ข่าวเศรษฐกิจ

ดิจิทัลวอลเล็ต ต้องลดจำนวนให้เหมาะสม เพราะไม่ใช่นโยบายดัน GDP โต 5%

13 พ.ย. 66
ดิจิทัลวอลเล็ต ต้องลดจำนวนให้เหมาะสม เพราะไม่ใช่นโยบายดัน GDP โต 5%

หลังจากรัฐบาลประกาศเงื่อนไขนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง สาเหตุเพราะนโยบายนี้รัฐบาลยังต้องใช้เวลาในการออกกฏหมายเพื่อกู้เงินราว 5 แสนล้านบาทนำมาใช้ในโครงการนี้ โดยคาดว่าจะเริ่มได้ในเดือน พ.ค.ปี 2567 ทำให้เสียงสะท้อนในแง่ความไม่เชื่อมั่นต่อนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตยังคงอยู่ในกระแส  

มุมมองจาก ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล  กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ มีมุมมองต่อนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ว่า  การกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีหน้าสามารถทำได้ เพราะปีหน้าเป็นปีที่จะได้เห็นเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงทั้งในยุโรปหลายประเทศ รวมถึง จีน โดยเฉพาะในช่วงต้นปี ดังนั้นหากไทยมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาในเวลานั้นก็เป็นช่วงเวลาที่พอดี 

“ ปีหน้าจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจบ้าง เพียงแต่จะทำเยอะแค่ไหน นี่คือคำถาม ที่พูดว่ากระตุ้นให้GDP โตได้ 4-5% นโยบายนี้อาจจะไม่ใช่ทางออก  ถ้าหากอยากเห็นเศรษบกิจโตแบบอย่างยั่ง คือ GDP โต 4-5% ทุกปี ไม่ใช่ปีเดียว เพราะหากแจกปีนี้ ปีหน้าไม่แจก เศรษฐกิจจะแฟบลงมา “ 

“นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่คุยกันวันนี้ยังใช้เวลาอีก ดังนั้นผมคิดว่าอาจจะต้องลดจำนวนลงมาเพื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม” 

ดร.กอบศักดิ์ ระบุว่า ถ้าอยากได้ GDP โต 5% มีนโยบายอื่นๆที่สามารถทำได้ เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ สิ่งที่อยากให่รัฐบาลใหม่ทำ  คือให้มองวิกฤติเป็นโอกาส หากสงครามในตะวันออกกลางลุกลาม ที่จริงเป็นโอกาสของไทย ที่เราควรเปิดให้คน อืสราเอล หรือในตะวันออกกลางเข้ามาในไทยเต็มที่ ตัวอย่าง ตอนสงครามรัสเซีย ยูเครน ปรากฏว่า กลายมาเป็นนักท่องเที่ยวในภูเก็ตจำนวนมาก ทั้งนี้เพราะอิสราเอล เป็นประเทศที่มีความโดดเด่นเรื่อง สตาร์ทอัพ ยูนิคอร์น ซึ่งหากเปิดโอกาสให้คนที่มีความสามาถเรื่องเทคโนโลยีเข้ามา จะสามารถช่วยพัฒนาประเทศไทยได้และมีโอกาสเปลี่ยนประเทศไทยแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

ดร.กอบศักดิ์ ภูตะกูล

สำหรับ GDP ไทยปีหน้า ดร.กอบศักดิ์ มองว่า มีโอกาสขยายตัวได้ราว 3-4%ซึ่งได้นับรวมผลของนโยบาย ดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว ส่วนทิศทางเศรษฐกิจโลกปีหน้า ช่วงต้นปีบรรยากาศทางเศรษฐกิจจะอึมครึม แต่พอกลางปีไปแล้วจะเห็นแสงสว่างมากขึ้น เพราะเป็นช่วงเวลาที่บรรดาธนาคารกลางๆต่างๆจะเริ่มลดดอกเบี้ย เช่น ออสเตรเลีย ละตินอเมริกา  เพราะเงินเฟ้อเริ่มลดลง ทำให้ดอกเบี้ยจะลง  ส่วนธนาคารกลางสหรัฐอาจจะลดดอกเบี้ยใยช่วงปลายปีเวลานั้นตลาดหุ้นอาจมีสัญญาณที่ดีขึ้นได้บ้าง 

แต่อีกสิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ การดึงสภาพคล่องกลับของทางฝั่งสหรัฐเพราะจะส่งผลต่อ Fund Flow โดยในช่วงโควิดที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ อัดฉีดจาก 4 ล้านล้านดอลลาร์เป็น 5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ช่วง1 ปีที่ผ่านมา ดูดกลับไปแล้ว 1 ล้านล้านในปี 2566  ดังนั้นยังเหลือให้ดูดกลับอีก 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT