ราคาทองคำ ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศจีน แต่ว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากปัจจัยอะไรบ้างเราไปหาคำตอบกัน
จากรายงานของทาง the wall street journal ระบุว่า ธนาคารกลางของจีนได้เพิ่มปริมาณทองคำสำรองจนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ผู้บริโภคในจีนก็ซื้อเครื่องประดับทองกันมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขากังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคง นักลงทุนในตลาดหุ้นก็กว้านซื้อหุ้นเหมืองทอง และรีบเข้าลงทุนในกองทุนทองคำที่ติดตามราคาทองคำในตลาด ปรากฏการณ์นี้ได้กระตุ้นให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และจะเป็นแรงสนับสนุนราคาทองต่อไป แม้ว่าราคาทองจะเข้าสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ผมไม่คิดว่าความต้องการทองจากจีนจะมากพอที่จะดันราคาทองคำโลกให้สูงขึ้นกว่าเดิม แต่สิ่งที่มันส่งผลคือ หากราคาทองคำมีการปรับลดลงมา ความต้องการทองคำที่แข็งแกร่งในจีนน่าจะช่วยรองรับการลดลงนั้นไว้ได้” นี่คือความเห็นจาก Nikos Kavalis กรรมการผู้จัดการของ Metals Focus บริษัทที่ปรึกษาด้านโลหะมีค่า
สัปดาห์นี้ราคาทองคำพุ่งทะลุระดับสูงสุดตลอดกาล ทำการซื้อขายเหนือ $2,200 ต่อทรอยออนซ์ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ส่งสัญญาณว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยสามครั้งในปี 2024 โดยทั่วไปแล้วราคาทองคำมักจะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง เพราะผลตอบแทนจากพันธบัตรดูน่าสนใจน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกัน แต่นักลงทุนมักประเมินแนวทางของธนาคารกลางสหรัฐฯ ผิดพลาดเมื่อข้อมูลเศรษฐกิจออกมาดีเกินคาด และความไม่แน่นอนใด ๆ เกี่ยวกับจังหวะการลดดอกเบี้ยอาจส่งผลต่อราคาทองคำในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าได้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุล ทำให้แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยคงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างมาก แต่ผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็กกลับรู้สึกถึงแรงกดดันจากต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น
BMI ซึ่งเป็นบริษัทวิจัย ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำเมื่อวันอังคารเป็นระหว่าง $1,950 ถึง $2,250 ต่อทรอยออนซ์ แต่เตือนว่าข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากสหรัฐฯ เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เนื่องจากอาจทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยช้าลง บริษัทฯ ระบุว่า ปัจจัยหลักที่จะขับเคลื่อนราคาทองคำในปีนี้คืออัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ประสิทธิภาพของเงินดอลลาร์ และสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์
ด้าน State Street Global Advisors ผู้บริหารจัดการกองทุน SPDR Gold Trust กองทุนทองคำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีความเห็นเชิงบวกมากกว่า โดยคาดการณ์ว่าราคาทองคำน่าจะพุ่งขึ้นไปอยู่ระหว่าง $2,200 ถึง $2,400 เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในปลายปีนี้ หาก อ้างอิงจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) ซึ่งเป็นองค์กรในอุตสาหกรรมทองคำ ธนาคารกลางจีน (People's Bank of China) ได้ซื้อทองคำมากกว่าธนาคารกลางใด ๆ ในโลกเมื่อปีที่แล้ว โดยซื้อสุทธิ 225 เมตริกตัน นับเป็นการเพิ่มปริมาณทองคำสำรองมากที่สุดของจีนตั้งแต่ปี 1977 นอกจากนี้ กองทุนบำเหน็จบำนาญ บริษัทประกันภัย และนักลงทุนที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐของจีนก็กำลังสะสมทองคำเช่นกัน แม้ว่าการซื้อของพวกเขามักจะไม่ถูกเปิดเผยก็ตาม
ในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ จีนนำเข้าทองคำสำหรับการใช้งานอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่เพื่อสำรอง) จำนวน 367 เมตริกตัน เพิ่มขึ้น 51% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตามข้อมูลทางการ ด้านยอดขายผลิตภัณฑ์ทองคำและเครื่องประดับในจีนเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งปกติแล้วถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยอดค้าปลีกพุ่งสูง
กองทุนรวม ETF ในประเทศจีนที่ลงทุนในทองคำและหุ้นของบริษัทเหมืองทองกำลังเติบโตอย่างมาก สินทรัพย์ภายใต้การจัดการของกองทุนรวม ETF ที่เน้นทองคำในจีนพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมกราคมที่ 4 พันล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลจากสมาคมทองคำจีน (China Gold Association) เมื่อวันที่ 15 มีนาคม หุ้นของ Zijin Mining ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเหมืองทองคำและแร่ธาตุที่ใหญ่ที่สุดของจีน ปิดตัวที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ความต้องการทองคำของจีนได้รับแรงหนุนจากชื่อเสียงของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย วิกฤตการณ์อสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อ ตลาดหุ้นที่ไม่ค่อยดี และเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคงได้ผลักดันให้นักลงทุนจีนหาทางเลือกอื่นในการลงทุน ในวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินหยวนนอกชายฝั่ง (Offshore Yuan) อ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปีนี้
“ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนกำลังประสบปัญหา ตลาดหุ้นมีความผันผวน และค่าเงินอ่อนตัวลง ปัจจัยทั้งหมดนี้กำลังสนับสนุนให้นักลงทุนจีนหันไปลงทุนในทองคำ” John Reade หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดของสภาทองคำโลกกล่าว
สุดท้ายนี้ ทองคำ ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าดึงดูด ในยุคที่เศรษฐกิจโลกผันผวน นักลงทุนควรจับตาดู ทิศทางการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ สถานการณ์เศรษฐกิจจีน และ ค่าเงินดอลลาร์ ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำต่อไป ด้านนักลงทุนไทย ทองคำยังคงเป็น สินทรัพย์ปลอดภัย ที่ควรมีไว้ในพอร์ตการลงทุน แต่ควรลงทุนอย่างมีสติ ศึกษาข้อมูล และกระจายความเสี่ยง
ที่มา the wall street journal