Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
คาดจีดีพีเกษตรปี 69 โต 2-3% ข้าว-อ้อยราคาร่วง จับตา 5 ปัจจัยเสี่ยง
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

คาดจีดีพีเกษตรปี 69 โต 2-3% ข้าว-อ้อยราคาร่วง จับตา 5 ปัจจัยเสี่ยง

18 ธ.ค. 68
18:34 น.
แชร์

ต้องยอมรับว่าภาคการเกษตรเป็นทั้ง ‘ฐานราก’ และ ‘จุดเปราะบาง’ ของเศรษฐกิจไทยในเวลาเดียวกัน เพราะในขณะที่ภาคการเกษตรมีสัดส่วนมูลค่าผลิตภัณฑ์ (จีดีพี) ลดลงผันแปรกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจในภาคส่วนอื่น แต่ภาคการเกษตรก็ยังคงเป็นแหล่งรายได้และที่พึ่งพิงของคนจำนวนมาก ดังนั้น ภาวะเศรษฐกิจภาคเกษตรที่ดีขึ้นหรือแย่ลงจึงส่งผลกระทบต่อผู้คนและสังคมในวงกว้าง  

ภาวะเศรษฐกิจปี 2568 เป็นอย่างไร เราได้เห็นกันแล้ว แต่ภาวะเศรษฐกิจในปี 2569 มีแนวโน้มจะเป็นอย่างไร มีความเสี่ยงอะไรที่ต้องจับตามองและเตรียมรับมือบ้าง ? งานสัมมนา “ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2568 และแนวโน้มปี 2569” ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ได้ฉายภาพให้เห็นคร่าว ๆ แล้ว 

ก่อนจะไปลงรายละเอียดแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรปี 2569 พีรพันธ์ คอทอง รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ฉายภาพรวมความเสี่ยงของภาคเกษตรไทยว่า ภาคเกษตรไทยในยุคนี้ปัจจุบันกำลังเผชิญกับ 5 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ (1) ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่อาจส่งผลต่อราคาพลังงานและต้นทุนการผลิต (2) มาตรการกีดกันทางการค้าและมาตรฐานสินค้ารูปแบบใหม่ (3) สภาพอากาศแปรปรวนและภัยพิบัติทางธรรมชาติ (4) กระแสการเติบโตสีเขียว (Green Growth) และ (5) โครงสร้างประชากรสูงวัย ที่ส่งผลต่อปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ภาคเกษตรไทยต้องเร่งปรับตัว

ปี 2568 จีดีพีเกษตรโต 3.3% 

พีรพันธ์สรุปภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2568 ว่า สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ประมาณการว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ภาคการเกษตรในปี 2568 จะขยายตัว 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) โดยประมาณการว่า สาขาพืชขยายตัว 4.6% สาขาปศุสัตว์ขยายตัว 0.5% สาขาบริการทางการเกษตรขยายตัว 2.6% และสาขาป่าไม้ขยายตัว 1.3% ขณะที่สาขาประมงหดตัว 1.0%

ปัจจัยบวกที่สนับสนุนการเติบโตของภาคการเกษตรในปี 2568 ได้แก่ ปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2568 ส่งผลให้มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำตามธรรมชาติเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ประกอบกับสภาพอากาศโดยทั่วไปเอื้ออำนวย ไม่ประสบภัยแล้งรุนแรง ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่เคยปล่อยว่าง 

นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยประกอบอย่างการบริหารจัดการแปลงและฟาร์มที่ดีขึ้นช่วยให้ควบคุมโรคระบาดได้ดี รวมถึงนโยบายภาครัฐในการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตร การบริหารจัดการน้ำ และการส่งเสริมเทคโนโลยีช่วยยกระดับการผลิตอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเศรษฐกิจไทยที่ยังขยายตัวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้ความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มขึ้น

แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีปัจจัยลบ ทั้งพายุและภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลายช่วง ทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรบางส่วนเสียหาย มาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวด นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และค่าเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทย  

แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรปี 2569 คาดโต 2.0% – 3.0%

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) นำเสนอข้อมูลแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรปี 2569 ในรายงาน “ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2568 และแนวโน้มปี 2569” โดยประมาณการว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ภาคการเกษตรในปี 2569 จะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.0% – 3.0% 

สศก.แยกประมาณการตามสาขาว่า สาขาพืชจะขยายตัว 2.5% – 3.5% สาขาปศุสัตว์จะขยายตัว 1.0% – 2.0% สาขาประมงจะขยายตัว 0.3% – 1.3% สาขาบริการทางการเกษตรจะขยายตัว 0.7% – 1.7% และสาขาป่าไม้จะขยายตัว 0.2% – 1.2% 

ปัจจัยที่สนับสนุนภาคการเกษตรในปี 2569 คือ ปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น นโยบายภาครัฐที่ต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยที่ขยายตัว และความต้องการสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจากประเด็นความมั่นคงทางอาหาร อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบในทางลบต่อผลผลิตและราคา  

คาดข้าว-อ้อยราคาร่วง 

ในรายงาน “ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2568 และแนวโน้มปี 2569” สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดว่า ข้าว และอ้อย สองพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยจะราคาลดลง 

สศก.อธิบายว่า ราคาข้าวจะปรับตัวลงเนื่องจากอุปทานข้าวในตลาดโลกมีมากกว่าความต้องการซื้อ โดยเฉพาะอุปทานจากอินเดียที่กลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ เช่น ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ชะลอการสั่งซื้อข้าว ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกลดลงอย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบต่อราคาที่เกษตรกรขายได้ในประเทศ 

สำหรับอ้อย ราคาจะปรับลดลงเนื่องจากผลผลิตอ้อยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคานำ้ตาลในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ราคาอ้อยที่เกษตรกรขายได้ปรับตัวลดลงตามไปด้วย

5 ความเสี่ยงที่อาจทุบภาคเกษตรไทย 

สำหรับความเสี่ยงต่อภาคการเกษตรไทยในปี 2569 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรระบุ 5 ปัจจัยเสี่ยงและสถานการณ์สำคัญที่ต้องติดตาม ดังนี้ 

1. การเปี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้สภาพอากาศแปรปรวนมากขึ้น เกิดวาตภัย ภัยแล้ง และอุทกภัยที่สร้างความเสียหายต่อพื้นที่และผลผลิตทางการเกษตร

2. เศรษฐกิจโลกมีทิศทางชะลอตัว โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญ ทั้งจีน ญี่ปุ่น ประเทศในกลุ่มยูโรโซน และอาเซียน ส่งผลต่อการค้าและความต้องการสินค้าเกษตรของไทย

3. มาตรการกีดกันทางการค้าและกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันและการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย เช่น มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสุขอนามัยของสหภาพยุโรป และการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานสินค้าที่เข้มงวดมากขึ้นของจีน 

4. นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลายประเทศ รวมถึงการวางแผนการผลิตและการค้าสินค้าเกษตรของไทย

5. ความขัดแย้งระหว่างประเทศในหลายภูมิภาคของโลก เช่น ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและการค้าระหว่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทย 

แชร์
คาดจีดีพีเกษตรปี 69 โต 2-3% ข้าว-อ้อยราคาร่วง จับตา 5 ปัจจัยเสี่ยง