Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ครม.เศรษฐกิจไฟเขียวตั้ง AMC แก้หนี้เสีย 3.4 ล้านคน 122,000 ล้านบาท
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ครม.เศรษฐกิจไฟเขียวตั้ง AMC แก้หนี้เสีย 3.4 ล้านคน 122,000 ล้านบาท

3 พ.ย. 68
17:47 น.
แชร์

วันนี้ (3 พฤศจิกายน 2568) เวลา 14.00 น. มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) หรือ ‘ครม.เศรษฐกิจ’ ครั้งที่ 3/2568 ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุม 

ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวศศิธร กิตติธรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 

นายกฯอวดผลงานร่วมประชุม ASEAN และ APEC

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าร่วมการประชุม ASEAN และ APEC ซึ่งรัฐบาลได้ใช้โอกาสดังกล่าวในการนำเสนอและขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจของไทยต่อประเทศต่างๆ ทั้งในเวทีระดับผู้นำประเทศและผู้นำภาคเอกชน เพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ เปิดตลาดใหม่ แนะนำประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และสร้างโอกาสการลงทุน รวมถึงลดอุปสรรคการกีดกันทางการค้า

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ประเทศไทยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีเรื่องสำคัญที่ต้องสานต่อจำนวนมาก และได้ย้ำให้ประเทศต่างๆ ทราบว่า รัฐบาลชุดนี้ดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจแบบ “Quick Big Win” เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ 

นายกฯบอกอีกว่า ประเทศต่างๆ ที่ได้พบ ถือเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่มีความน่าเชื่อถือ และมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีโอกาสและศักยภาพสูง ไทยได้มีบทบาทบนเวทีระหว่างประเทศและได้นำสิ่งที่หารือมาปฏิบัติแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะทำให้เกิดความสะดวกความมั่นใจในการมาธุรกิจมาลงทุน หรือมาท่องเที่ยวไทยประเทศไทย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและกระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับผู้นำหลายประเทศในเรื่องการขยายตลาด การส่งออกพืชผลทางการเกษตร และการผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ให้สำเร็จเรียบร้อยโดยเร็วที่สุด 

กำชับ ‘คนละครึ่ง พลัส’ ให้ประชาชนได้สิทธิเฟสสอง 

นอกจากนั้น นายกฯขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีเอกนิติที่ได้ดำเนินนโยบาย ‘คนละครึ่ง พลัส’ ซึ่งสร้างกำลังใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก เมื่อนายกฯลงพื้นที่พบว่าได้รับเสียงสะท้อนจากประชาชนว่าดีใจที่ได้ใช้สิทธิคนละครึ่ง เป็นการสร้างความคึกคักเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ ทำให้เม็ดเงินกระจายไปในทั่วประเทศ พร้อมกับฝากให้ดูแลอำนวยความสะดวกให้ประชาชนใช้งานได้และเข้าถึงสิทธิในเฟสต่อไป

“ขอฝากคณะทำงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ต้องดำเนินการให้ครอบคลุมและทั่วถึง เนื่องจากระบบที่เป็นลักษณะ ‘first come, first serve’ ทำให้ยังมีกลุ่มเปราะบางจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงสิทธิได้ ต้องรวบรวมกลุ่มประชาชนที่ตกหล่นจากครั้งแรกกลับมาในเฟสสอง ให้ได้รับการดูแลจากรัฐบาลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอฝากกระทรวงมหาดไทย ประสานความร่วมมือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ลงไปถึงในระดับนายอำเภอ เพื่อช่วยเหลือ แนะนำและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบและใช้สิทธิได้อย่างทั่วถึง” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถ่ายทอดคำกล่าวของนายกฯ 

นายสิริพงศ์บอกอีกว่า นายกรัฐมนตรียังสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัด ‘หน่วยเคลื่อนที่ครบวงจร’ เพื่อขยายฐานร้านค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และขอให้กระทรวงพาณิชย์ติดตาม กำกับและดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดกับร้านค้าที่ทุจริต รับแลกเงิน หรือขึ้นราคาสินค้า 

นอกจากนั้น นายกฯกำชับให้สื่อสารและประชาสัมพันธ์โครงการในชุดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้น และขอให้ดูแลหน่วยงานในกำกับให้ดำเนินการตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่าย (Front Load) อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนลงสู่เศรษฐกิจ 

ไฟเขียว AMC แก้หนี้ประชาชน-มาตรการพาณิชย์รับมือภาษีสหรัฐฯ

ในการประชุม กนศ.วันนี้ ที่ประชุมได้รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจครั้งที่ 2 เมื่อวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม 2568 และรับทราบรายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล และได้พิจารณาเรื่องต่อไปนี้ 

1. โครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company – AMC) โดยมีเป้าหมายหลักในการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans: NPLs) เพื่อผ่อนภาระให้กับลูกหนี้ ช่วยให้ลูกหนี้สามารถปิดจบหนี้ หลุดพ้นจากสถานะการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยเร็ว และมีประวัติการชำระหนี้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคต ซึ่งจะเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม และจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตได้ในระยะยาวต่อไป 

โดยการดำเนินการในครั้งนี้ มุ่งแก้ไขปัญหาให้กับลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายที่มีภาระหนี้ NPLs ซึ่งเป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 กับผู้ให้บริการทางการเงินทุกแห่งรวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ซึ่งมีจำนวนประมาณ 3.4 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี เป็นภาระหนี้จำนวนประมาณ 122,000 ล้านบาท

สำหรับผลการพิจารณา คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจเห็นชอบหลักการและแนวทางการดำเนินโครงการฯ และนำเสนอโครงการฯเพื่อให้คณะรัฐมนตรีรับทราบหลักการและแนวทางการดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันแนวทางการดำเนินโครงการต่อไป

2. แนวทาง มาตรการ และโครงการของกระทรวงพาณิชย์ภายใต้นโยบาย Quick Big Win เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ ในการรับมือกับมาตรการภาษี Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ โดยสามารถรักษาตลาดส่งออกไปสหรัฐฯ สกัดปัญหาการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า เพิ่มการใช้ Local content ตลอดจนป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย กระทรวงพาณิชย์จึงได้จัดทำแนวทางและมาตรการ ได้แก่

  • โครงการเพิ่ม Local content ไทย เพื่อรองรับการปรับปรุงกฎถิ่นกำเนิดสินค้าใหม่ของสหรัฐฯ และรักษาความเชื่อมั่นต่อสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ
  • มาตรการตรวจสอบนิติบุคคล (นอมินี) ทั้งนี้ ปัญหานอมินีส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศ แต่การตรวจสอบมีข้อจำกัดต้องการการบูรณาการ เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถที่หน่วยงานต้นทางในการตรวจสอบ

สำหรับผลการพิจารณา คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจเห็นชอบในหลักการแนวทางการดำเนินการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าและการป้องกันการสวมสิทธิ และเห็นชอบในหลักการมาตรการตรวจสอบนิติบุคคล และมอบหมายกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นผู้ประสานการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

รมว.คลังเผยแนวทางดำเนินการแก้หนี้ 

นายเอกนิติ  นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และภาคสถาบันการเงิน จัดทำโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของ AMC ขึ้น โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans: NPLs) เพื่อผ่อนภาระให้กับลูกหนี้ ช่วยให้ลูกหนี้สามารถปิดจบหนี้ หลุดพ้นจากสถานะการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยเร็ว และมีประวัติการชำระหนี้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคต ซึ่งจะเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม และจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตได้ในระยะยาวต่อไป  

การแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนในครั้งนี้ มุ่งแก้ไขปัญหาให้กับลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายที่มีภาระหนี้ NPLs ซึ่งเป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 กับผู้ให้บริการทางการเงินทุกแห่งรวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย โดยมีจำนวนประมาณ 3.4 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี เป็นภาระหนี้จำนวนประมาณ 122,000 ล้านบาท โดยมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือได้ ดังนี้

1. กลุ่มที่ 1 การดำเนินการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้โดย AMC ลูกหนี้ที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ลูกหนี้ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของ ธพ. และลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) จะได้รับการช่วยเหลือผ่านกลไกการขายและโอนหนี้ให้กับ AMC ที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) หรือบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC) และกำหนดให้ AMC นำหนี้ดังกล่าวมาปรับโครงสร้างหนี้ผ่านการเสนอเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ผ่อนปรนและเหมาะกับความสามารถของคนกลุ่มนี้มากขึ้น เช่น การลดดอกเบี้ย ไม่คิดดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมการจ่ายชำระเพียงบางส่วนเพื่อปิดบัญชี เป็นต้น  

2. กลุ่มที่ 2 การช่วยเหลือเพิ่มเติมโดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ดำเนินการเอง ซึ่ง SFIs จะมีมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นมาตรการเฉพาะของแต่ละธนาคาร เพื่อบริหารจัดการหนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูกหนี้ SFIs เนื่องจากลูกหนี้ของ SFIs กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางมากกว่าลูกหนี้ของ ธพ. หรือได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านกลไกอื่นแล้ว ดังนั้น SFIs จะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม เช่น มาตรการชำระบางส่วนเพื่อปิดบัญชี ลดเงินต้นยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมด มาตรการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ที่ผ่อนปรนมากกว่าเกณฑ์ปกติของธนาคาร การปิดบัญชีและตัดเป็นหนี้สูญสำหรับลูกหนี้ขาดศักยภาพ เป็นต้น  

รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวอีกว่า การดำเนินการในสองส่วนนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะทำให้ภาครัฐมีโครงการเพื่อช่วยลูกหนี้ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และช่วยเหลือลูกหนี้ให้หลุดพ้นจากภาระหนี้ต่าง ๆ ได้โดยเร็ว ซึ่งในการดำเนินการทั้งสองส่วนนี้คาดว่ามีบัญชีลูกหนี้ที่เข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือทั้งสิ้นประมาณ 2.36 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ประมาณ 62,400 ล้านบาท นอกจากนี้ ในระยะต่อไปจะมีการพิจารณาขยายขอบเขตการช่วยเหลือไปยังลูกหนี้ของผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Non-banks ตามหลักการเดียวกัน เพื่อให้นโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทั้งหมด

“จากการดำเนินโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของ AMC ในครั้งนี้ รัฐบาลมั่นใจว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ประชาชนรายย่อยซึ่งปัจจุบันประสบปัญหาภาระหนี้จนกระทบต่อเนื่องเป็นปัญหาชีวิตและปัญหาสังคมและเศรษฐกิจในภาพรวม สามารถมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผ่านกลไกการให้ความช่วยเหลือของ AMC ได้รับการปรับโครงหนี้ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรนและเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้ลูกหนี้สามารถผ่อนชำระหนี้ได้จนกลับมาเป็นลูกหนี้ที่มีประวัติชำระปกติมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ในอนาคต ไม่ต้องพึ่งพิงสินเชื่อนอกระบบที่อาจมีอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้โดยเร็วและยั่งยืน และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อไปได้ในอนาคต” นายเอกนิติกล่าว 

แชร์
ครม.เศรษฐกิจไฟเขียวตั้ง AMC แก้หนี้เสีย 3.4 ล้านคน 122,000 ล้านบาท