่าทั้ง 3 เทรนด์ตอบโจทย์กับการท่องเที่ยวยุคใหม่ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้