Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
MoU แร่หายาก ไทยเป็นหมากหรือผู้เล่น? ในกระดานที่ราคาสิ่งแวดล้อมสูงลิ่ว
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

MoU แร่หายาก ไทยเป็นหมากหรือผู้เล่น? ในกระดานที่ราคาสิ่งแวดล้อมสูงลิ่ว

3 พ.ย. 68
13:21 น.
แชร์

ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูลลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) ว่าด้วยความร่วมมือแร่หายากของโลก (Rare Earth Element) กับสหรัฐอเมริกา ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 26-28 ตุลาคม 2568 บทสนทนาเกี่ยวกับ MoU ฉบับนี้ก็เป็นที่พูดถึงกันเป็นอย่างมาก ในประเด็นต่าง ๆ อาทิ ผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ และความผูกมัดของ MoU 

Spotlight พาสำรวจว่า ในกระดานตลาดแร่สำคัญ/แร่หายากนี้ ไทยมีแนวโน้มได้รับประโยชน์-โทษอย่างไร จากคำบอกเล่าจากหลายฝ่าย ทั้งรัฐบาลไทย รัฐบาลสหรัฐฯ นักวิชาการ และภาคประชาชน

สถานทูตสหรัฐฯ ชี้ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน

สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเผยแพร่เอกสารวันนี้ (3 พฤศจิกายน 2568) กล่าวว่า MoU ฉบับนี้มีขึ้นเพื่อ “เสริมสร้างความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญ” และ “ส่งเสริมการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการแปรรูปของไทย”

ไม่ได้มุ่งหมายให้มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎหมายภายในประเทศ และจะไม่กระทบข้อตกลงเดิมระหว่างสหรัฐฯ และไทย แต่จะส่งเสริม “ความเป็นหุ้นส่วน” ด้วยการต่อยอด “ความเชื่อมโยงแน่นแฟ้นทางการค้า การลงทุน และการพาณิชย์” ระหว่างสองชาติ เพื่อให้ “สำรวจโอกาสเพิ่มเติม” สำหรับความร่วมมือและโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับแร่สำคัญ หรือแร่หายากต่อไปได้

สถานเอกอัครราชทูตยังกล่าวว่า MoU ฉบับนี้จะช่วยให้ 2 ชาติสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเกี่ยวกับแนวปฏิบัติระดับสากลได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อไทยคือ ส่งเสริมภาคส่วนแร่สำคัญของไทย ช่วยไทยวิเคราะห์ศักยภาพด้านทรัพยากรของประเทศ สร้างห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญที่มั่นคง ยืดหยุ่น และมีความรับผิดชอบร่วมกัน

รัฐบาลไทยชี้ “ตกลงเบื้องต้น”

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลง ณ ทำเนียบรัฐบาลหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า MoU ดังกล่าวไม่ใช่สนธิสัญญา หรือ ข้อตกลงทางกฎหมาย จึงไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ แต่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาโซ่อุปทาน การวิจัย และการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับแร่หายาก

คำบอกเล่าของ 2 รัฐบาลพ้องไปในทำนองเดียวกันว่า เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค รวมทั้งแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล ที่เรียกว่าเกี่ยวกับแร่หายากเหล่านี้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทย 

ขีดความสามารถที่นักวิชาการเองแสดงความกังวลว่า ไทยไม่พร้อม และอาจกลายเป็นจุดอ่อนให้บริษัทข้ามชาติตักตวงผลประโยชน์ได้ แม้รัฐบาลไทยจะยืนยันว่า MoU จะอำนวยให้ประเทศภาคีสามารถประสานงานการคุ้มครองตลาด โดยอิงกลไกตลาด การปฏิบัติการการค้าอย่างเป็นธรรม 

นักวิชาการชี้อาจดึงไทยพัวพันสงครามจีน-สหรัฐฯ

ตามรายงานของสำนักข่าว Infoquest เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวว่า การตกลงทำ MoU กับสหรัฐฯ ในครั้งนี้อาจตามมาด้วยความซับซ้อนหลายประการ

นายอนุสรณ์กล่าวว่า ไทยในฐานะที่เป็นแหล่งผลิตแร่หายากอันดับ 4 ของโลก แต่มีทักษะแรงงานและศักยภาพในการดำเนินการน้อย อาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมทั้งไทยและอาเซียนจะกลายเป็น “หมาก” ของประเทศมหาอำนาจ โดยกลายเป็น “หนึ่งในห่วงโซ่อุปทาน” แร่หายากของสหรัฐฯ ที่มีจีนเป็นคู่แข่งขันหลัก เนื่องจากจีนครอบครองส่วนแบ่งในตลาดแร่หายากอยู่ถึง 86% ในปัจจุบัน

ผู้เชี่ยวชาญชี้อีกว่า ไทยยังขาดความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการสำรวจ สกัด และผลิต จะทำให้สหรัฐฯ สามารถครอบงำอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยได้ อาจทำให้สหรัฐฯ สามารถตักตวงส่วนเกินทางเศรษฐกิจโดยบริษัทข้ามชาติผ่านระบบการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ

ในรายงานของ Infoquest นายอนุสรณ์กล่าวว่า MoU จะตามมาด้วยขั้นตอนและกระบวนการมากมาย ทั้งในแง่ดี อาทิ ผลประโยชน์จากการลงทุนต่อเศรษฐกิจ การพัฒนาอุตสาหกรรมสำรวจ แปรรูปแร่เพิ่มรายได้ภาครัฐ เกิดการพัฒนาต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

หรือที่มีแนวโน้มจะเป็นผลเสีย อย่างการทำลายพื้นที่ป่า พื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่อุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร อาจทิ้งมลพิษทางอากาศและน้ำเอาไว้จากกากแร่กัมมันตภาพรังสี ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมมาก สรุปคือ การลงทุนเหมืองแร่อาจสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้ประเทศเพียงเล็กน้อย แต่ต้องจ่ายด้วยความเสียหายมหาศาลทางสิ่งแวดล้อม

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า ปัญหาความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและการเสียเปรียบในเวทีแร่หายากจากการเป็นเพียง “หมาก” ของประเทศใหญ่นั้นอาจแก้ไขได้ด้วยการ “พัฒนาแบบมีส่วนร่วม การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย และเตรียมการรับรองการลงทุนให้ดีพอ” การกำกับดูแลให้กระบวนการส่งผลต่อธรรมชาติน้อยที่สุด

เครือข่ายประชาชนคัดค้าน ไม่ผูกพัน ไม่จริง ผลเสียสิ่งแวดล้อมตามมาแน่

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 นักปกป้องสิทธิฯ เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ และ ก.ป.อพช เดินทางเข้ายื่นหนังสือคัดค้าน และขอให้เพิกถอน MoU ความร่วมมือแร่หายาก/แร่สำคัญ ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ชี้ว่า การที่ไทยเป็น “สมรภูมิล่าแร่” ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผลเสียจะตกอยู่ที่สิ่งแวดล้อมและประชาชนของไทย

ต่อมากลุ่มเผยแพร่ข้อมูลบนเฟซบุ๊ก “ผืนดินนี้ไม่มีเหมือง - This Land No Mine” ตั้งคำถามว่า MoU ฉบับนี้ไม่มีความผูกมัดจริงหรือ และกล่าวว่าตลอด 20 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ พยายามลดการพึ่งพาแร่สำคัญจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ยิ่งในสถานการณ์โลกที่หันหน้าหาการใช้ “พลังงานสะอาด” มากขึ้น ซึ่งการใช้พลังงานสะอาดในสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาแร่สำคัญกว่า 31 ชนิดจากต่างประเทศ

ด้วยเหตุผลนี้สหรัฐฯ จึงเร่งการผลิตแร่ในประเทศ และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยงการผูกขาดกับจีน ด้วยการขยายห่วงโซ่อุปทานแร่ของตน กลุ่มผู้คัดค้านคาดว่า หลังเซ็น MoU จะมีการผูกมัดในระดับหนึ่งอยู่ดี

“คาดเดาว่า หลัง MOU ฉบับนี้ จะมีความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และไทยเพื่อกระตุ้นให้เกิดมีการทำเหมืองแร่สำคัญและแร่หายากภายในประเทศที่มากขึ้นอย่างแน่นอน” โพสต์จากกลุ่ม ผืนดินนี้ไม่มีเหมือง - This Land No Mine กล่าว

นอกจากนี้ กลุ่มยังแสดงความกังวลว่า การทำเหมืองแร่ที่อาจตามมาหลังลงนาม MoU จะ “ซ้ำรอย” การทำเหมืองแร่ในอดีตของไทย ในสัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โปแตช จ.อุดรธานี ปี 2527 ครอบคลุมพื้นที่ 1.5 ล้านไร่ และสัญญาสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำแปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิว–ภูขุมทอง จ.เลย ปี 2534 ครอบคลุมกว่า 340,000 ไร่ ที่กลุ่มกล่าวว่าเป็น “กระทำเกินขอบเขตกฎหมายแร่ของไทย เป็นการ “จับจองพื้นที่ล่วงหน้า” ทั้งที่ยังไม่ได้รับสัมปทาน และไม่มีบทบัญญัติใดในกฎหมายแร่ที่อนุญาตให้ทำได้”

“สัญญาเหล่านี้เป็นการผูกขาดในระบบสัมปทานอีกชั้นหนึ่ง และมีลักษณะเป็นสัญญานิรันดร ไม่มีวันสิ้นสุด ต่างจากกฎหมายแร่ไทยที่กำหนดอายุสัมปทานชัดเจน” แถลงการณ์ระบุว่า MOU ไทย–สหรัฐฯ มีลักษณะละเมิดกฎหมายในทำนองเดียวกัน” กลุ่มกล่าวในแถลงการณ์คัดค้าน MoU

นอกจากนี้ กลุ่มยังแสดงความกังวลต่อสิ่งแวดล้อมในทะเลอันดามันเคยเปลี่ยนผ่านจากเมืองเหมืองดีบุกสู่เมืองท่องเที่ยว หลังเหตุการณ์ชาวบ้านเผาโรงงานแทนทาลัมที่ภูเก็ต เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2529 ซึ่งแร่แทนทาลัมเป็นหนึ่งในแร่สำคัญใน MOU ไทย–สหรัฐฯ

“MOU ฉบับนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนโฉมผืนแผ่นดินภาคใต้ให้กลายเป็นฐานการลงทุนใหม่ของต่างชาติ ผลักดันการสำรวจและทำเหมืองแร่สำคัญและแร่หายากที่อยู่ร่วมกับสายแร่ดีบุกในอันดามัน” กลุ่มกล่าว พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ ไม่บีบไทยไปสู่หนทางพัฒนาที่ทำลายสิ่งแวดล้อม และเป็นทางผ่านแร่จากเมียนมา–ลาวไปสู่โลก

กลุ่มผู้คัดค้านอ่านแถลงการณ์หน้าสถานเอกอัครราชทูต พร้อมจัดละครสั้นเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เล่าเรื่องผลกระทบจากการทำเหมืองแร่หายากต่อแม่น้ำสายสำคัญของไทย อย่างแม่น้ำสาย แม่น้ำกก แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง และฉากละครการเซ็น MoU ระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีไทยอนุทิน ชาญวีรกูล ก่อนฉีก MoU ทิ้งในการแสดงเดียวกันนั้น

กลุ่มส่งข้อความว่า “แร่คือสมบัติของประชาชน” และการลงนามข้อตกลงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรต้องยึดหลักการมีส่วนร่วม ความโปร่งใส สิทธิมนุษยชน

จีนขยายเหมืองแร่ในเมียนมา

เมื่อสหรัฐฯ ได้ลงนาม MoU กับไทยและมาเลเซีย จ่อขยาย “ความร่วมมือ” ด้านแร่หายาก/แร่สำคัญในภูมิภาค การแข่งขันอุตสาหกรรมนี้จีนก็ไม่ได้อยู่เฉย เพราะเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 มูลนิธิสิทธิมนุษยชนชาวไทใหญ่ (SHRF) ออกแถลงการณ์เปิดเผยจากภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดว่า จีนกำลังขยายเหมืองแร่สำคัญในเมียนมา

ตามรายงานของ SHRF บริษัทไชน่า อินเวสต์เมนต์ ไมน์นิ่ง (China Investment Mining Company) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน ริมสองฝั่งแม่น้ำกกในเมืองยอน ทางใต้ของเมืองสาด ภาคตะวันออกของรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

“ภาพถ่ายดาวเทียมเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากของพื้นที่ทำเหมืองทองคำ ซึ่งอยู่ที่แหล่งต้นน้ำห่างจากพรมแดนไทย อำเภอท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ 30 กิโลเมตร โดยมีการก่อสร้างโครงข่ายถนนและเหมืองแร่ใหม่บริเวณเชิงเขาที่มีป่า ทั้งยังมีการปล่อยกากของเสียจากเหมืองเหล่านี้ ซึ่งประกอบด้วยโลหะหนัก ไหลลงสู่แม่น้ำกกโดยตรง ปัจจุบันยังคงมีการสกัดสินแร่ทองคำตามบริเวณที่ตั้งของโรงงานแห่งต่าง ๆ ที่อยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำกก และมีแนวโน้มว่าจะมีการปล่อยสารเคมีที่เหลือจากกระบวนการเข้าสู่แม่น้ำกกโดยตรง” แถลงการณ์ SHRF กล่าว

มูลนิธิฯ ชี้ว่า การทำเหมืองดังกล่าวใช้วิธีสกัดแร่แบบชะละลาย (in-situ leaching) ที่สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการฉีดสารเคมีจำนวนมากเข้าไปในเชิงเขา และการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเหมืองแร่หายากนี้มีการปล่อยสารพิษอันตรายเข้าสู่แม่น้ำกก ซึ่งมีประชาชนคนไทยกว่าหลายล้านคนอาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย รวมถึงประชาชนอีกหลายสิบล้านคนซึ่งอาศัยอยู่ด้านท้ายน้ำของแม่น้ำโขง เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นแม่น้ำสาขาที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง

ตามคำบอกเล่าของนักวิชาการ และกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมมหาศาลจากการเข้าร่วมเวทีการชิงอำนาจเหนือแร่สำคัญ ที่ประเทศไทยเองอาจไม่ได้สำคัญไปกว่าการเป็นหมาก รูปแบบความร่วมมือและการพัฒนาที่สองชาติผู้ลงนามอ้างถึง อาจเป็นคำตอบว่า สิ่งที่ไทยจะได้รับแท้จริงคือความเสียหายหรือการพัฒนา


แชร์
MoU แร่หายาก ไทยเป็นหมากหรือผู้เล่น? ในกระดานที่ราคาสิ่งแวดล้อมสูงลิ่ว