Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
คลังจ่อขึ้นVATเป็น8.5%ปี71 10%ปี73 กูรูชี้ขึ้น1%เติมเงินรัฐ0.5%ของGDP
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

คลังจ่อขึ้นVATเป็น8.5%ปี71 10%ปี73 กูรูชี้ขึ้น1%เติมเงินรัฐ0.5%ของGDP

20 พ.ย. 68
16:46 น.
แชร์

รัฐบาลกำลังวางแผนเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างการคลังครั้งสำคัญ ครอบคลุมทั้งการปรับภาษี การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ และการควบคุมรายจ่ายอย่างเข้มงวด เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพการเงินการคลังของประเทศในระยะปานกลาง ภายใต้กรอบการคลังระยะปานกลาง (MTFF) ปี 2570-2573 ที่ตั้งเป้าลดขาดดุลให้ไม่เกิน 3% ของ GDP ภายในปีงบประมาณ 2572 หลังจากหลายปีที่ผ่านมา การขาดดุลอยู่ในระดับสูงและกดดันวินัยการคลังของรัฐอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งในหัวใจของการปฏิรูปครั้งนี้คือการปรับขึ้นภาษีแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่สุดของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ผู้กำหนดนโยบายชี้ว่าการปรับขึ้นอัตราภาษีต้องอยู่บนพื้นฐานความพร้อมของเศรษฐกิจ ทั้งในด้านการเติบโต การบริโภค และกำลังซื้อของครัวเรือน ซึ่งยังเปราะบางอยู่ในช่วงปี 2568-2569

VAT ขยับสองช่วง เริ่มปี 2571 หากเศรษฐกิจโตเต็มศักยภาพ พร้อมแผนสำรองหากปรับขึ้นไม่ได้

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่ากระทรวงการคลังมีแผนขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 8.5% ในปี 2571 และเป็น 10% ในปี 2573 ในแผนการคลังระยะปานกลาง แต่ ในช่วงปี 2568-2569 รัฐบาลยังไม่มีแผนปรับขึ้น VAT เนื่องจาก “เศรษฐกิจไทยยังไม่พร้อม”

นายเอกนิติอธิบายว่า สมมติฐานของการขึ้น VAT ในปี 2571 คือ เศรษฐกิจไทยต้อง “กลับมาโตเต็มศักยภาพ” ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้โดยไม่กระทบต่อการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจภาพรวม 

ทั้งนี้ หากถึงปี 2571 แล้วการฟื้นตัวยังไม่เพียงพอ รัฐบาลได้จัดทำแผนรองรับไว้แล้ว เช่น การเพิ่มรายได้ประเภทอื่น หรือการลดรายจ่ายภาครัฐบางส่วน เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปหากไม่สามารถปรับ VAT ได้ตามแผน

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเดินหน้าปรับโครงสร้างภาษีอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การทบทวนค่าลดหย่อนบางรายการ และการเพิ่มรายได้จากทรัพย์สินของรัฐ เช่น ที่ราชพัสดุ พร้อมทั้งเพิ่มการบูรณาการข้อมูลผ่านระบบ Data Lake เพื่อขยายฐานภาษี ควบคุมการเลี่ยงภาษี และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บทั้งในภาคธุรกิจและบุคคลธรรมดา

ขึ้นภาษีน้ำมันปี 2570 เก็บภาษีนำเข้าพัสดุขนาดเล็ก เดินหน้าควบคุมรายจ่าย 

นอกจากการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว อีกหนึ่งชุดมาตรการสำคัญคือการเพิ่มรายได้จากภาษีสรรพสามิต โดยรัฐบาลมีแผนเพิ่มภาษีน้ำมันเบนซินและดีเซลลิตรละ 1 บาทในปี 2570 เพื่อเพิ่มรายได้ในระยะสั้นและปรับให้สอดคล้องกับโครงสร้างพลังงานใหม่ ขณะเดียวกันจะเริ่มจัดเก็บอากรขาเข้าจากพัสดุนำเข้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท ซึ่งปัจจุบันยังไม่ต้องเสียภาษี อีกทั้งยังมีแผนเพิ่มสัดส่วนการนำส่งรายได้จากรัฐวิสาหกิจอีก 5%

แผนการคลังฉบับใหม่นี้ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 พร้อมมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง จัดทำรายละเอียดเชิงปฏิบัติ เพื่อรองรับนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ซึ่งกำหนดให้ตั้งงบกลางไม่เกิน 3% ของรายจ่าย ตั้งงบชำระหนี้ไม่น้อยกว่า 4% และจำกัดงบผูกพันข้ามปีไม่เกิน 5%

นอกจากนี้ แม้งบประมาณส่วนกลางจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวด รัฐบาลยังคงผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานผ่านเครื่องมืออื่น เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตแห่งประเทศไทย (TFF) และโครงการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชน (PPP) ซึ่งไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ พร้อมตั้งเป้าเพิ่มรายได้ภาครัฐจาก 14.8% เป็น 15.1% ของ GDP และลดรายจ่ายจากราว 19% ให้เหลือประมาณ 18% เพื่อให้โครงสร้างการคลังมีเสถียรภาพมากขึ้นท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

ขยายฐานภาษี-ยกระบบข้อมูล คือกุญแจฟื้นเสถียรภาพการคลัง

สำหรับแนวทางเสริมสถานะการคลังของไทย นางสาวปริชญา ฤทธิ์สุข นักวิจัย จาก บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่ารัฐบาลจำเป็นต้องปรับลดการขาดดุลทางการคลังอย่างตั้งใจและเป็นรูปธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือทางเครดิต แม้ในหลักการการลดขาดดุลจะทำได้ด้วยการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย หรือเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย แต่ในทางปฏิบัติกลับมีความซับซ้อนมากกว่านั้น เพราะแต่ละประเทศล้วนมีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่แตกต่างกัน ทำให้การตัดสินใจด้านการคลังไม่อาจทำได้อย่างตรงไปตรงมา

นางสาวปริชญาอธิบายว่า ปัจจุบันโครงสร้างรายจ่ายของรัฐบาลไทยถูกกำหนดด้วยภาระผูกพันจำนวนมาก เช่น รายจ่ายด้านสวัสดิการผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามโครงสร้างประชากร และรายจ่ายด้านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและค่าใช้จ่ายด้านค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ อีกทั้งในอีกประมาณห้าปีข้างหน้า ภาระหนี้และภาระคงค้างจากมาตรการช่วงโควิดและนโยบายกึ่งการคลังจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการกู้ยืมและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมาได้สร้างภาระให้กับงบประมาณในปีถัดมาเพิ่มเติม 

นอกจากนี้ งบประมาณยังถูกจำกัดด้วยกฎหมายวินัยการเงินการคลังที่กำหนดให้รัฐบาลต้องจัดสรรงบลงทุนอย่างน้อย 20% ของงบประมาณประจำปี ส่งผลให้เกือบ 90% ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดเป็นรายการที่ยากต่อการปรับลด และทำให้พื้นที่ในการบริหารงบประมาณยิ่งจำกัดลงไปอีก

ขณะที่รายจ่ายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ฝั่งรายได้กลับมีแนวโน้มลดลง นางสาวปริชญาระบุว่ารายได้รัฐบาลต่อ GDP ตามกรอบแผนการคลังระยะปานกลางมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง และหากเศรษฐกิจขยายตัวในระดับต่ำต่อไป สัดส่วนรายได้อาจลดลงต่ำกว่า 15% ต่อ GDP ซึ่งเป็นระดับที่ธนาคารโลกมองว่าไม่ควรลดลงไปมากกว่านี้ 

ปัจจุบัน โครงสร้างรายได้ของไทยพึ่งพาการจัดเก็บภาษีเป็นหลัก โดยภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นแหล่งรายได้ที่จัดเก็บได้มากที่สุดที่ 33.9% ของงบประมาณรายได้ รองลงมาเป็นภาษีเงินได้นิติบุคคล จึงเป็นเหตุผลที่ทุกครั้งที่ภาครัฐต้องการเพิ่มรายได้ มาตรการขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจะถูกพูดถึงเป็นอันดับแรก

สำหรับแนวทางเพิ่มรายได้ที่เคยถูกระบุไว้ นางสาวปริชญานำเสนอว่าการเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 1% จากระดับปัจจุบันที่ 7% เป็น 8% จะช่วยเพิ่มรายได้รัฐประมาณ 0.5% ของ GDP ส่วนการปรับลดเพดานรายการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากลดลงราว 10% จะช่วยเพิ่มรายได้ประมาณ 0.3% ของ GDP ในขณะที่มาตรการภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำตามหลัก Global Minimum Tax ที่เริ่มมีผลในปีนี้จะเพิ่มรายได้อีกราว 0.1% 

ส่วนการยกเลิกการยกเว้นภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ซึ่งถูกพูดถึงมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าน่าจะเพิ่มรายได้ราว 0.02% ทำให้เมื่อพิจารณามาตรการเพิ่มภาษีรวมกันทั้งหมดแล้ว รัฐจะสามารถเพิ่มรายได้ได้เกือบ 1% ของ GDP และหากมีการปรับลดรายจ่ายเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย ประมาณ 0.1% รัฐบาลอาจสามารถลดการขาดดุลการคลังได้ราว 1% ต่อ GDP ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการประคองสถานการณ์และช่วยลดแรงกดดันระยะสั้นเท่านั้น

นางสาวปริชญาเน้นว่าหากต้องการลดขาดดุลอย่างยั่งยืน รัฐจำเป็นต้องขยายฐานภาษีและพัฒนาฐานข้อมูลรายได้ของประชาชนอย่างครอบคลุม ปัจจุบันแรงงานไทยมีประมาณ 40 ล้านคน แต่มีผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้เพียง 11 ล้านคน ขณะที่มีอีก 14 ล้านคนที่รัฐมีข้อมูลรายได้จากการรับสวัสดิการ ส่วนที่เหลือประมาณ 15 ล้านคนยังไม่มีข้อมูลรายได้ที่ชัดเจน ทำให้รัฐไม่สามารถประเมินได้ว่าควรเข้าสู่ฐานภาษีหรือไม่

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแบ่งแรงงานกลุ่ม 15 ล้านคนที่ยังไม่มีข้อมูลรายได้ชัดเจนนี้ออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือแรงงานที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่ต้องยื่นแบบภาษี ซึ่งคาดว่ามีอยู่ประมาณแปดล้านคน หากอิงข้อมูลสภาพัฒน์ที่ประเมินว่าแรงงานไทยที่ควรยื่นภาษีมีราว 19 ล้านคน แต่ยื่นจริงเพียง 11 ล้านคน กลุ่มนี้ต้องใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและเครื่องมือดิจิทัลในการติดตามเพื่อดึงเข้าสู่ระบบ ส่วนที่สองคือแรงงานที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ต้องยื่นแบบประมาณ 7 ล้านคน ซึ่งจำเป็นต้องใช้แรงจูงใจให้เข้าสู่ระบบผ่านการรับสวัสดิการของรัฐบาล โดยนางสาวปริชญายกตัวอย่างเครื่องมือ Negative Income Tax ที่ให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ที่ยื่นแสดงรายได้แต่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี

นางสาวปริชญา อธิบายว่า มาตรการ Negative Income Tax นี้มีสามช่วง ได้แก่ ช่วงเฟสอินที่รัฐเพิ่มเงินอุดหนุนตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มรายได้น้อย ช่วงคงที่เมื่อรายได้ของประชาชนถึงระดับปานกลาง และช่วงเฟสเอาท์ที่เงินอุดหนุนจะลดลงเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อให้คนเข้ามาในระบบภาษี เหตุผลสำคัญคือช่วงเฟสเอาท์สามารถใช้ดึงแรงงานนอกระบบราวเจ็ดล้านคนเข้าสู่ระบบ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ไม่เคยได้รับสวัสดิการจากรัฐและมีแรงจูงใจเข้าร่วมโครงการ หากมีการออกแบบที่เหมาะสม ทั้งนี้ หลังจากพ้นช่วงเฟสเอาท์ รัฐต้องมีกลไกช่วยให้ผู้มีรายได้ต่ำสามารถยืนได้ด้วยตนเองและเข้าสู่ฐานภาษีตามระบบปกติในที่สุด

นางสาวปริชญายังระบุถึงข้อดีของเครื่องมือนี้จากประสบการณ์ต่างประเทศว่า ช่วยสร้างแรงจูงใจในการหารายได้เพิ่ม โดยบางประเทศกำหนดให้รายได้ต้องมาจากการทำงานจริง ทำให้แรงงานต้องการทำงานมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้รัฐมีข้อมูลรายได้ที่อัปเดตทุกปี ช่วยให้ออกแบบนโยบายได้แม่นยำ และยังสามารถกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ เช่น เงินอุดหนุนเพิ่มเติมสำหรับผู้มีบุตร ซึ่งช่วยลดความซ้ำซ้อนของสวัสดิการหลายโครงการที่กระจัดกระจายกันอยู่

อย่างไรก็ตาม นางสาวปริชญาอ้างอิงกรณีศึกษาเกาหลีใต้ซึ่งพบว่าผลสัมฤทธิ์ของโครงการลักษณะนี้ต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้มาก โดยมีผู้เข้าร่วมเพียงหนึ่งในห้าของกลุ่มเป้าหมาย เหตุผลสำคัญคือขนาดเงินอุดหนุนไม่จูงใจเพียงพอเมื่อเทียบกับกรณีของสหรัฐที่สามารถช่วยครอบคลุมค่าใช้จ่ายจำเป็นและเพิ่มความมั่นคงทางการเงินได้ นอกจากนี้ยังพบว่าประชาชนจำนวนมากไม่รู้ว่ามีโครงการดังกล่าวอยู่ หรือมองว่าการต้องยื่นแบบภาษีสร้างภาระซ้ำซ้อน ทำให้ไม่ต้องการเข้าร่วม อีกทั้งการดำเนินงานยังต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก เพราะต้องพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่และระบบตรวจสอบที่ซับซ้อน

ท้ายที่สุด นางสาวปริชญาสรุปว่า การปรับลดการขาดดุลการคลังในระยะปานกลางอย่างยั่งยืน ต้องอาศัยการขยายฐานภาษี การพัฒนาฐานข้อมูลประชาชนอย่างครอบคลุม และการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจควบคู่กัน เพื่อให้ระบบการคลังของไทยมีความยืดหยุ่นและรองรับความเสี่ยงในอนาคตได้อย่างมั่นคง


แชร์
คลังจ่อขึ้นVATเป็น8.5%ปี71 10%ปี73 กูรูชี้ขึ้น1%เติมเงินรัฐ0.5%ของGDP