Logo site Amarintv 34HD
Logo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
หนี้ไทยน่าห่วง ‘เครดิตบูโร’ ชี้ ‘ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง’ ควรเข้าระบบเครดิต
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

หนี้ไทยน่าห่วง ‘เครดิตบูโร’ ชี้ ‘ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง’ ควรเข้าระบบเครดิต

25 พ.ย. 68
12:28 น.
แชร์

ในปี 2568 นี้ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) หรือ ‘เครดิตบูโร’ มีอายุครบ 20 ปีเต็ม ด้วยภารกิจจัดเก็บข้อมูลเครดิตและเตือนภัยเกี่ยวกับหนี้ เครดิตบูโรจึงมีข้อมูลเครดิตหรือ ‘ข้อมูลหนี้’ มาแชร์ให้สังคมได้รับรู้และตกใจกันอยู่เป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนหรือหนี้ธุรกิจ ซึ่งล้วนแต่น่ากังวล 

ล่าสุดในงานสัมมนา “ข้อมูลเครดิต พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2 ทศวรรษ” เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เครดิตบูโร และองค์กรพันธมิตรที่นำข้อมูลหนี้จากเครดิตบูโรไปใช้ ได้นำข้อมูลมากางให้เห็นชัดๆ พร้อมมีคำเตือนหลายประเด็น 

ภูเขาหนี้ ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย 

หนึ่งในคำเตือนสำคัญ คือ หนี้ครัวเรือนไทยยังคงน่าเป็นห่วง โดย ดร.ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด กล่าวว่า แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่จีดีพีโตขึ้น และเป็นเพราะครัวเรือนเข้าไม่ถึงสินเชื่อ เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ 

ฝั่งหนี้ธุรกิจก็ท้าทายและน่ากังวล ศูนย์วิจัยกสิกรไทยนำข้อมูลจากฐานข้อมูลเครดิตบูโรมาเปิดให้เห็นว่า ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) มีสัดส่วนหนี้เสียเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สัดส่วนหนี้ Stage 2 (ค้างชำระเกิน 30 วัน) ณ ไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 15.02% ของหนี้ SME และหนี้ Stage 3 (NPL ผิดเงื่อนไขชำระหนี้เกิน 90 วันติดต่อกัน) อยู่ที่ 9.01% ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ก็มีสัดส่วนหนี้ Stage 2 เพิ่มขึ้น อยู่ที่ 5.21% ของหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งหมด 

สุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เรียกสภาพปัญหาหนี้ของไทยว่า เป็น ‘ภูเขาหนี้’ ซึ่งการที่คนไทยและธุรกิจไทยต้องเดินไต่ภูเขาหนี้อันสูงชันนี้ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย 

สุรพลบอกว่า จากการเก็บข้อมูลมา 20 ปี พบว่า วิกฤตหนี้ที่หนักสุด คือ ช่วงหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่การก่อหนี้เพิ่มสูงขึ้นจนเป็นภาระหนี้สะสม ทั้งการกู้สินเชื่อส่วนบุคคลมาซ่อมแซมบ้านและสถานประกอบการ ปัญหาหนี้จากหลังน้ำท่วมใหญ่ยังไม่ทันได้รับการแก้ไขเต็มที่ก็ต้องมาเผชิญวิกฤตโควิด-19 ซ้ำเติมอีก เป็นปรากฏการณ์ ‘income shock’ หรือ ‘ตกหลุมรายได้’ ผู้คนมีรายได้ลดลงโดยที่ยังมีการะหนี้ที่ดอกเบี้ยยังเดินอยู่

จี้แก้การกระตุ้นก่อหนี้ อีคอมเมิร์ซปล่อยสินเชื่อควรเข้าระบบ

สุรพล โอภาสเสถียร กล่าวถึงปัจจัยสำคัญที่มีส่วนในการก่อปัญหาหนี้ในประเทศไทย หนึ่งคือ นโยบายของรัฐกระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้ เช่น นโยบายรถคันแรก ซึ่งสุรพลมองว่ารัฐบาลควรลดนโยบายที่กระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้ 

สองคือ สถาบันการเงินและผู้ปล่อยสินเชื่อมีการจูงใจหรือกระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้ โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นมาในยุคใหม่ คือ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซมีการปล่อยสินเชื่อและกระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้อย่างไม่เหมาะสม ผ่านบริการ ‘ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง’ (Buy Now Pay Later) ที่ให้ผ่อนสินค้าได้ทุกอย่าง แม้กระทั่ง ‘กาแฟหนึ่งแก้ว

สุรพลมองว่า หน่วยงานกำกับดูแลควรดำเนินการแก้ปัญหาที่ผู้ปล่อยสินเชื่อกระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้ แต่อุปสรรคคือ ผู้ปล่อยสินเชื่อจำนวนหนึ่ง เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ สหกรณ์ออมทรัพย์ ไม่ได้อยู่ในระบบเครดิต และไม่ถูกควบคุมภายใต้กฎเดียวกันกับสถาบันการเงิน ซึ่งเครดิตบูโรมองว่า ผู้ปล่อยสินเชื่อไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบองค์กรแบบใดก็ควรเข้าระบบเครดิตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลเช่นเดียวกัน 

สุรพลอธิบายลงรายละเอียดให้เห็นภาพว่า สหกรณ์ออมทรัพย์เป็นแหล่งเงินกู้รายใหญ่ มีการปล่อยสินเชื่อรวม 2.3 ล้านล้านบาท โดยผู้กู้ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เครดิตบูโรพยายามชักชวนให้สหกรณ์ออมทรัพย์เข้าระบบเครดิต แต่สหกรณ์ออมทรัพย์ไม่เข้า เพราะสหกรณ์ออมทรัพย์มีโอกาสโดนเบี้ยวหนี้น้อย เนื่องจากสหกรณ์ออมทรัพย์มีระบบบุริมสิทธิ สามารถหักหนี้ได้ก่อนเจ้าหนี้อื่น โดยหักได้เต็มที่ 70% ของรายได้ แม้ว่าลูกหนี้มีหนี้หลายทาง สหกรณ์ก็เป็นเจ้าหนี้ที่เสี่ยงน้อยที่สุด ดังนั้น สหกรณ์จึงไม่มีแรงจูงใจที่จะเข้าสู่ระบบ 

แต่ขณะเดียวกัน กฎระเบียบและการกำกับดูแลก็มีช่องให้สหกรณ์ตั้งคำถามและปฏิเสธการเข้าระบบได้ นั่นคือ สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อสวัสดิการให้พนักงานโดยไม่ต้องส่งข้อมูลเข้าระบบ สหกรณ์ออมทรัพย์จึงตั้งคำถามต่อผู้กำกับดูแลว่า ทำไมเชิญชวนให้สหกรณ์เข้าระบบ แต่สินเชื่อสวัสดิการสถาบันการเงินไม่เข้าระบบด้วย 

อย่างไรก็ตาม สุรพลมองว่า ผู้ปล่อยสินเชื่อ ทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและสหกรณ์ออมทรัพย์ ควรเข้าระบบข้อมูลเครดิตทั้งหมด “คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตสามารถประกาศให้เป็นสถาบันการเงินได้ ถ้าเขาปล่อยเครดิต”  

ดันนำประวัติจ่ายบิลค่าน้ำ-ค่าไฟเข้าระบบเครดิต 

สุรพลกล่าวอีกว่า ข้อมูลอีกส่วนหนึ่งที่เครดิตบูโรมองว่าควรนำเข้าระบบเครดิต คือ ประวัติการจ่ายค่าน้ำและค่าไฟ ซึ่งในหลายประเทศ รวมถึง สปป.ลาว มีการนำข้อมูลดังกล่าวเข้าระบบ เพื่อประเมินศักยภาพในการชำระหนี้ ขณะนี้เครดิตบูโรจัดเตรียมระบบไว้แล้ว แต่ต้องผ่านการเห็นชอบของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต ซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นประธาน 

“มีข้อถกเถียงมาตลอดว่าข้อมูลการจ่ายค่าน้ำค่าไฟเป็นข้อมูลสินเชื่อหรือไม่ ในหลายประเทศมองว่าการใช้ไฟฟ้าแล้วนำเงินไปจ่ายค่าไฟเป็นเครดิต การให้ใช้ก่อนแล้วจ่ายทีหลังถือว่าเป็นเครดิต เป็นการให้สินเชื่อแบบหนึ่ง ดังนั้นจึงง่ายที่จะบอกว่าข้อมูลการจ่ายค่าสาธารณูปโภคเป็นข้อมูลที่ช่วยในการวิเคราะห์สินเชื่อ” 

สุรพลบอกรายละเอียดระบบที่เครดิตบูโรออกแบบว่า เมื่อผู้ต้องการขอสินเชื่อให้ความยินยอมกับผู้ให้บริการสาธารณูปโภค ผู้ให้บริการจะปล่อยข้อมูลที่มีการเข้ารหัส (encrypt) เข้าสู่ระบบข้อมูลเครดิตบูโร แล้วเครดิตบูโรนำส่งให้สถาบันการเงิน โดยที่เครดิตบูโรไม่สามารถเปิดดูข้อมูลนั้นได้ มีสถานะเป็นเพียงตัวกลางส่งข้อมูล 

สุรพลบอกว่า เจตนารมณ์ของการนำประวัติการชำระค่าน้ำค่าไฟเข้าระบบ ไม่ใช่การสกัดโอกาสไม่ให้คนเข้าถึงสินเชื่อ แต่กลับเป็นการเพิ่มโอกาส 

เครดิตบูโรไม่ใช่ตัวร้าย แต่ช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงเงิน

‘เครดิตบูโร’ เป็นคำที่คนจำนวนมากกลัว ซึ่งเครดิตบูโรพยายามสื่อสารว่า ข้อมูลของเครดิตบูโร ไม่ได้เป็นแค่การสกัดกั้นโอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อ แต่เป็นการเปิดโอกาสทางการเงินสำหรับคนที่ประวัติการเงินดี เพราะตระหนักดีว่า หนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ดีเสมอไป และหนี้ช่วยเปิดโอกาส หากเป็นหนี้ที่นำไปประกอบอาชีพหรือลงทุนซึ่งก่อให้เกิดรายได้ 

สุรพลให้ข้อมูลว่า จุดเริ่มต้นการเกิดเครดิตบูโรมาจากเงื่อนไขที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กำหนดให้ไทยต้องทำ เมื่อครั้งที่ไทยขอกู้เงิน IMF ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ทั้งนี้ ตามคำแนะนำของ IMF ในเวลานั้น ให้เก็บข้อมูลรวมไปถึงข้อมูลหนี้การค้าระหว่างซัพพลายเออร์ แต่กฎหมายของไทย (พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545) ไม่ได้กำหนดให้เก็บข้อมูลไปถึงขั้นนั้น ซึ่งสุรพลมองว่า หากทำตามคำแนะนำของ IMF ตั้งแต่วันนั้น จะดีกว่าในแง่การแก้ปัญหาหนี้ธุรกิจ

สุรพลมองว่า ยิ่งมีข้อมูลมากและละเอียดมากก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาเครดิต ทำให้สถาบันการเงินพิจารณาง่าย

เช่นกันกับ ดร.ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ที่กล่าวว่า ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน หลายคนต้องการเข้าถึงสินเชื่อ ฝั่งสถาบันการเงินซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจก็ต้องการปล่อยสินเชื่อเช่นกัน ซึ่งโอกาสปล่อยสินเชื่อจะมากขึ้นถ้ามีข้อมูลมากพอและละเอียด ดังนั้น บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) จึงอยากช่วยหาโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงสินเชื่อผ่านข้อมูลเครดิตที่มีความละเอียดมากขึ้น 

“ความละเอียดของข้อมูลจะช่วยผู้คนได้” ผู้จัดการใหญ่เครดิตบูโรกล่าว

แชร์
หนี้ไทยน่าห่วง ‘เครดิตบูโร’ ชี้ ‘ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง’ ควรเข้าระบบเครดิต