"เสธ.โหน่ง " งง! นายกฯขอเลี่ยงใช้คำที่กระทบเขมร
"เสธ.โหน่ง " งง! นายกรัฐมนตรี ขอให้ใช้คำว่าเขมรไม่ร่วมมือแทนคำว่าว่าเขมรขัดขวางเก็บกู้ทุ่นระเบิด และขอให้เลี่ยงคำว่าเชลยศึก
จากกรณีที่ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาบอกว่าให้สัมภาษณ์ว่า ให้เลี่ยงคำว่าเขมร ขัดขวางการเก็บกู้ทุ่นระเบิด แต่ให้ใช้คำว่าไม่ร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และก่อนหน้านี้ยังขอให้เลี่ยงคำว่าเฉลยศึกทั้ง 18 คน แต่ให้ใช้คำว่าผู้ถูกควบคุมตัว ทำให้เกิดข้อสงสัย ว่าทำไมนายกรัฐมนตรี ถึงการเลี่ยงคำเหล่านี้ กลัวจะกระทบจิตใจเขมรหรือไม่ หรือมีนัยยะสำคัญอะไรถึงต้องเลี่ยงคำเหล่านี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
วันนี้เราได้ถามกับ พลโท พงศกร รอดชมภู อดีตประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ บอกว่าก็ยังรู้สึกงงว่าทำไมนายกรัฐมนตรีถึงต้องการให้เลี่ยงคำว่าเชลยศึก ก็ทำให้ใช้คำว่าเฉลยศึกทั้ง 18 คนก็คงต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมายของไทยเพราะทั้ง 18 คน ที่ถูกควบคุมตัวไว้ได้แต่งเครื่องแบบค่ายทหารและมีอาวุธซึ่งส่อเจตนาว่าเป็นจารชน ซึ่งก็ต้องรับโทษหนักแต่ถ้าเป็นเชลยสึกจะอยู่ในเงื่อนไขของการส่งตัวแลกเปลี่ยนได้จึงมองว่าไม่เห็นมีความจำเป็นจะต้องเลี่ยงคำนี้
เช่นเดียวกับ เรื่องเขมรไม่มาเก็บกู้ทุนระเบิดร่วมกับไทย ซึ่งมีการขัดขวางจริงก็สามารถใช้คำนี้ได้แต่ถ้าเกิดว่าเขมรมาสังเกตการณ์ถ่ายคลิป หรือ ถ่ายภาพในพื้นที่อ้างสิทธิ์ก็อาจจะใช้คำว่ายังไม่มีความร่วมมือก็ได้เพราะยังไม่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้เข้ามา ทั้งหมดทั้งมวลจึงมองว่าไม่เห็นมีความจำเป็นหรือมีนัยยะอะไรที่จะต้องเลี่ยงหรือใช้คำพูดที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะการเก็บกู้ทุนระเบิดก็อยู่ในเงื่อนไขข้อตกลงสันติภาพ ที่ไทยกับกัมพูชาสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ไปเซ็นไว้ ถ้าไม่เห็นเอ็งไม่ยอมทำตามก็หมายความว่าผิดเงื่อนไขในข้อตกลงสันติภาพ ก็ไม่เข้าใจว่านายกรัฐมนตรีต้องการจะสื่อสารอะไร
ต่อมาทีมข่าวได้ไปพูดคุยกับนายสัมพันธ์ แก้วประเสริฐ อายุ 64 ปี อดีตทหารพราน ที่เคยปฏิบัติหน้าที่อยู่แนวหน้าทั้งในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี 2533 - 2565 บอกว่า สถานการณ์ชายแดนตอนนี้ ยังถือว่าไม่น่าไว้วางใจ เพราะหากดูเผินเหมือนจะนิ่งๆ ไม่มีอะไร แต่จากการพูดคุยกับรุ่นน้องทหารพราน ที่อยู่แนวหน้า ยืนยันว่า ทหารกัมพูชายังตรึงกำลังอยู่ โดยไม่ได้มีการถอนกำลังออกไป /นอกจากนี้ยังมีการยั่วยุ ด้วยการตะโกนโวยวาย ด่าทอหยาบคายเป็นภาษาไทย สร้างแรงกดดันให้ทหารไทยอยู่ตลอด
ส่วนภาพการถอนอาวุธหนักของกัมพูชาที่ปรากฎผ่านสื่อต่างๆของเขา นั้น นายสัมพันธ์ บอกเป็นการ “ แสดงละคร ” เพื่อให้นานาชาติเห็นว่าปฏิบัติตามข้อตกลง แต่ความเป็นจริง คือ บริเวณแนวชายแดน โดยเฉพาะตามจุดที่สำคัญ ทหารกัมพูชายังมีการตรึงกำลัง พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ไว้เหมือนเดิม แค่อาจมีการนำอาวุธต่างๆ รวมถึง BM21 ไปจอดซ่อนไว้ตามถ้ำ และชะง่อนหน้าผา ซึ่งจากประสบการณ์ ยืนยันว่า กัมพูชาจะไม่มีการถอนกำลังพล หรือ อาวุธต่างๆ ออกไปทั้งหมดแน่นอน
นายสัมพันธ์ บอกว่า ตัวเองเป็นอีกคนที่ไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลไปลงนามสันติภาพกับกัมพูชา แล้วยังมองว่าเป็นการ “ ยอม ” ให้กัมพูชาเร็วเกินไป ซึ่งอาจทำให้กัมพูชาสร้างเงื่อนไขกับประเทศไทยไปอย่างไม่จบไม่สิ้น เพราะในการสู้รบกันนั้น ต้องให้ถึงขั้นแตกหักก่อน จึงค่อยไปเจรจา ถึงจะทำให้บรรลุเป้าหมายที่แท้จริง โดยชาวบ้านชายแดนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับกับการลงนามสันติภาพของรัฐบาลในครั้งนี้ จนถึงขั้นพูดได้ว่า “ ชาวบ้านมั่นใจในทหารมากกว่ารัฐบาล ” ไม่อยากให้ทหารถอนกำลังออกจากพื้นที่ เพราะชาวบ้านรู้ดีว่า “ กัมพูชาไว้ใจไม่ได้ พร้อมที่จะแว้งกัดอยู่ตลอด “
ส่วนที่นายกรัฐมนตรียืนยันว่าการลงนามสันติภาพนั้นไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบ หรือ เสียดินแดน นายสัมพันธ์ ระบุว่า ตัวเองเห็นต่าง แล้วยิ่งจะทำให้ชาวบ้านอยู่ไม่เป็นสุข เพราะจะคิดอยู่ตลอด ว่า สักวันนึง กัมพูชาจะต้องยิงถล่มใส่ประเทศไทยอีก ดังนั้น การลงนามสันติภาพในครั้งนี้ ตัวเองจึงมองว่า เป็นข้อได้เปรียบของกัมพูชา
ส่วนประเด็นที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ไม่อยากให้ใช้คำว่า กัมพูชาขัดขวางการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ นายสัมพันธ์ บอกท่าทีแบบนี้มีแต่ยิ่งจะทำให้กัมพูชาหึกเหิม และยอมรับว่าจากพูดคุยกับทหารรุ่นน้องที่อยู่แนวหน้า หลายคนรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์แบบนี้ และบางคนรู้สึกท้อที่มีการเมืองเข้ามาแทรกแซง
นายสัมพันธ์ บอกจากประสบการณ์เป็นทหารพรานมาเกือบ 40 ปี ยืนยันว่า หากไทยไม่สู้รบให้เด็ดขาด สถานการณ์ชายแดนก็จะไม่จบ ดินแดนที่เสียไปก็จะไม่ได้คืน รวมถึงปราสาทตาควาย ที่ถูกทหารกัมพูชายึดครองในขณะนี้
Advertisement
