ข่าวเศรษฐกิจ

แบงก์ใหญ่ฟันธงกนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้งในไตรมาส 3

1 มิ.ย. 66
แบงก์ใหญ่ฟันธงกนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้งในไตรมาส 3

การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 2% ต่อปี ถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 6 ครั้งติดต่อกัน

โดยกนง.ได้พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ทั้งภาพรวมเศรษฐกิจไทย ซึ่งกนง.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ และคาดว่ามีโอกาาสเศรษฐกิจไทยยังดีกว่าที่คาดไว้อีกด้วย ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวค่อยเป็นค่อยไป 

ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่หลายคนกังวลกันนั้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีทิศทางที่ปรับลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งกนง.มองว่า ประเด็นนี้ยังคงต้องจับตาดูต่อไป เนื่องจากต้องจับตาดูด้วยว่าผู้ประกอบการเองจะส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคเพิ่มอีกมากน้อยแค่ไหน ถือว่าเป็นความเสี่ยงด้านความต้องการของผู้บริโภค หรือด้านอุปสงค์นั่นเอง ดังนั้น กนง.ประเมินว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องยังเหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย และเงินเฟ้อของไทย

ในมุมมองของธนาคารพาณิชย์มองการปรับขึ้นครั้งนี้อย่างไร และเดาใจว่ากนง.จะดำเนินนโยบายการเงินต่อไปอย่างไร เมื่อส่งสัญญาณออกมาว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะดีกว่าที่คาดไว้ แต่ต้องจับตาอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน และทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่นี้ เพราะสถานการณ์ทางการเมืองยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ถือยังเป็นปัจจัยสำคัญ

SCB EIC คาดกนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ใน Q3/66 นี้

โดย SCB EIC คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ต่อปี ในการประชุมเดือนสิงหาคมและกันยายนนี้ สู่ระดับ Terminal rate ที่ 2.5% 

จากการประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อของไทยที่แม้จะอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่ยังมีความเสี่ยงด้านสูง (Upside risks) จากการส่งผ่านต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการไปยังผู้บริโภคที่จะคาดว่ายังอยู่ในระดับสูงตลอดปีนี้ และยังมีแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

มองนโยบายการเงินกลับสู่ระดับปกติ

นโยบายการเงินไทยจึงมีแนวโน้มกลับเข้าสู่ระดับปกติที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ซึ่ง SCB EIC ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ย Neutral rate ของไทยล่าสุดอยู่ที่ 2.5% ซึ่งเป็นระดับที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับศักยภาพและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายของ ธปท. 

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real interest rate) ของไทยยังคงติดลบต่อเนื่อง ซึ่งการที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำเกินไปจะก่อให้เกิดความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจ และเป็นการสะสมความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว

ดังนั้น กนง. จึงมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปยังระดับที่บทบาทนโยบายการเงินเป็นกลางมากขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจ และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับดังกล่าว เพื่อให้กลไกดอกเบี้ยนโยบายส่งผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจต่อไป 

คาดดอกเบี้ยโลกใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกนั้น วัฏจักรของการขึ้นดอกเบี้ยมีแนวโน้มใกล้สิ้นสุดลงแล้ว หลังตัวเลขเงินเฟ้อของหลายประเทศที่ปรับลดลงมากกว่าคาด และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเริ่มทยอยกลับเป็นบวกแล้ว ซึ่งคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของหลายประเทศทั่วโลกเริ่มปรับลดลงในไตรมาส 2 นี้ 

โดย Citi inflation surprise index ของโลกออกมาต่ำกว่าคาดเป็นครั้งแรกในรอบ 29 เดือน  ซึ่ง SCB EIC คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี ตามราคาพลังงานและปัญหาอุปทานคอขวดที่ทยอยคลี่คลาย ปัจจัยฐานสูง รวมถึงผลสะสมของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่จะถูกส่งผ่านไปยังระบบเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในหลายประเทศได้เริ่มกลับมาเป็นบวก หลังจากติดลบมากต่อเนื่องหลังเกิด COVID-19 โดย SCB EIC คาดว่าธนาคารกลางสำคัญมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ออีกอย่างมาก 1-2 ครั้งในปีนี้

  • ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) : ภาวะสินเชื่อและภาวะการเงินที่ตึงตัว ประกอบกับ Monetary policy lag และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเริ่มเป็นบวก (Restictive zone) ส่งผลให้ Fed มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายนนี้ (Baseline) อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) เดือนเมษายน ซึ่งเป็นมาตรวัดสำคัญของ Fed กลับมาเร่งตัวจากการใช้จ่ายผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง โดยหากตัวเลขการจ้างงานและเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมออกมาเร่งตัวสูงกว่าคาดอาจกดดันให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก 1 ครั้งได้ โดย SCB EIC คาดว่า Fed มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงตลอดปีนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่สูงกว่ากรอบเป้าหมายที่ 2% ของ Fed มาก
  • ธนาคารกลางยุโรป : ภูมิภาคยุโรปเผชิญแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงกว่า แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอลงเร็วตามราคาพลังงาน แต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังขยายตัวต่อเนื่องจากค่าแรงเพิ่มขึ้นและอัตราการว่างงานต่ำ ส่งผลให้ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง อีกทั้ง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงติดลบมาก โดย SCB EIC คาดว่า ECB และ BOE มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 25 BPS สู่ 3.75% และ 5% ตามลำดับ
  • ประเทศอื่น ๆ : คาดว่าหลายประเทศได้ยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว เช่น Bank of Canada และ Bank of India ขณะที่ Bank of Korea คาดว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมและมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงปลายปีนี้ตามเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ขณะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง

SCB EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะกลับไปสู่ระดับก่อนเกิด COVID-19 ได้ในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจไทยได้ฟื้นตัว และคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี เห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นต่าง ๆ ทั้งการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และภาคการผลิตปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนแนวโน้มที่ดีในระยะต่อไป ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง จากแรงหนุนของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ

กรุงศรีมองกนง.ยังกังวลเงินเฟ้อสูง

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มองว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.0%  ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นวันที่ 2 สิงหาคม 2566 แต่ยอมรับว่ายังมีความเสี่ยงที่ กนง. อาจตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยต่อ ขึ้นอยู่กับตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ และปัจจัยทางการเมือง

โดยท่าทีของ กนง. ที่ตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยในวันนี้บ่งชี้ว่า มีความกังวลชัดเจนเรื่องแนวโน้มเงินเฟ้อพื้นฐานสูง โดยระบุถึงความเสี่ยงด้านขาขึ้นของการเติบโตภายในประเทศ ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ แม้จะระบุว่า ยังคงต้องติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักที่ยังมีความไม่แน่นอน และยังมีความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังอยู่ในระดับสูง

ทั้งนี้ จากถ้อยแถลงของแบงก์ชาติ ระบุว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องชัดเจน ผลจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยังคงตัวเลขแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 3.6% ในปีนี้ และ 3.8% ใน 2567 ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวในระดับสูง ซึ่งคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะทรงตัวอยู่ที่ 2.0% ในปี 2566 และ 2567 ซึ่งอยู่ในระดับสูงเทียบกับอดีต

“หลังการประกาศของ กนง. ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอยู่ที่ราว 34.74 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐ โดยภาพรวมในปีนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง 0.6% ซึ่ง กนง. ย้ำว่า ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เป็นผลจากแนวโน้มของนโยบายการเงินของเฟด การอ่อนค่าลงของเงินหยวน รวมทั้งความไม่แน่นอนของสถาการณ์การเมืองภายในประเทศ” น.ส.รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายส่งเสริมธุรกิจโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าว

Krungthai COMPASS คาดว่า กนง.คงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนส.ค.นี้

ด้าน Krungthai COMPASS คาดว่า กนง. มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป ภายหลังจากที่ กนง.ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกัน 6 ครั้ง จากระดับ 0.50% สู่ระดับ 2.0% ต่อปี เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่อยู่สูงกว่ากรอบเป้าหมายและสูงสุดในรอบ 14 ปี 

โดยขณะนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปได้ชะลอลงต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 2.67% ในเดือน เม.ย. 66 และคาดว่าในระยะข้างหน้าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ต่ำกว่ากรอบบนของเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 3% สอดคล้องกับมุมมองของ กนง. ล่าสุดที่มองว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้จะอยู่ที่ 2.5% จึงสะท้อนแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ทยอยลดลงและอาจเป็นปัจจัยหนุนให้ กนง. คงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในเดือน ส.ค. เพื่อรอดูความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาล และนโยบายทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

กรุงไทยมองดอกเบี้ยขาขึ้นยังไม่สิ้นสุด

Krungthai COMPASS ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นยังไม่สิ้นสุด แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะมีแนวโน้มลดลง แต่ กนง. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 2.0% ในปี 2566 และ 2567 และมองว่า กนง. จะให้ความสำคัญกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมากขึ้นเนื่องจากสะท้อนสัดส่วนราคาที่ผู้บริโภคใช้จ่ายถึง 67.1% ของตะกร้าเงินเฟ้อ 

โดย กนง.มองว่า อัตราเงินเฟ้อมีความเสี่ยงด้านสูงจากแรงหนุนด้านอุปสงค์ตามเศรษฐกิจที่ขยายตัวดี และการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการที่อาจเพิ่มขึ้นจากแรงกดดันด้านอุปทาน ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐในระยะข้างหน้า อีกทั้งเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงด้านสูงเช่นกัน จึงเป็นไปได้ว่าหากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างเรียบร้อย กนง. มีโอกาสปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้ง สู่ระดับ 2.25% ต่อปี ในช่วงปลายปี 2566

กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 2.0% ต่อปี มีผลทันที 

นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง.ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ว่าคณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบา 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 2.00% ต่อปี โดยให้มีผลทันที

โดยกนง.มองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวในระดับสูง 

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ในบริบทที่เศรษฐกิจขยายตัวดี รวมทั้งการส่งผ่านต้นทุนผู้ประกอบการอาจปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านอุปทาน คณะกรรมการฯ เห็นว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องยังเหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี ในการประชุมครั้งนี้

กนง.ได้ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.6% และ 3.8% ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลบวกต่อการจ้างงานและรายได้แรงงาน และเป็นแรงส่งต่อเนื่องไปยังการบริโภคภาคเอกชน ด้านการส่งออกทยอยฟื้นตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ และคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นในระยะต่อไป 

ทั้งนี้ เป็นทิศทางเดียวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่แม้จะชะลอลงบ้างแต่ยังมีทิศทางขยายตัว ซึ่งคณะกรรมการ กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวสูงกว่าที่ประเมินไว้ ส่วนหนึ่งจากนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐ และยังต้องติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักที่ยังมีความไม่แน่นอน

อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทยอยปรับลดลง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และคาดว่าจะอยู่ที่ 2.5% และ 2.4% ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ จากแรงกดดันจากค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันที่ทยอยคลี่คลาย 

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ 2.0% ในปี 2566 และ 2567 ซึ่งอยู่ในระดับสูงเทียบกับอดีต ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อมีความเสี่ยงด้านสูงจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ในบริบทที่เศรษฐกิจขยายตัวดี รวมทั้งการส่งผ่านต้นทุนผู้ประกอบการอาจปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านอุปทาน ซึ่งส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐในระยะต่อไป จึงต้องติดตามพฤติกรรมการปรับราคาของผู้ประกอบการที่อาจเปลี่ยนไป

สำหรับระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพนั้น ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง ด้านความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ฐานะการเงินของผู้ประกอบการ SMEs และครัวเรือนบางส่วนยังเปราะบางและอ่อนไหวต่อค่าครองชีพและภาระหนี้ที่สูงขึ้น คณะกรรมการฯ เห็นควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเห็นความสำคัญของการมีมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง

ขณะที่ภาวะการเงินโดยรวมผ่อนคลายลดลง จากต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนที่ปรับสูงขึ้น สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการระดมทุนของภาคเอกชนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. ปรับอ่อนค่า ส่วนหนึ่งตามทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการอ่อนค่าของเงินหยวน รวมทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย จึงต้องติดตามพัฒนาการและความผันผวนในตลาดการเงินอย่างใกล้ชิด ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน 

อย่างไรก็ตาม กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงเงินเฟ้อด้านสูง จึงเห็นควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยพร้อมที่จะปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT