
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ, พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม, พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย, พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก, พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ, พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ และพล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงความคืบหน้าจากผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรี และ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (Joint Declaration) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (JBC และ GBC) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า การแถลงข่าววันนี้เพื่อสร้างความมั่นใจกับพี่น้องประชาชน เหตุการณ์ชายแดน โดยย้อนไปที่ผ่านมา เริ่มต้นตั้งแต่ กัมพูชาเข้ามาขุดคูเลต จากนั้นในช่วงเดือนกรกฎาคม ก็เป็นช่วงที่ไทยได้ความสูญเสีย คือทหารเหยียบกับระเบิดในบริเวณพื้นที่ตรวจการของฝั่งไทย ทำให้สูญเสียขา ทั้งสิ้น 3 ราย และระเบิดลูกแรกของกัมพูชาตกลงฝั่งไทยที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดศรีสะเกษ นำมาซึ่งความสูญเสีย และเราคิดว่าความสูญเสียนี้หนักหนาสาหัสเหลือเกินสำหรับคนไทย เราสูญเสียชีวิตพลเรือน 8 คน และมีเด็กอายุ 8 ขวบด้วย เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเรามีความโกรธแค้นในความสูญเสีย และความเสียใจ
และหลังจากนั้นมีการโต้ตอบกัน 4 วัน 5 คืน สูญเสียทหารนับ 10 ราย บาดเจ็บ 666 คน ซึ่งเหตุการณ์นั้น ดำเนินการมาจนกระทั่งถึงวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ได้มีการลงข้อตกลงหยุดยิงระหว่างรักษาการนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น กับกัมพูชาที่มามาเลเซีย โดยมีการหยุดยิงทั้งสองประเทศ และเริ่มมีผู้สังเกตการณ์ คือ สหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย ดังนั้น การดำเนินการใดใดที่จะเกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา จะเป็นเรื่องที่ถูกสังคมโลกจับตามอง สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือไทย และกัมพูชามีพื้นที่ติดกัน เราไม่ได้ลืมความเจ็บแค้น แต่วันนี้เรากำลังพูดถึงเมื่อมีแผ่นดินที่ติดกัน และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้จะเดินหน้าอย่างไร
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า แนวทางการปฏิบัติต่อกันอย่างไร ระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งเรายืนยันใน 4 ข้อหลัก และวันนี้มีการเซ็นเอกสารเพิ่มเติมคือ Joint Declaration ว่าไทยและกัมพูชาจะดำเนินการอย่างไรต่อกัน พร้อมย้ำว่า ประเทศไม่สามารถเดินหน้าได้ด้วยข่าวลือ แต่ประเทศจะเดินหน้าด้วยข้อเท็จจริง
นายสิริพงศ์ ยืนยันว่า มาตรการการดำเนินการภายใต้รัฐบาล ทางกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ มีการประสานงานพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวทางกันอย่างใกล้ชิดตลอด
นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฎิบัติตามตามเอกสารแถลงถ้อยแถลงผลการผลการพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทย และ นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา และกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 โดยจะมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธานคณะกรรมการ มีหน้าที่ในการติดตามประเมินผล ทั้งการดำเนินการของทั้ง2 ฝ่าย และมีหน้าที่อำนวยการคณะสังเกตการณ์
นายสิริพงศ์ กล่าวสรุปด้วยว่า “รัฐบาลมีความมุ่งมั่นตั้งใจ จะนำความสงบสุขกลับมาคืนสู่คนไทยทุกคนในประเทศนี้ โดยยึดหลักที่เราจะไม่เสียดินแดน ไม่เสียอธิปไตย แม้แต่ตารางเซ็นติเมตรเดียว ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้เลยว่า ตั้งแต่นายอนุทิน มาเป็นนายกรัฐมนตรี เราไม่มีดินแดนไทยไหน แม้แต่ตารางเซ็นติเมตรเดียวที่เราสูญเสียให้กัมพูชา เราไม่มีอวัยวะชิ้นไหน ของทหารผู้เสียสละที่จะเสียไปจากสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา เราไม่ได้เห็นเลือดของทหารเหล่านั้น หยดลงบนผืนดินไทย และที่สำคัญที่สุดเราไม่เห็นเลือดของประชาชนที่ต้องไหลลงผืนดินไทยตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นแนวทางต่อไป รัฐบาลมีความตั้งใจอยากจะทำให้ทุกคนเป็นปกติสุข ภายใต้เงื่อนไขรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของไทย”
ส่วนการเปิดด่านยืนยันนโยบายรัฐบาลชัดเจนมาก ยังไม่มีการพูดเรื่องเปิดด่าน ซึ่งการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาจะเป็นสิ่งสุดท้าย ที่พิจารณา ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาต้องทำตามเงื่อนไขในข้อแถลง 4 ข้อ และขอให้ท่านทุกท่านมั่นใจว่า รัฐบาลไทยไม่ย่อหย่อน และไม่มีทางที่จะย่อหย่อนต่อกัมพูชาอย่างแน่นอน
โฆษกรัฐบาลที่พูดถึงประเด็นเรื่อง 18 ทางกัมพูชา ซึ่งยืนยันว่า กระบวนการเหล่านี้จะเริ่มต้นก็ต่อเมื่อกัมพูชาได้ทำตามข้อตกลง 4 ข้อทั้งหมด ซึ่งขณะนี้นี้อยู่ระหว่างการประเมินว่า กัมพูชาได้ทำตามข้อตกลง 4 ข้อที่ไทยเรียกร้องหรือไม่
เมื่อถามว่า แม้ว่า 1 เดือนที่ผ่านมาของรัฐบาลไม่ได้เสียดินแดน แต่ความรู้สึกของประชาชนที่เสียประสาทตาควาย, ประสาทคนา และเนิน 677 รัฐบาลจะเอาอะไรไปเจรจาไม่ให้ไทยเสียประโยชน์โฆษกรัฐบาล ระบุว่า เรื่องความรุนแรงได้จบไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม รัฐบาลไม่สามารถที่จะไปใช้กำลังรุกรานก่อนได้ แต่แนวทางที่จะทำก็คือ สันติวิธีการเจรจา ในเรื่องของการปักปันเขตแดน พูดคุยข้อพิพาทที่เป็นปัญหา ซึ่งต้องเป็นเรื่องที่ต้องมาพูดคุยกันในระดับทวิภาคีรวม ซึ่งหมายถึงทุกพื้นที่ ซึ่งยังไม่มีกรอบเวลาในระยะสั้น ซึ่งต้องดำเนินการตาม 4 ข้อตกลงก่อน
นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า มีการประชุม JBC ในวันที่ 21-22 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่จันทบุรี แบ่งได้เป็น 3 ประเด็น 1.ในการซ่อมแซมหลักเขตแดนเดิมที่เสียหาย ที่เห็นตรงกันแล้ว 2. การแก้ไข TOR ปี2003 และนําเทคโนโลยีมาทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศภายในสัปดาห์แรปของเดือนธันวาคม 2568 3. เห็นพ้องกระบวนการสํารวจและจัดหมุดชั่วคราวบริเวณเร่งด่วน หลักเขต 42-47 ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนและให้หน่วยงานท้องถิ่นจัดการประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองที่ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หวังว่าจะมีส่วนช่วยในการลดความกระทบกระทั่งและความขัดแย้งในรูปแบบต่างๆ
นายเบญจมินทร์ กล่าวอีกว่า ทางฝ่ายกัมพูชาอยู่ระหว่างร่างคําแนะนําทางเทคนิคในการสํารวจหลักเขตแดนชั่วคราวบริเวณเร่งด่วน ส่วนฝ่ายไทยได้จัดทําร่างและเสนอไปแล้ว อยู่ระหว่างรอคําตอบในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 และเริ่มสำรวจเพื่อวางหลักเขตแดนชั่วคราวในวันที่ 17 พฤศจิกายน พร้อมเสนอให้รัฐบาลแต่ละฝ่ายเห็นชอบ
นายเบญจมินทร์ ยืนยันว่าการวางหลักเขตแดนชั่วคราว เพื่อการสํารวจเท่านั้นไม่ได้กระทบต่อสิทธิของไทยและกัมพูชา ในเขตแดนทางบกตามกฎหมายของประเทศ และจะมีการประชุม JBC อีกครั้ง เพื่อติดตามความคืบหน้าที่ทั้งสองฝ่ายดําเนินการในช่วงต้นเดือนมกราคม 2569
ด้านพล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า การทำงานร่วมกันระหว่าง JBC และ GBC ก่อนจะนำมาสู่ Join Declaration โดย GBC ไทย และกัมพูชา มีการจัดตั้งมานานแล้ว และมีการพูดคุยกันทุกปี โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ ที่เป็นข้อบังคับว่า JBC จะจัดประชุมได้แค่ครั้งเดียวต่อปี แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาทำให้เราต้องใช้กลไกการเชิญประชุมร่วมกัน ถึงเป็นสมัยวิสามัญ ท้ายที่สุดการเจรจาเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่สนามสองฝ่ายเข้าสู่สันติ และหัวใจสำคัญคือประชาชน
ข้อตกลงจากการประชุม GBC เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม คือหยุดยิงโดยอาวุธทุกชนิด ไม่มีการเคลื่อนย้ายตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม ไม่มีการเพิ่มกำลังเข้ามาตลอดแนวชายแดน ละเว้นการยั่วยุที่จะอาจจะนำไปสู่ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ละเว้นการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร หรือการเสริมความมั่นคงของที่การทหาร งดเว้นการใช้กำลังทุกประเภทต่อคนพลเรือน และเป้าหมายทางพลเรือนโดยเด็ดขาด กรณีที่มีการขัดกันด้วยอาวุธทุกชนิด ให้ทั้งสองฝ่ายหารือกันในระดับพื้นที่ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ให้เร็วที่สุด
ส่วนข้อตกลงในวันที่ 10 กันยายน ได้ร่วมหยิบยกในประเด็น 4 ข้อ คือการถอนอาวุธหนัก เก็บกู้ทุ่นระเบิดปราบปรามสแกมเมอร์ และการฟื้นฟูนำพื้นที่ที่มีปัญหาไปสู่ความสงบ โดยเรื่องการถอนอาวุธหนัก มีการทำแผนปฏิบัติการในการถอนอาวุธภายในสามสัปดาห์ และเห็นชอบหลักการเกี่ยวกับข้อกำหนดขอบเขตการปฎิบัติหรือ TOR สำหรับการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ก่อนที่จะมีการเห็นชอบกรอบแนวทางการปฏิบัติ โดยกำหนดวันเริ่มต้น และเห็นชอบขอบเขตการปฎิบัติสำหรับการจัดตั้ง AOT
ทั้งนี้ มีการถอนอาวุธหนัก อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (ประเภท A) ภายใต้ระยะที่ 1 จะดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 1 - 21 พฤศจิกายน 2568 สำหรับระยะที่ 2 จะดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน - 12 ธันวาคม 2568 และการถอนอาวุธหนักและอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงในระยะที่ 3 (ประเภท C) กำหนดให้ดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 13 - 31 ธันวาคม 2568 โดยคาดว่าจะสอนกำลังแล้วเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ ครอบคลุมระยะเวลา 2 เดือน
พล.ร.ต. สุรสันต์ ยืนยันว่า เป็นแค่การถอนอาวุธหนัก กองกำลังป้องกันชายแดนที่มีการวางกำลังอยู่ในพื้นที่เดิมนั้นไม่มีการถอนกำลังใดๆ คนที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน ก็จะปฎิบัติหน้าที่เช่นเดิม ขอให้ความมั่นใจว่าเรายังทำโครงการปกป้องอธิปไตยของชาติของประเทศไทยต่อเนื่อง ไม่มีการถอนกำลังพล ถอนขีดความสามารถของเราตามแนวชายแดนใดๆ
สำหรับภารกิจของ AOT เรามีกลไกเป็นตัวกำกับ เพื่อให้รายงานไปยังหน่วยขึ้นตรงหากมีปัญหาใดๆ ทั้งสองฝ่ายจะรายงานไปที่ฝ่าย AOT เพื่อให้สร้างแรงกดดันไปยังอีกฝั่ง ยืนยันว่า เรามีกลไกตรวจสอบและการปฎิบัติเรียบร้อย
ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ถือเป็นประเด็นสำคัญช่วงเวลาที่ผ่านมา GBC มีการประชุมเรื่องนี้เช่นเดียวกัน โดยมีการพูดคุยการจัดตั้งชุดประสานงานร่วมเฉพาะกิจ (Joint Coordinating Task Forces : JCTF) โดยมีการหารือ และจัดทำมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงานในการเก็บกู้ทุนระเบิด และกำหนดพื้นที่นำร่องในการเก็บกู้ภายใน 1 เดือน ต่อมาที่ประชุมรับทราบ และจัดตั้งคณะดังกล่าว ก่อนจะบรรลุข้อตกลง SOP ในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด
ทั้งนี้ ฝ่ายไทยเสนอพื้นที่นำร่อง 13 พื้นที่ โดยฝ่ายกัมพูชาไม่ได้เสนอพื้นที่ใด ๆ ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะเสนอมาเพียง 1 พื้นที่เท่านั้น โดยทั้ง 13 พื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ตลอดแนวชายแดน และเรามีกลไกเรื่องการเจรจาและพูดคุยเพื่อให้บรรลุการเก็บกู้ทุนระเบิด ย้ำว่า 13 พื้นที่ปฏิบัติการ ที่มีข้อตกลงกับกัมพูชาลักษณะการทำงาน จะแบ่งงานออกไปว่าอธิปไตยของใครก็เป็นของคนนั้น
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวอีกว่า ถือว่าการดำเนินการในเรื่องนี้มีความคืบหน้าไปบ้าง แม้จะมีการขัดขวางจากฝ่ายตรงข้ามแต่ยังยืนยันที่จะเก็บกู้ เพื่อความปลอดภัยทางชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยเป็นไปตามกรอบอนุสัญญาออตตาวา
พล.ร.ต. สุรสันต์ กล่าวว่า มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วม (Joint Task Force) มีแผนปฏิบัติการในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ ซึ่งขณะนี้มีการจัดส่งรายชื่อ และจัดตั้งคณะขึ้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนการลงนามกันของทั้งสองประเทศเห็นถึงความสำคัญของเรื่องดังกล่าว และให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของที่ประชุม GBC
ด้าน พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า การปราบปรามไซเบอร์สแกมเมอร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง มีการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะในปัจจุบัน สแกมเมอร์พัฒนารูปแบบเป็นองค์กรระดับชาติ โปดยไทยได้ประสานความร่วมมือกับประเทศกัมพูชา ตั้งแต่ปี 2564 ในการรับตัวคนไทยที่ถูกหลอกลวง และที่สมัครใจ จนกระทั่งปี 2568 ตั้งแต่เดือนมีนาคม ได้มีการส่งตัวคนไทยกลับมาดำเนินคดี รวมแล้ว 249 คน ทั้งนี้ ในเดือนกันยายน ทางไทยได้มอบข้อมูลเป้าหมายที่เป็นจุดสำคัญของไซเบอร์สแกม กว่า 62 เป้าหมายในกัมพูชา ให้กัมพูชาได้ตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ
นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผบ.ตร. ได้ลงนามแผนปฏิบัติการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อันประกอบด้วย การหลอกลวงไซเบอร์และการค้ามนุษย์ ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา โดยหัวใจสำคัญคือเป็นการกำหนดแผนร่วมกัน 8 ข้อ ได้แก่ การแบ่งปันข่าวกรอง 2 ระดับ คือข่าวกรองทั่วไป และข่าวกรองปฏิบัติการ , การป้องกันอาชญากรรม คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ต้องสงสัยข้ามแดน , การปฎิบัติการพร้อมกัน 2 ประเทศ , การส่งผู้ต้องสงสัยและคุ้มครองเหยื่อ , การประชุมติดตามผล โดยจัดอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง , คณะทำงานร่วม ฝ่ายละ 12 นาย พร้อมเจ้าหน้าที่ประสานงานโดยตรง, ระยะเวลาบังคับใช้ ภายใน 2 ปี ตั้งแต่ 23 ตค 68 - 22 ตค 70 และลักษณะข้อตกลง เป็นความร่วมมือเสริมไม่แทนที่สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ยังกล่าวต่อว่า ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในประเทศ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ มีการตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้ง มีการตั้งศูนย์วอร์รูม และประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทยอีกด้วยนอกจากนี้ ยังเปิดปฏิบัติการ ซิม สาย เสา โดยเฉพาะการตรวจสอบสายสัญญาณอินเตอร์เน็ต
และเสาปล่อยสัญญาณโทรศัพท์อินเตอร์เน็ตในพื้นที่ เพื่อรวบรวมข้อมูล และยกระดับการแก้ไขปัญหาสกัดกั้นการส่งสัญญาณข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มสแกมเมอร์ รวมถึง โครงการ money cash back เพื่อสกัดกั้นคนที่เข้าไปร่วมกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งเป็น มาตรการเร่งด่วน สามารถดำเนินการคืนเงินให้กับผู้เสียหายเร็วสุดภายใน 9 วัน โดยในระยะเวลาอันสั้นที่ได้ดำเนินโครงการมา สามารถคืนเงินให้กับผู้เสียหายแล้วกว่า 250 ล้านบาท
สำหรับการบริหารจัดการพื้นที่ขัดแย้งตามแนวชายแดนบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว ถือเป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา จะต้องดำเนินการให้กลับมาสู่สภาวะปกติ โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศสำรวจเส้นเขตแดน และแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ของใคร
เมื่อถามว่า หากกัมพูชาไม่ปฏิบัติตาม พล.ร.ต.สุรสันต์ ระบุว่า AOT จะเป็นเครื่องมือสำคัญว่ากัมพูชาจะทำตามเงื่อนไขและข้อตกลงกันไว้หรือไม่ และในเงื่อนไขไม่มีการกำหนดเป็นกองกำลังแต่กำหนดเป็นผู้แทนของประเทศในลักษณะกึ่งการทูตที่จะเข้ามา และต้องใช้กลไก AOT เป็นอันแรกก่อน
Advertisement