ข่าวเศรษฐกิจ

ราคาน้ำมันดีด 2% หลังกลุ่มฮูตีโจมตีเรือส่งสินค้าโต้อิสราเอล ทำค่าเดินเรือแพง หวั่นเงินเฟ้อเพิ่ม

27 ธ.ค. 66
ราคาน้ำมันดีด 2%  หลังกลุ่มฮูตีโจมตีเรือส่งสินค้าโต้อิสราเอล ทำค่าเดินเรือแพง หวั่นเงินเฟ้อเพิ่ม

ราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นกว่า 2% ไปแตะ 81.07 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในวันอังคารที่ 26 ธ.ค. ที่ผ่านมาหลังกลุ่มติดอาวุธฮูตีจากเยเมนยังคงเดินหน้าโจมตีเรือขนส่งสินค้าบนทะเลแดงเพื่อโต้ตอบอิสราเอลและให้การสนับสนุนปาเลสไตน์ เรือขนส่งหลายลำต้องเดินทางอ้อมแหลมกู้ดโฮป ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสูงขึ้นจนกระทบราคาสินค้า

ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และมีสิทธิที่จะลุกลามไปเป็นความขัดแย้งในระดับภูมิภาค หลังในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา กลุ่มติดอาวุธ ‘ฮูตี’ จากเยเมนเริ่มเคลื่อนไหวโจมตีเรือขนส่งในทะเลแดง โดยเฉพาะเรือขนส่งที่มีความเกี่ยวข้องกับอิสราเอล เพื่อโต้ตอบที่อิสราเอลยังคงส่งระเบิดโจมตีประชาชนในฉนวนกาซา ขณะที่ชาติตะวันตกนำโดนสหรัฐฯ ตั้งกองกำลังทางน้ำขึ้นมาเพื่อป้องกันการโจมตีโดยเฉพาะ

ล่าสุด ในวันอังคารที่ผ่านมา กลุ่มฮูตีได้ออกมาโจมตีเรือ MSC United VIII ของบริษัท MSC Mediterranean Shipping Co. ที่กำลังจะเดินทางไปประเทศปากีสถาน ส่งให้ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 2.5% ไปถึง 81.07 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ U.S. West Texas Intermediate (WTI) เพิ่มขึ้น 2.7% ไปอยู่ที่ 75.57 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันที่ขึ้นนี้เป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 3% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะนักลงทุนกังวลว่าการโจมตีเรือขนส่งในทะเลแดงของกลุ่มฮูตีจะทวีความรุนแรงขึ้น และในปัจจุบันการขนส่งสินค้าผ่านช่องทางนี้ก็ต้นทุนสูงขึ้น จากทั้งการต้องเดินทางอ้อมแหลมกู้ดโฮป และค่าประกันที่สูงขึ้นอยู่แล้ว

ในวันนี้ (27 ธ.ค.) เวลา 15.40 น. ราคาน้ำมันน้ำมันดิบ Brent อยู่ที่ 81.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ที่ 75.38 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

istock-1318616736

ทะเลแดงสำคัญกับการขนส่งอย่างไร? ทำไมกระทบทั้งโลก?

‘ทะเลแดง’ (Red Sea) ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางขนส่งสินค้าที่สำคัญของโลก เพราะเป็นทางเชื่อมระหว่างทวีปยุโรปและชาติตะวันตกอื่นๆ กับประเทศตะวันออกกลาง และเอเชีย และเป็นที่ตั้งของช่องแคบขนส่งสินค้าสำคัญ 2 ช่องทาง คือ คลองสุเอซ (Suez Canel) และ ช่องแคบบับเอลมันเดบ (Bab el-Mandeb) โดยเรือที่ต้องการเดินทางจากยุโรปไปเอเชียจะต้องผ่านคลองสุเอซ ทะเลแดง ก่อนเดินทางผ่านช่องแคบบับเอลมันเดบ ออกไปยังอ่าวเอเดน และทะเลอาหรับ

main

จากข้อมูลของสถาบันสันติภาพของสหรัฐฯ (USIP) ทะเลแดงเป็นเส้นทางขนส่งสินค้า 12% ของโลก มูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์ 30% ในแต่ละปี โดยสินค้าที่ผ่านช่องทางนี้มีหลากหลาย ทั้งน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว สินค้าโภคภัณฑ์ สินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น  สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนรถยนต์

นอกจากนี้ จากข้อมูลของผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (TNSC) ช่องแคบบับเอลมันเดบยังเป็นเส้นทางเดินเรือน้ำมันดิบของโลกถึง 10% ขณะที่ ปริมาณการขนส่งสินค้าผ่านคลองสุเอซในปี 2022 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,929 ลำ คิดเป็นน้ำหนักรวม 1.166 พันล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของปริมาณการขนส่งสินค้าทั่วโลก

ดังนั้น ความไม่สงบในทะเลแดงจึงส่งผลต่อการขนส่งสินค้าจากเอเชียไปตะวันออกกลางและยุโรป และจากยุโรปไปเอเชีย และกระทบอย่างมากต่อการขนส่งสินค้าของ ‘อิสราเอล’ ที่มีเส้นทางส่งออกสินค้าสำคัญไปยังเอเชีย และแอฟริกา

การโจมตีของกลุ่มฮูตีส่งผลต่อการขนส่งและราคาสินค้าอย่างไรแล้วบ้าง?

กลุ่มฮูตีได้เริ่มโจมตีเรือเดินสมุทรที่ใช้เส้นทางคลองสุเอซและทะเลแดงตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม โดยได้ส่งโดรนโจมตีเรือ MSC Palaium III ที่บริเวณช่องแคบบับเอลมันเดบ และมีการโจมตีอย่างต่อเนื่อง จนหลายบริษัทเดินเรือรายใหญ่ของโลก ทั้ง Maersk, MSC, CMA CGM, Evergreen และ Yang Ming ได้ออกมาประกาศหยุดเดินเรือในเส้นทางดังกล่าว 

ขณะที่ Nikkei Asia รายงานว่า การโจมตีของกลุ่มฮูตีกระทบกับการเดินเรือแล้ว 121 ลำ ที่ต้องเดินทางอ้อมแหลมกู้ดโฮปจากมหาสมุทรอินเดียไปมหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้ระยะทางการเดินเรือนานกว่าปกติประมาณ 3-4 สัปดาห์ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนด้านพลังงานของการขนส่งเรือ และค่าประกันสินค้าสูงขึ้นจากความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น

ส่วน Kuehne + Nagel คาดการณ์ว่า บริษัทขนส่งและโลจิสติกส์จากสวิตเซอร์แลนด์ และนักวิเคราะห์จาก S&P Global การโจมตีของกลุ่มฮูตีจะทำให้ศักยภาพในการขนส่งสินค้าของโลกลดลงได้ถึง 20% และทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าจากเอเชียไปยุโรปสูงขึ้นประมาณ 15% กระทบการขนส่งสินค้ามากมาย เช่น ของเล่น 47% เครื่องใช้ภายในบ้าน 40% เสื้อผ้า 40% สารเคมี 24% และโลหะแผ่นสำหรับใช้ในการผลิตรถยนต์ 22%

istock-1056285242

ในปัจจุบัน สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรอื่นๆ รวมสิบประเทศได้ตั้งกองกำลัง Operation Prosperity Guardian ขึ้นมาโต้ตอบและป้องกันการโจมตีจากกลุ่มฮูตี ทำให้บางบริษัทขนส่งเช่น CMA CGM กลับมาเดินเรือในทะเลแดง ขณะที่ Maersk ออกมาประกาศแผนกลับมาเดินเรือในเส้นทางดังกล่าวแล้ว

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในทะเลแดงก็ยังคงตึงเครียด และมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนจึงควรจับตามองต่อไปว่าความขัดแย้งระหว่างชาติอาหรับ ชาติตะวันตก และอิสราเอลจะดำเนินไปทางใดต่อไป เพราะถ้าหากสถานการณ์เลวร้ายขึ้นจนการขนส่งลดลงหรือหยุดชะงัก ย่อมส่งผลโดยตรงต่อราคาน้ำมันและราคาสินค้าในหลายๆ ประเทศที่ต้องใช้สินค้าที่ขนส่งผ่านคลองสุเอซและช่องแคบบับเอลมันเดบ

 

อ้างอิง: Bloomberg, Reuters, Nikkei Asia, TNSC, USIP

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT