
จากกรณีมีนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถือป้ายข้อความเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมปี 53 ระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับเชิญไปบรรยายที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ และนายอภิสิทธิ์ได้พูดคุยทำความเข้าใจกับนิสิตกลุ่มดังกล่าวนั้น
ล่าสุด นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความประจำตัวนายทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว ความว่า “#ถามวัวตอบควาย จากข่าวนิสิตจุฬาฯ ชูป้าย ต่อหน้านายอภิสิทธิ์ แต่คำตอบที่ได้ นอกจากไม่ได้ตอบแล้ว ก็ได้โต้ตอบกลับด้วยผลของคดีของเขา ผมจะมาย้อนให้หลายๆคนทราบ
[1]การชุมนุมของคนเสื้อแดงร่วมแสนในปี 2553 จบลงด้วยประชาชนนับ 1,000 ราย ถูกดำเนินคดีด้วยประกาศต่างๆตามพ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ของ ศอฉ.โดยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการจับผู้ฝ่าฝืนการชุมนุมดำเนินคดีข้อหาร้ายแรงกว่า 100 คดี ทั้งในกรุงเทพฯปริมณฑลและต่างจังหวัด
[2]ต่อมาภายหลังจาก คสช. ยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง(รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) กระทั่งเมื่อ 22 พฤษภาคม 2558 ได้ 1 ปีเศษ อะไรๆภายใต้อำนาจ คสช.ก็เกิดขึ้นภายใต้อำนาจดุลพินิจ ของ ป.ป.ช.
ใช่ครับ ผมกำลังกล่าวถึง อำนาจของรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นพลเรือน ใช้อำนาจบริราชการแผ่นดินจนเกิดความรุนแรงทางการเมือง ทำให้เกิดการสังหารประชาชนกว่า 100 ศพ
"คดีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง"
[3]ในฐานะที่ผมเป็นคนหนึ่ง ที่อยู่ในที่ชุมนุมปี 2552,2553 ต่อมาได้ทำหน้าที่ทนายความในการพิสูจน์ความจริงจากการถูกใส่ร้าย การต่อสู้คดีของคนเสื้อแดง ต่างรู้ดีว่าผู้ที่มีอำนาจและเจ้าหน้าที่รัฐที่มาเกี่ยวข้องกับการใช้กองกำลังทหารเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างโหดร้ายและไร้มนุษยธรรม
นี่คือหนึ่งเหตุการณ์… เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลา 03.00 ศอฉ.ดำเนินการมาตรการปิดล้อมและสกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อขอคืนพื้นที่ตามแนวทางสั่งการของรัฐบาล โดยมีข้อมูลตามกระดานเขียนข่าว ว่า ผอ.ศอฉ. ได้สั่งการให้มีการใช้อาวุธปืนและกระสุนจริง พร้อมยุทโธปกรณ์ทางการทหารเต็มอัตราศึกบุกเข้าทำลายแนวกั้นของผู้ชุมนุม เพียงเพื่อต้องการให้ยุติการชุมนุมและจับตัวแกนนำ
ผลที่ตามมาคือความตายและการเจ็บของประชาชนจำนวนมาก
[4]“เหตุการณ์ 6 ศพ วัดปทุมวราราม”
ในการสลายชุมปี53 ดีเอสไอ ได้ส่งสำนวนคดีพิเศษ ที่ศาลมีคำสั่ง ไต่สวนชันสูตรพลิกศพ ไปยังอัยการสำนักงานคดีพิเศษแล้วหลายคดีซึ่งรวมถึงการตั้งรูปคดี เป็นสำนวนการวิสามัญฯ ที่ 6 ศพวัดปทุมฯ ที่ศาลมีคำสั่งไต่สวนชันสูตร 6 ศพ วัดปทุมฯ เเล้วได้เคยถูกส่งมาเป็นสำนวนประกอบท้ายสำนวนในคดีที่อัยการสำนักงานคดีพิเศษฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เเละนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในความผิดฐานร่วมกันก่อ หรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำหรือฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และ พยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เเต่การส่งมาในขณะนั้นเป็นเพียงสำนวนประกอบเพื่อเอาผิด นายอภิสิทธิ์ เเละนายสุเทพ ซึ่งเป็นสำนวนหลัก
โดยขณะนั้นทางดีเอสไอเเจ้งกับทางอัยการว่า “ ยังไม่สามารถหาตัวผู้ยิงได้ว่าเป็นใคร” เเต่ส่งมาเพื่อประกอบสำนวนของอภิสิทธิ์ เเละนายสุเทพ
อัยการก็ยื่นฟ้องไปโดยเเนบคำสั่งศาลคดี 6 ศพ วัดปทุมฯเเละสำนวนไต่สวนการตายอื่นๆ ไปท้ายฟ้อง โดยที่ยังไม่ได้พูดในเนื้อหาว่าคดีที่ศาลมีคำสั่งไต่สวนการตายมาเเล้วว่าใครเป็นผู้กระทำเนื่องจากทางพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ยังไม่ทำสำนวนมา เป็นเพียงเเต่การเเนบสำนวนไปให้ศาลเห็นว่าอภิสิทธิ์ เเละนายสุเทพเป็นผู้สั่งการเเละใช้ให้มีการกระทำเกิดขึ้น เเต่ต่อมาภายศาลฎีกามีคำสั่งยกฟ้องเนื่องจากเห็นว่าเป็นอำนาจ ปปช.
"จึงมีมติให้ส่งเรื่องการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทหารที่เป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว รวมทั้งนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ ซึ่งมิใช่บุคคลตามมาตรา 66 (ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง) ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษต่อไป.."
นั่นคือ ถ้อยแถลงบางส่วนของข่าวสำนักงานป.ป.ช. ที่เผยแพร่อออกมา (ดูภาพประกอบ)
[5] ป.ป.ช.ในยุค คสช. ยอมรับในตัวว่า ทหารเป็นผู้ทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บขึ้นกับประชาชนจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมทั้งเดือนเมษายน- พฤษภาคม 2553 เพราะหลักฐานมันชัดแจ้งจนยากที่จะไม่ยอมรับ
แต่คนที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งให้ใช้กำลัง ให้ใช้อาวุธปืนกระสุนจริง ทั้งซุ่มยิงทั้งยิงโจ่งแจ้ง ก็เป็นไปตามทางไต่สวนฯ คือ พ้นผิดจากข้อกล่าวหา
จากการไต่สวนคดีนี้ ส่งผลในทางกฎหมายทันทีว่า
*ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 รายกับพวก ได้ทำตามหน้าที่โดยมีมาตรการจากเบาไปหาหนักแล้ว ส่วนเรื่องที่มีมติส่งไปให้ดีเอสไอสอบสวนต่อนั้น คือกรณีที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากในที่เกิดเหตุ เพื่อให้ดีเอสไอ สอบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดกรณีที่ทำให้มีการตายเกิดขึ้น หรือการฆ่าคนตายที่เกิดขึ้นจากผู้ที่ยิงถือเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ไม่เกี่ยวข้องกับผู้สั่งการแต่อย่างใด
•
[6] บทละครแบบนี้ คือ การโยนให้ดีเอสไอก็เพื่อเอาไว้ตอบสังคมว่าให้หาคนฆ่าประชาชนมาให้ได้สิ ทั้งๆที่ได้รับรองโดยการสอบสวนของป.ป.ช. ว่าทำโดยชอบ พอสมควรแก่เหตุ และโดยสุจริต ตามนัย ม.17 แห่งพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไว้แล้ว ฉะนั้น การจะเอาผิดกับผู้ปฏิบัติย่อมไม่ได้ เพราะได้ประโยชน์จากผลการไต่สวนฯและข้อยกเว้นความรับผิดนั้นแล้ว (จบไหม?)
ข้อกล่าวหาว่า ”การใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารระงับเหตุไม่เป็นไปตามหลักสากล และไม่อยู่ในเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด การกระทำของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพจึงเข้าข่ายความผิดการใช้อำนาจโดยมิชอบนั้น เป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตาม ป.อ. ม.157“ คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยตรง และไม่อยู่ในอำนาจของศาลอาญา
[7] มันไม่ใช่คดีฆาตกรรม(ป.ป.ช.และศาลยุติธรรม เห็นสอดคล้องกัน) ทั้งๆที่การฟ้องคดีต่อศาลอาญา เจ้าพนักงานใช้อาวุธสงครามยิงผู้ตาย ย่อมเป็นการกระทำนอกเหนือตำแหน่งหน้าที่ราชการของจำเลยทั้งสอง ทั้งการ มีคำสั่งอนุมัติใช้อาวุธและกระสุนจริง รวมทั้งพลแม่นปืนปฏิบัติหน้าที่ จำเลยทั้งสองมีเจตนาเล็งเห็นผลว่าเจ้าพนักงานจะใช้อาวุธสงครามยิงประชาชนได้ เป็นเรื่องการกระทำนอกเหนือตำแหน่งราชการ เป็นการก่อหรือใช้ให้เจ้าพนักงานกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น เป็นความผิดฐานก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่าคนตายตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 84
* สรุป คดีทั้งหมดเกี่ยวกับการชุมนุม 2553 จึงกลับมาอยู่ในมือของป.ป.ช.
สุดท้ายส่งท้ายปี (29 ธ.ค.58) ป.ป.ช. มีมติให้ทั้งสองคดีตกไป เพราะเห็นว่าการ คำสั่งที่มีหลักฐานลงนามโดย ผอ.ศอฉ. ที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัวเพื่อป้องกันตนเองได้จะเป็นไปตามหลักสากล คือ ความตายที่เกิดจากอาวุธทหารเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ
[8] ที่อดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อธิบายกับน้องนักศึกษาคนนั้น ตอบได้ถูกต้องในผลของคดีที่กล่าวหาเขา เพราะ…
ศาลยุติธรรมไม่มีอำนาจพิจารณาสำนวนสอบสวนความผิดที่อยู่ในอำนาจ ป.ป.ช. แต่ ป.ป.ช. ปิดจบ(ไง)
แต่ความรับผิดชอบทางมนุษยธรรมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อเหตุโศกนาฏกรรมที่ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย จากการชุมนุมทางการเมือง มันยากที่จบลงด้วยการเดินหนีไป
Advertisement