
เศรษฐกิจไทยกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปีท่ามกลางสัญญาณฟื้นตัวที่เริ่มชัดเจนขึ้น โดยแรงขับสำคัญมาจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐอย่าง “คนละครึ่ง” ที่เพิ่งเริ่มดำเนินการและได้รับการตอบรับอย่างคึกคักจากประชาชนทั่วประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่า มาตรการดังกล่าวจะมีส่วนช่วยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ให้ดีกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะผ่านกลไกความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในประมาณการล่าสุด ธปท. ยังคงคาดว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2568 จะขยายตัวราว 2.2% แต่ยอมรับว่ามีโอกาสเกิด “อัพไซด์” หากแรงซื้อภาคครัวเรือนกลับมามากกว่าคาด
ในอีกด้านหนึ่ง การขยายการเปิดตลาดรับสินค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ ได้รับการประเมินจาก ธปท. ว่าจะไม่สร้างแรงกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ที่เปิดตลาดเพิ่มเติมเป็นสินค้าที่ไทยไม่ผลิตเอง
ขณะเดียวกัน ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ภาคอุตสาหกรรมหลักเริ่มฟื้นตัว การส่งออกกลับมาเป็นบวก และภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยวต่างชาติยังขยายตัวต่อเนื่อง ปัจจัยทั้งหมดนี้ช่วยประคองให้เศรษฐกิจไทยปลายปีอยู่ในทิศทางฟื้นตัว แม้ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกประเทศและภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด
นางปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยช่วงปลายปีว่า มาตรการ “คนละครึ่ง” ที่เพิ่งเริ่มดำเนินการสร้างบรรยากาศการจับจ่ายอย่างคึกคัก และอาจช่วยหนุนเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ให้ขยายตัวได้ดีกว่าที่คาด โดยในประมาณการปัจจุบัน ธปท. ได้รวมผลของมาตรการไว้แล้วในสมมติฐานที่อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปีอยู่ที่ 2.2%
อย่างไรก็ตาม หากการใช้จ่ายภาคประชาชนฟื้นตัวมากกว่าที่คาด ก็มีโอกาสทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจปลายปีมี “อัพไซด์” เพิ่มขึ้น นางปราณีกล่าวว่าผลเชิงบวกดังกล่าวยังสะท้อนในมิติของ “Sentiment” หรือความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งปรับตัวดีขึ้นในเดือนล่าสุด
สำหรับกรณีการออกแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ที่ไทยจะขยายการเปิดตลาดรับสินค้าจากสหรัฐฯ จาก 90% เป็น 99% นางปราณีกล่าวว่า ธปท. ได้พิจารณาผลกระทบไว้แล้วในประมาณการเศรษฐกิจ โดยเห็นว่าการเปิดตลาดดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญ เพราะสินค้าหลายรายการที่เปิดเพิ่มเติมเป็นสินค้าที่ไทยไม่ได้ผลิตอยู่แล้ว
นางปราณีกล่าวเสริมว่า อาจมีบางรายการที่ไทยต้องนำเข้าเพิ่มจากสหรัฐฯ แทนประเทศอื่น แต่ในด้านการจ้างงานหรือผลกระทบต่อเกษตรกรนั้น รัฐบาลมีแนวทางบริหารจัดการอยู่แล้ว เช่น การควบคุมช่วงเวลานำเข้าให้ไม่ตรงกับฤดูเก็บเกี่ยวของผลผลิตภายในประเทศ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร
เมื่อถามถึงกระแสการส่งออกไทยที่ขยายตัวแรงกว่าประเทศเพื่อนบ้านบางแห่ง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวียดนาม และมีข้อสงสัยว่าอาจมาจากการ “Transshipment” หรือการส่งสินค้าผ่านประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศ นางปราณีกล่าวว่า การเติบโตของการส่งออกไทยในระยะนี้มาจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก ซึ่งเป็นภาคการผลิตที่มีทั้งชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศและนำเข้ามาประกอบในประเทศ
นางปราณีย้ำว่า ธปท. ไม่ได้มองว่าการขยายตัวทั้งหมดเกิดจากการ Transshipment แต่เป็นผลจากวัฏจักรขาขึ้นของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลกที่ส่งผลบวกต่อไทยด้วย “แม้จะมีบางส่วนที่อาจเข้าข่าย แต่คงต้องรอดูนิยามและรายละเอียดทางเทคนิคเพิ่มเติมก่อน เพราะขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน” นางปราณีกล่าว
โดยสรุป ธปท. ประเมินว่าแรงส่งจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ บวกกับแนวโน้มส่งออกสินค้าเทคโนโลยี จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปีให้ขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้ยังต้องจับตาความไม่แน่นอนจากภายนอกประเทศอย่างใกล้ชิด
สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยเดือนกันยายน 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานว่า ในระยะเวลาดังกล่าวเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยมีแรงขับหลักจากภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มกลับมาผลิตได้ต่อเนื่อง หลังจากโรงงานหลายแห่งที่ปิดปรับปรุงกระบวนการผลิตในช่วงสองเดือนก่อนหน้าทยอยเปิดดำเนินงานอีกครั้ง
นางปราณี ระบุว่า “การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 3.3% เดือนต่อเดือน ครอบคลุมแทบทุกกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะหมวดปิโตรเลียม อาหารและเครื่องดื่ม และยานยนต์ไฟฟ้า (EV และ Hybrid EV) ที่เติบโตโดดเด่น ขณะที่การผลิตรถยนต์สันดาปภายในยังชะลอลงต่อเนื่อง”
อย่างไรก็ดี หากมองทั้งไตรมาส 3 ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ยังหดตัว 3.4% จากไตรมาสก่อน อันเป็นผลของการหยุดผลิตชั่วคราวในกลุ่มยานยนต์และอาหารเครื่องดื่มในช่วงต้นไตรมาส ซึ่งทำให้ภาคการค้าส่ง การค้าปลีก และการขนส่งสินค้าลดลงตามไปด้วย
การส่งออกสินค้ากลับมาฟื้นตัว โดยในเดือนกันยายน การส่งออกไม่รวมทองคำเพิ่มขึ้น 0.9% จากเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 0.7% ในภาพรวมไตรมาส 3 ซึ่งถือว่าดีกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า จากแรงหนุนของการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอัญมณี โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ยังมีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่อง
ในทางกลับกัน การส่งออกสินค้ากลุ่มเกษตร เกษตรแปรรูป ปิโตรเคมี และยานยนต์บางประเภทเริ่มชะลอลงจากผลของมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ แต่โดยรวมตลาดสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 26.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนความต้องการในสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีที่ยังเติบโต
ภาคเกษตรกลับมาลดลงค่อนข้างมากตามฤดูกาล โดยเฉพาะผลผลิตลำไย ทุเรียน และมังคุดที่ออกผลมากในเดือนก่อนหน้า ทำให้ตัวเลขเดือนกันยายนลดลง แต่ ธปท. มองว่าเป็นเพียงผลจาก “ช่วงเหลื่อมเดือน” และจะทยอยกลับมาทรงตัวในรอบการผลิตใหม่
กิจกรรมภาคบริการโดยรวมปรับดีขึ้นตามภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในหมวดการค้าและการขนส่ง ขณะที่กิจกรรมโรงแรมและภัตตาคารยังอ่อนแรงเล็กน้อยจากการชะลอการท่องเที่ยวในประเทศของคนไทย
ในด้านอุปสงค์ในประเทศ ภาพรวมเดือนกันยายนชะลอตัวลงจากเดือนก่อน ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน การบริโภคเอกชนลดลง 0.8% จากเดือนก่อนหน้า โดยมาจากหมวดบริการเป็นหลัก สะท้อนพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทยที่ลดลงหลังจากช่วงวันหยุดยาวเดือนสิงหาคม อย่างไรก็ตาม การบริโภคสินค้าในหมวดอื่นยังขยายตัว เช่น ยอดขายรถยนต์นั่งโดยเฉพาะรุ่นไฮบริด ยอดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และการนำเข้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่เพิ่มขึ้น
สำหรับทั้งไตรมาส 3 การบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.4% จากไตรมาสก่อน โดยได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เริ่มปรับดีขึ้นตามปัจจัยทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการ “คนละครึ่งพลัส” อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องค่าครองชีพสูงและเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวช้า ยังคงเป็นแรงกดดันต่อการใช้จ่ายของครัวเรือน
ด้านการลงทุนภาคเอกชนหดตัวลง 4.5% จากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ ซึ่งลดลงจากการนำเข้าเครื่องมือสื่อสาร ส่วนการลงทุนด้านยานพาหนะลดลงเล็กน้อย ในขณะที่การก่อสร้างเพื่อภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับโครงการขนาดใหญ่บางส่วนของรัฐวิสาหกิจที่เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างที่อยู่อาศัยยังซบเซาต่อเนื่อง
ภาคการท่องเที่ยวถือเป็นจุดสว่างของเดือนกันยายน โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5.8% จากเดือนก่อนหน้า หลังปรับฤดูกาลแล้ว รายได้จากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 12.6% โดยเฉพาะจากตลาดระยะใกล้ ได้แก่ มาเลเซีย อินเดีย และจีน นักท่องเที่ยวมาเลเซียเพิ่มขึ้นจากช่วงวันหยุดยาว ส่วนอินเดียเติบโตจากการเปิดเส้นทางบินใหม่ ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนทยอยฟื้นตัวจากการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทาง
รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติขยายตัวสูงขึ้นจากจำนวนผู้เดินทางและระยะเวลาพำนักที่ยาวขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอินเดียที่มีแนวโน้มอยู่หลายวันมากขึ้น และกลุ่มมาเลเซียที่เดินทางด้วยรถยนต์ไปยังจังหวัดต่าง ๆ นอกภาคใต้ ทำให้กิจกรรมท่องเที่ยวขยายสู่ภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อมองทั้งไตรมาส 3 จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 1.7% จากไตรมาสก่อน แต่รายรับลดลงเล็กน้อย 0.5% จากการที่ตลาดระยะไกล เช่น ยุโรปและอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นกลุ่มใช้จ่ายสูง เดินทางกลับประเทศหลังช่วงฤดูท่องเที่ยวกลางปี
ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกันยายนอยู่ที่ -0.72% จากเดือนก่อนที่ -0.79% สาเหตุหลักยังมาจากราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลง โดยหมวดพลังงานได้รับผลจากราคาน้ำมันเบนซินในประเทศที่ยังต่ำกว่าปีก่อน ส่วนหมวดอาหารสดติดลบ 2.89% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากราคาผักและผลไม้ลดลงต่อเนื่อง ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ +0.65% ลดลงจากเดือนก่อนที่ +0.81% โดยได้รับอิทธิพลจากฐานราคาสูงในปีก่อนและการทำโปรโมชั่นของอาหารสำเร็จรูปและของใช้ส่วนบุคคลในเดือนนี้
ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนกันยายนเกินดุล 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเกินดุลการค้าและการขาดดุลบริการที่ลดลง โดยรวมทั้งไตรมาส 3 เกินดุล 2.7 พันล้านดอลลาร์ ด้านค่าเงินบาทเฉลี่ยเดือนกันยายนแข็งค่าขึ้นตามแนวโน้มคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟดและความชัดเจนทางการเมืองไทย ก่อนจะกลับมาอ่อนค่าช่วงตุลาคมตามแรงหนุนของดอลลาร์สหรัฐและราคาทองคำในตลาดโลก
ตลาดแรงงานยังอยู่ในภาวะทรงตัว จำนวนผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ยกเว้นภาคโรงแรมและภัตตาคารที่ฟื้นตัวตามภาคท่องเที่ยว ขณะที่ภาคก่อสร้างยังอ่อนแอตามตลาดที่อยู่อาศัย ส่วนการจ้างงานภาคการผลิตลดลงในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เผชิญการแข่งขันสูง เช่น สิ่งทอ เหล็ก และเฟอร์นิเจอร์
โดยภาพรวม ธปท. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนจากปัจจัยอุปทานที่มีการหยุดผลิตชั่วคราวในภาคอุตสาหกรรมและอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ในเดือนกันยายนภาพเศรษฐกิจเริ่มปรับดีขึ้น และแนวโน้มในไตรมาส 4 คาดว่าจะฟื้นต่อเนื่องจากการกลับมาเปิดโรงงานเต็มรูปแบบ การส่งออกสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีที่ยังเติบโตสูง การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
ธปท. ชี้ว่าปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในระยะต่อไปมี 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ การฟื้นตัวของภาคการผลิตอุตสาหกรรม ผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน และผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้าอย่างใกล้ชิด