
รัฐบาลอินเดียกำลังเดินหน้าเพื่อสร้างอุตสาหกรรมแม่เหล็กแร่หายากของตัวเองให้แข็งแกร่งและพึ่งพาต่างประเทศน้อยลง โดยเตรียมขยายวงเงินโครงการส่งเสริมการลงทุนเกือบสามเท่า แตะระดับกว่า 70,000 ล้านรูปี หรือราว 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแผนกระตุ้นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดที่ทะเยอทะยานที่สุดของประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ตามรายงานจากแหล่งข่าวในรัฐบาล แผนดังกล่าวจะเปิดรับบริษัทราวห้าราย เข้าร่วมโดยใช้รูปแบบการสนับสนุนแบบผสมผสาน ทั้งเงินอุดหนุนตามผลผลิต (Production-linked Incentives) เพื่อจูงใจให้ผลิตจริง และเงินสนับสนุนการลงทุน (Capital Subsidies) เพื่อแบ่งเบาภาระต้นทุนเริ่มต้น โครงสร้างนี้ถูกออกแบบให้ “ผลักดันการผลิตจริง” ไม่ใช่เพียงการให้เงินช่วยเหลือ
ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความตั้งใจของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ที่ต้องการลดการพึ่งพาจีนในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์สำคัญ หลังจีนครองความเป็นผู้นำด้านการผลิตและการแปรรูปแร่หายากมายาวนาน โดยแม้ข้อเสนอนี้ยังอยู่ในขั้นตอนรอการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี แต่ถือเป็นการยกระดับครั้งสำคัญจากโครงการก่อนหน้าที่มีมูลค่าเพียง 290 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมุ่งจัดหาวัตถุดิบสำคัญสำหรับภาคยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และการป้องกันประเทศ
แหล่งข่าวระบุว่า แม้จำนวนงบประมาณขั้นสุดท้ายอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ แต่ทิศทางหลักคือการสร้างระบบสนับสนุนที่เพียงพอสำหรับผู้ผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่การแข่งขันด้านทรัพยากรสำคัญระดับโลกกำลังร้อนแรง
การขยายการลงทุนในครั้งนี้สอดรับกับแนวโน้มทั่วโลกที่ต้องการลดการพึ่งพาจีนในอุตสาหกรรมแร่หายาก หลังจากก่อนหน้านี้ จีน ซึ่งมีสัดส่วนการแปรรูปคิดเป็นราว 90% ของผลผลิตโลก ได้ออกมาตรการเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการส่งออกแร่หายากเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ท่ามกลางข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม อินเดียยังเผชิญข้อจำกัดหลายด้านในการสร้างห่วงโซ่อุปทานแร่หายากในประเทศ ทั้งงบประมาณที่ยังจำกัด ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคที่ขาดแคลน และระยะเวลาการพัฒนาโครงการที่กินเวลายาวนาน ปัจจุบัน บริษัทอินเดียยังยังไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนการผลิตกับบริษัทจีนได้หากไม่มีเงินอุดหนุน ทำให้รัฐบาลต้องให้รัฐวิสาหกิจเป็นหัวหอกในการดำเนินการระยะแรก เช่น การทำข้อตกลงเหมืองแร่กับประเทศคู่ค้าในต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างฐานทรัพยากรระยะยาว
ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า จีนยังคงครองส่วนแบ่งสูงสุดทั้งในด้านการผลิตและการแปรรูปแร่แม่เหล็กสำคัญ ได้แก่ นีโอไดเมียม (Neodymium), พราเซโอไดเมียม (Praseodymium), ดิสโปรเซียม (Dysprosium) และเทอร์เบียม (Terbium) ซึ่งเป็นแร่หลักในการผลิตแม่เหล็กแรงสูงที่ใช้ในมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้าและกังหันลม
อย่างไรก็ดี การสกัดแร่หายากอย่างคุ้มค่าทางเศรษฐกิจเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย เนื่องจากมักเกี่ยวข้องกับธาตุกัมมันตรังสีซึ่งเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โครงการเหมืองแร่หายากในหลายประเทศต้องชะลอหรือหยุดดำเนินการจากแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมและการต่อต้านของชุมชนท้องถิ่น ขณะที่จีนมีความได้เปรียบจากการพัฒนาเทคโนโลยีการแยกและแปรรูปที่สะสมมาตลอดหลายทศวรรษ
นอกจากอุตสาหกรรมแร่หายาก รัฐบาลอินเดียยังเลือกกระจายความเสี่ยงด้วยการเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีคู่ขนานควบคู่กันไปด้วย โดยให้ทุนสนับสนุนการศึกษามอเตอร์ชนิด “ซิงโครนัสรีลักแตนซ์” (Synchronous Reluctance Motor) ซึ่งมีคุณสมบัติไม่ต้องใช้แม่เหล็กถาวรจากแร่หายาก หากเทคโนโลยีนี้พัฒนาได้ในระดับอุตสาหกรรม อาจช่วยลดความต้องการใช้แร่หายากในระยะยาว
ในเวลาเดียวกัน ผู้ผลิตจากต่างประเทศหลายรายได้แสดงความสนใจที่จะจัดส่งวัตถุดิบแร่หายากให้แก่อินเดีย ซึ่งมีความต้องการออกไซด์แร่หายากราว 2,000 ตันต่อปี ปริมาณที่สามารถตอบสนองได้จากผู้ผลิตระดับโลกโดยไม่ยาก อินเดียคาดหวังว่าแผนกระตุ้นใหม่นี้จะดึงดูดผู้ผลิตแม่เหล็กระดับโลกให้มาตั้งบริษัทย่อยหรือร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐและมีการตั้งราคาที่ไม่โปร่งใส
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของแผนอาจถูกท้าทายหากจีนขยายการผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกแม่เหล็กหายากไปยังสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปให้ครอบคลุมถึงอินเดียด้วย การเปิดตลาดดังกล่าวอาจทำให้แม่เหล็กจีนมีราคาถูกและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั่วโลก ซึ่งอาจลดแรงจูงใจของนักลงทุนในการเข้ามาพัฒนาอุตสาหกรรมแม่เหล็กแร่หายากของอินเดียในระยะยาว ทำให้ความพยายามของรัฐบาลในการสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมภายในประเทศต้องเผชิญแรงต้านที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น