
อุตสาหกรรมข้าวไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งสภาพอากาศที่แปรปรวน ต้นทุนการผลิตที่สูง การแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง พันธุ์ข้าวที่ไม่ตรงตามความต้องการของตลาดโลก และการกลับมาทำตลาดข้าวอีกครั้งของประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างอินเดีย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในเวทีโลก
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ของธนาคารกรุงไทย วิเคราะห์สถานการณ์และทิศทางอุตสาหกรรมข้าวไทยในระยะต่อไปว่าจะเผชิญความท้าทายถึง 6 ปัจจัยพร้อมกัน ซึ่งส่งผลให้ข้าวไทยยากที่จะสู้คู่แข่งได้ ดังนั้น ข้าวไทยจึงควรเปลี่ยนสนามแข่ง โดยปรับ 4 แนวทาง
บทวิเคราะห์ของ Krungthai COMPASS ระบุว่า อุตสาหกรรมข้าวไทยอยู่ในช่วงขาลงชัดเจนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 หากพิจารณาด้านราคา พบว่า ราคาส่งออกข้าวขาว 5% ซึ่งเป็นข้าวส่งออกหลักของไทยมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2567 เป็นต้นมา เนื่องจากต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาในตลาดส่งออกรุนแรงขึ้น หลังจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่กลับมาทำตลาดส่งออกข้าวอีกครั้งตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 จากที่ก่อนหน้ามีนโยบายจำกัดการส่งออก
ราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทย ณ เดือนตุลาคม 2568 อยู่ที่ราว 356 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน หรือลดลง -31% จากปีก่อนหน้า (YoY) และเป็นระดับราคาส่งออกที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราคาส่งออกข้าวขาว 5% ในปี 2560-2566 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่อินเดียจะจำกัดการส่งออกข้าวซึ่งอยู่ที่ราว 418 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน ส่วนราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของประเทศคู่แข่งอย่างอินเดีย และเวียดนาม ก็ปรับลดลงแรงเช่นกัน โดยมีราคาอยู่ที่ราว 360-366 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน
การกลับมาทำตลาดส่งออกข้าวของอินเดีย ส่งผลกระทบทำให้ปริมาณการส่งออกข้าวไทยหดตัวชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2568 หลังจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2568 ปริมาณการส่งออกข้าวของไทยอยู่ที่ราว 6.4 ล้านตัน ลดลง -24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปริมาณการส่งออกข้าวในเดือนมกราคม-ตุลาคม ตั้งแต่ปี 2560-2567 ซึ่งอยู่ที่ราว 6.9 ล้านตัน โดยเฉพาะข้าวขาวซึ่งเป็นสินค้าหลักที่ปริมาณการส่งออกปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง -41%
Krungthai COMPASS มองว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมข้าวในปี 2568-2569 จะอยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรของผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมนี้อย่างธุรกิจโรงสีข้าวและผู้ส่งออกข้าว นอกจากนี้ ทิศทางราคาข้าวที่มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องในปีหน้ายังสร้างความเสี่ยงขาดทุนสต็อก ภายใต้แรงกดดันจากหลายความท้าทาย ดังนี้
ความท้าทายที่ 1 การระบายสต็อกข้าวของอินเดีย
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 อินเดีย ซึ่งครองสัดส่วนการส่งออกข้าวมากกว่า 1 ใน 3 ของโลก ประกาศระบายสต็อกครั้งใหญ่ มีผลในการทยอยปล่อยข้าวออกสู่ตลาดตั้งแต่ช่วงกันยายน 2568 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายรวมกว่า 20 ล้านตัน ซึ่งจะทำให้ข้าวล้นตลาด (oversupply) และกดดันราคาข้าวในตลาดโลกให้ต่ำลง เช่น ราคาข้าวขาว 5% ถูกกดดันให้ลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออกคู่แข่งอย่างไทย เวียดนาม และปากีสถาน ที่ต้องปรับลดราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด
Krungthai COMPASS คาดว่า การระบายสต็อกข้าวของอินเดียจะทำให้ราคาและปริมาณส่งออกข้าวไทยลดลง โดยในปี 2568 คาดว่าราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทยจะอยู่ที่ราว 405 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน สอดคล้องกับการประเมินของธนาคารโลก (World Bank) ที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 406 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่วนในปี 2569 ประมานการว่า หากปริมาณการค้าข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้ราคาข้าวเฉลี่ยในตลาดโลกลดลงประมาณ 0.6–0.8%
ด้านปริมาณส่งออกข้าวไทยในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ราว 7.2 ล้านตัน หรือลดลง -28% สอดคล้องกับการประเมินของ USDA ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 7.2 ล้านตัน ส่วนในปี 2569 หากอินเดียมีปริมาณการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้ปริมาณการส่งออกข้าวไทยลดลงราว -0.2%
ความท้าทายที่ 2 ความต้องการนำเข้าข้าวของคู่ค้าที่ลดลง
อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย โดยในปี 2567 ไทยส่งออกข้าวไปอินโดนีเซียราว 1.3 ล้านตัน แต่นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซียจำกัดการนำเข้าข้าว เนื่องจากผลผลิตในอินโดนีเซียมีเพียงพอสำหรับการบริโภค ทำให้ตั้งแต่ช่วง ม.ค.-ส.ค. 2568 ปริมาณการส่งออกข้าวไทยไปตลาดอินโดนีเซียลดลงถึง 1.04 ล้านตัน คิดเป็นลดลง -94% YoY
เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญอันดับที่ 6 ของไทย ที่มีนโยบายห้ามนำเข้าข้าวเพื่อปกป้องเกษตรกรในประเทศตั้งแต่ช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกข้าวโดยรวมของไทย
ความท้าทายที่ 3 สหรัฐฯเร่งเจรจาคู่ค้าเปิดเสรีข้าว เพิ่มความเสี่ยงไทยถูกแย่งตลาด
สหรัฐฯได้เจรจากับคู่ค้า เช่น ญี่ปุ่น ให้เพิ่มการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯมากขึ้น โดยในช่วงเดือน ก.ค. 2568 สหรัฐฯและญี่ปุ่นได้บรรลุข้อตกลงที่ญี่ปุ่นจะเพิ่มการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ 75% ภายใต้ระบบโควตา Minimum Access ขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งอนุญาตให้นำเข้าข้าวได้โดยไม่เสียภาษีศุลกากรประมาณ 770,000 ตัน/ปี ซึ่งการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งตลาดของข้าวไทยในญี่ปุ่น ซึ่งในปี 2567 ข้าวไทยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 43% ของการนำเข้าข้าวทั้งหมดของญี่ปุ่น
ความท้าทายที่ 4 ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า
ค่าเงินบาทเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกข้าวไทย โดยหากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้น 1 บาท จะทำให้ราคาส่งออกข้าวไทยเพิ่มขึ้น 15 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่งผลให้ราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่ง ทำให้ผู้นำเข้าบางประเทศหันไปซื้อจากแหล่งอื่นแทน ในทางกลับกัน หากเงินบาทอ่อนค่า ราคาข้าวไทยจะถูกลงในสายตาผู้ซื้อ ทำให้การส่งออกเพิ่มขึ้นและรายได้สุทธิของผู้ส่งออกสูงขึ้น
ความท้าทายที่ 5 ข้าวไทยเสียเปรียบเวียดนามในการปรับตัวไปสู่ตลาดข้าวปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (Low Emission Rice) กระทบโอกาสในการขยายตลาดข้าวพรีเมียม
เวียดนามเร่งพัฒนาข้าวที่มีคุณภาพตามแนวทาง ESG โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการเปิดตัวแบรนด์ ‘Green & Low Emission Rice’ สำหรับส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่นและยุโรป พร้อมแผนพัฒนาเกษตรแบบลดคาร์บอนในพื้นที่กว่า 1 ล้านเฮกตาร์ภายในปี 2030
ส่วนไทย แม้จะมีโครงการต้นแบบร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศ เช่น TGCP-Agriculture และ Olam Agri ที่พัฒนาเกษตรยั่งยืน แต่ยังอยู่ในวงจำกัดและขาดการสร้างแบรนด์ระดับประเทศในเชิงพาณิชย์ หากไทยยังไม่เร่งยกระดับการพัฒนา ESG ในอุตสาหกรรมข้าวอย่างจริงจังและเป็นระบบ จะมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดที่มีมูลค่าสูงให้กับคู่แข่งอย่างเวียดนาม
ความท้าทายที่ 6 ผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทยต่ำ กดดันความสามารถการแข่งขันด้านราคา
ผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทยที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม เป็นหนึ่งในจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมข้าวไทยในระดับโลก ปัจจุบัน เกษตรกรไทยผลิตข้าวได้เพียง 458 กิโลกรัม/ไร่ ขณะที่เวียดนามผลิตได้ถึง 986 กิโลกรัม/ไร่ ทำให้ต้นทุนเฉลี่ย/กิโลกรัมของข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ไทยเสียเปรียบในการตั้งราคาขาย
ปัจจัยที่ทำให้ผลผลิตข้าวไทยยังต่ำ เกิดจากการใช้พันธุ์ข้าวที่ไม่ตอบโจทย์การตลาดและสภาพอากาศ การเข้าถึงแหล่งน้ำที่ไม่ทั่วถึง จนถึงเทคโนโลยีการเพาะปลูกที่ยังไม่พัฒนา หากไทยไม่เร่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่อไร่ให้เทียบเท่าคู่แข่ง ข้าวไทยอาจค่อย ๆ สูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันทั้งด้านต้นทุนและส่วนแบ่งตลาดในระยะยาว
จากความท้าทายต่าง ๆ ที่ว่ามา Krungthai COMPASS แนะว่า ผู้ประกอบการไทยอาจจำเป็นต้อง “ย้ายสนามแข่งขัน” สู่พื้นที่ใหม่ที่ไทยมีศักยภาพสูงกว่าเดิม ผ่าน 4 แนวทางหลัก คือ
1. เปลี่ยนจาก Mass Exporter สู่ Value Exporter โดยการขายข้าวจำนวนมากในราคาถูกอาจไม่ใช่จุดแข็งของไทยอีกต่อไป แต่การพัฒนา ‘ข้าวคุณภาพเฉพาะทาง’ เช่น ข้าว GI ข้าวอินทรีย์ ข้าวฟังก์ชันนัล และการสร้างเรื่องราวของแบรนด์ จะทำให้ข้าวไทยมีมูลค่าเกินกว่าแค่สินค้าโภคภัณฑ์ (commodity) ซึ่งอาจจะเป็นทางรอดในตลาดที่แข่งขันด้วยคุณค่าไม่ใช่ต้นทุน
2. มุ่งไปสู่ตลาดใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ผู้ส่งออกไทยควรลดการพึ่งพาตลาดดั้งเดิม เช่น สหรัฐฯ ที่เต็มไปด้วยกำแพงภาษีและมาตรการกีดกันการค้า และหันไปยังตลาดที่ยังไม่มีผู้เล่นหลัก เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และประเทศเกิดใหม่ในเอเชียกลาง (เช่น คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน) ซึ่งมีความต้องการบริโภคสูงแต่ขาดโครงสร้างการผลิตข้าวในประเทศ
3. เพิ่มผลผลิตต่อไร่ผ่านการพัฒนาสายพันธุ์ข้าว ผู้ประกอบการควรร่วมมือกับภาคเกษตรกรรมเพื่อพัฒนาและสนับสนุนสายพันธุ์ข้าวที่มีผลผลิตสูง ทนแล้ง ทนน้ำเค็ม หรือใช้ระยะเวลาปลูกสั้น เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยการผลิตและเพิ่มปริมาณวัตถุดิบเพื่อการส่งออก พันธุ์ข้าวเฉพาะทางที่เหมาะกับแต่ละพื้นที่ยังสามารถตอบสนองดีมานด์เฉพาะของตลาด เช่น ข้าวหอมตะวันออกกลาง หรือข้าวนึ่งในแอฟริกา
4. ภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมข้าวไทย ทั้งในด้านการตลาดและการผลิต โดยการเจรจาการค้าในเวทีระหว่างประเทศ เช่น ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) หรือข้อตกลงด้านความมั่นคงอาหาร และควรมีเป้าหมายเปิดตลาดใหม่ให้ข้าวไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าคุณภาพสูง ขณะเดียวกัน รัฐควรมีบทบาทเชิงรุกในด้านวิจัยสายพันธุ์ข้าว ส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (precision agriculture) และสนับสนุนงบ R&D แก่เอกชน เพื่อเร่งพัฒนาความสามารถเชิงแข่งขันในระยะยาว
หมายเหตุ: ภาพประกอบเป็นภาพข้าวไทยที่ส่งเข้าไปที่อินโดนีเซียแล้ว