Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ส่องแผนการคลัง ปี 70-73 รัฐจะเพิ่มรายได้อย่างไร นอกจากเลิกลด VAT
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ส่องแผนการคลัง ปี 70-73 รัฐจะเพิ่มรายได้อย่างไร นอกจากเลิกลด VAT

23 พ.ย. 68
15:09 น.
แชร์

แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570-2573) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีสาระสำคัญส่วนหนึ่งที่สั่นสะเทือนสังคมไทย คือ กระทรวงการคลังจะทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อกลับไปจัดเก็บตามเพดานที่กำหนดไว้ตามกฎหมายที่อัตราร้อยละ 10.0 ในปี 2573 โดยจะเริ่มขยับไปเก็บอัตราร้อยละ 8.5 ในปี 2570 ภายใต้การคาดการณ์ว่าในปี 2570 เศรษฐกิจไทยน่าจะกลับไปโตเต็มศักยภาพได้แล้ว 

การกลับไปเก็บ VAT ที่อัตราร้อยละ 10 ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นแผนที่ได้ยินบ่อยครั้ง แต่ก็เป็นแค่การโยนหินถามทางที่ไม่มีรัฐบาลไหนกล้าพอที่จะทำจริง เพราะจะกระทบค่าครองชีพของประชาชน และจะส่งผลให้พรรครัฐบาลคะแนนนิยมตก

เหตุผลที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐซึ่งเป็นผู้จัดทำแผนการคลังฯ ตั้งเป้าจะกลับไปเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่อัตราร้อยละ 10 นั้น เป็นเพราะรัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย เพื่อลดการขาดดุลการคลัง หลังจากที่รายได้ของรัฐบาลลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รายจ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายปี ซึ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป จะส่งผลให้ฐานะการคลังของไทยไม่ยั่งยืน 

แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570-2573) ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ สถานะและประมาณการการคลัง และเป้าหมายและนโยบายการคลัง SPOTLIGHT ขอชวนมาคลี่ดูรายละเอียดว่า แต่ละส่วนมีสาระสำคัญอย่างไรบ้าง และที่สำคัญคือ รัฐบาลมีแผนจะเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากการเลิกปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 

สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ 

แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570-2573) ระบุสถานะเศรษฐกิจและประมาณการเศรษฐกิจไว้ ดังนี้

ในปี 2569 คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 1.2 - 2.2 (ค่ากลางร้อยละ 1.7) ตัวปรับลดผลิตภัณ์ (GDP Deflator) อยู่ที่ร้อยละ 0.7 และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.0 - 1.0 

ในปี 2570 คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.1 - 3.1 (ค่ากลางร้อยละ 2.6) GDP Deflator อยู่ที่ร้อยละ 0.9 และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.4 - 1.4

ในปี 2571 - 2572 คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3 - 3.3 (ค่ากลางร้อยละ 2.8) ขณะที่ในปี 2573 คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.5 - 3.5 (ค่ากลางร้อยละ 3.0) ทั้งนี้ GDP Deflator ในปี 2571 - 2573 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 1.3 และ 1.5 ตามลำดับ และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2571 - 2573 คาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.6 - 1.6 ร้อยละ 0.8 - 1.8 และร้อยละ 1.0 - 2.0 ตามลำดับ  

สถานะและประมาณการการคลัง 

ในส่วนสถานะและประมาณการการคลัง ระบุไว้ดังนี้

ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ 2570 - 2573 เท่ากับ 3,000,000 ล้านบาท 3,145,000 ล้านบาท 3,274,000 ล้านบาท และ 3,422,000 ล้านบาท ตามลำดับ 

ประมาณการงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2570 - 2573 เท่ากับ 3,788,000 ล้านบาท 3,826,000 ล้านบาท 3,864,000 ล้านบาท และ 3,903,000 ล้านบาท ตามลำดับ

จากประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิและงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวในปีงบประมาณ 2570 - 2573 รัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณจำนวน 788,000 ล้านบาท 681,000 ล้านบาท 590,000 ล้านบาท และ 481,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.9, 3.3, 2.7 และ 2.1 ต่อ GDP ตามลำดับ

ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 มีจำนวน 12,226,290 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.82 ของ GDP และประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สำหรับปีงบประมาณ 2569 - 2573 เท่ากับร้อยละ 68.17, 69.36, 69.78, 69.52 และ 68.22 ตามลำดับ

เป้าหมายและนโยบายการคลัง 

สำหรับเป้าหมายและนโยบายการคลัง ในแผนการคลังรฯระบุไว้ว่า “ท่ามกลางความผันผวนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเมือง ภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้สถานการณ์ภาคการคลังของไทยส่งสัญญาณเตือนในหลายด้าน โดยเมื่อพิจารณาจากสัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาของประเทศไทยพบว่า สัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 17.0 ในปี 2536 ลดลงเหลือร้อยละ 14.9 ในปี 2568

“อย่างไรก็ดี แม้ว่าสัดส่วนรายได้รัฐบาลจะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง การใช้จ่ายของรัฐบาลกลับยิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในสภาวะที่เศรษฐกิจชะงักงัน ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง สะท้อนได้จากสัดส่วนรายจ่ายรัฐบาลต่อ GDP ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยเมื่อพิจารณาเพิ่มเติมในส่วนของรายละเอียดรายจ่ายรัฐบาลจะพบว่า รายจ่ายประจำมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 70 - 80 ของรายจ่ายรัฐบาลทั้งหมด (เช่น เงินเดือนและค่าตอบแทนข้าราชการ ค่ารักษาพยาบาล ค่าสาธารณูปโภค เงินอุดหนุน เป็นต้น) และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้รัฐบาลมีวงเงินงบประมาณคงเหลือสำหรับรายจ่ายลงทุนซึ่งเป็นรายจ่ายสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจลดลงตามไปด้วย 

“นอกจากนี้ มาตรการลดหย่อนภาษีต่างๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ส่งผลต่อความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ประกอบกับความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางการคลังในการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งทำให้รัฐบาลมีภาระหนี้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่รัฐบาลจำเป็นต้องระดมทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการกู้เงินผ่านเครื่องมือทางการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้นและเข้าใกล้กรอบเพดานหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 70 ขณะเดียวกัน สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนสูงส่งผลต่อความไม่แน่นอนในการคาดการณ์ภาระดอกเบี้ย 

“ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในส่วนของการกำหนดสัดส่วนกฎเกณฑ์ทางการคลัง (Fiscal Rule) ตามมาตรา 11 (4) และมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ เช่น สัดส่วนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย สัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาล เป็นต้น พบว่า สัดส่วนกฎเกณฑ์ทางการคลังบางรายการควรมีการทบทวน ยกเลิก หรือเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและบริบททางการคลังเพื่อเป็นการมุ่งเน้นการรักษาวินัยการเงินการคลังให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายการภาระผูกพันตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 มีภาระหนี้ผูกพันตามมาตรา 28 อยู่ที่ 865,018 ล้านบาท หรือร้อยละ 28.83 ต่อกรอบวงเงินงบประมาณ และล่าสุดในปี 2568 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 1,133,751 ล้านบาท หรือร้อยละ 30.21 ต่อกรอบวงเงินงบประมาณ 

“ความเปราะบางทางการคลังต่างๆ เหล่านี้ ได้ส่งผลกระทบต่อการประเมินความน่าเชื่อถือของประเทศ โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) ระดับโลกได้แสดงความกังวลต่อความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว ที่สะท้อนผ่านการปรับแนวโน้มมุมมอง (Outlook) ของประเทศไทย ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในระยะต่อไป 

“ดังนั้น ในการดำเนินนโยบายการคลังในระยะปานกลาง ภาครัฐจึงมุ่งเน้นการฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศ เพื่อเสริมสร้างความมั่งคงทางการคลังและรักษาระดับความน่าเชื่อถือของประเทศภายใต้แนวคิด ‘Credible’ โดยให้ความสำคัญกับการปรับสมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ภายใต้กรอบวินัยการคลัง ความโปร่งใส และเป็นรูปธรรมในทุกมิติของการบริหารจัดการด้านการคลัง…”  

แนวทางดำเนินนโยบายการคลัง

แผนการคลังฯ ระบุรายละเอียดแนวทางการดำเนินนโยบายการคลังระยะปานกลาง ดังนี้ 

1. การเปิดเผยแนวทางการจัดการด้านการคลังทั้งด้านรายได้และทรัพย์สิน รายจ่าย และหนี้สาธารณะ อย่างเป็นธรรมให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม 

ด้านรายได้ มุ่งเน้น 

1) การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ โดยนำระบบงานดิจิทัล และ Big Data มาใช้เพื่อขยายฐานภาษีและเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบรายบุคคลและผู้ประกอบการ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ รวมทั้งการทบทวนกฎหมายลำดับรองและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ จะปรับเพิ่มอัตราการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจบางแห่ง รวมทั้งเพิ่มรายได้และมูลค่าในการบริหารทรัพย์สินอื่นๆ ที่รวมถึงทุนหมุนเวียนหลักทรัพย์ ที่ราชพัสดุ ราคาประเมิน และเหรียญกษาปณ์

2) การดำเนินมาตรการภาษีของหน่วยงานจัดเก็บ ทั้งในส่วนการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและพิจารณาความเหมาะสมของค่าลดหย่อนบางประเภท การเก็บภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร การจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน การปรับปรุงโครงสร้างสินค้าที่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงโครงสร้างภาษีกลุ่ม Sin Tax ตลอดจนการเก็บอากรขาเข้าจากสินค้ามูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท ควบคู่กับการดำเนินมาตรการเทียบเท่ากับการทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ร้อยละ 1.5 (เป็นจัดเก็บที่อัตราร้อยละ 8.5) ในปีงบประมาณ 2571 และอีกร้อยละ 1.5 (เป็นจัดเก็บที่อัตราร้อยละ 10.0) ในปี 2573 ตามลำดับ ทั้งนี้ ในกรณีการทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม รัฐบาลจะต้องเสนอมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดกับประชาชนและระบบเศรษฐกิจไปในคราวเดียวกัน

ด้านรายจ่าย ให้ความสำคัญกับ

1) การดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล 

2) การจัดทำงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อไม่เป็นการเพิ่มรายจ่ายประจำ โดยเฉพาะหมวดค่าใช้จ่ายบุคลากร ด้านสวัสดิการประชาชน ด้านภาระค่ารักษาพยาบาล ด้านค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค ด้านการดำเนินงานของหน่วยงาน 

3) การจัดทำแผนงาน/โครงการ หน่วยรับงบประมาณควรกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด และผลลัพธ์ที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน หรือส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง 

4) การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย หน่วยรับงบประมาณ ควรให้ความสำคัญกับการจัดทำงบประมาณในมิติพื้นที่ (Area-Based Budgeting)

5) การจัดทำงบประมาณโดยพิจารณาความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณานำเงินนอกงบประมาณมาดำเนินภารกิจของหน่วยรับงบประมาณเป็นลำดับแรก รวมทั้งพิจารณาแหล่งเงินอื่นเพื่อดำเนินโครงการลงทุนภาครัฐ เช่น เงินกู้ การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) และสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะมีรายได้จากการดำเนินโครงการในอนาคต ให้พิจารณาใช้จ่ายจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเงินกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFFIF) เพื่อลดภาระงบประมาณของประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินทรัพย์ภาครัฐ เป็นต้น 

ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการลงทุนภาครัฐ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน และมีสถานะการเงินที่ดี รวมถึงมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่มีกระแสเงินสดที่มั่นคง ให้พิจารณาความเหมาะสมในการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นลำดับแรก 

นอกจากนี้ สำหรับหน่วยงานของรัฐที่มีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ โดยกรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาแล้วเห็นว่า เอกชนมีศักยภาพ นวัตกรรม มีความสามารถในการบริหารความเสี่ยงและต้นทุนในการดำเนินการโครงการดังกล่าว หรือสามารถสร้างคุณภาพการให้บริการให้กับประชาชนดีกว่าที่ภาครัฐจะดำเนินการเอง ก่อให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพที่จะให้เอกชนดำเนินการ ให้พิจารณาความเหมาะสมที่จะให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนผ่านกฎหมายว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน

ด้านหนี้สาธารณะ ดำเนินการโดย 

1) การบริหารหนี้ในเชิงรุก โดยปรับกลยุทธ์การระดมทุนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและตลาดการเงินทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า เพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุนและความเสี่ยง จากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยโลก และพิจารณาการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล 

2) การรักษาวินัยในการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย โดยควรจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้ให้เหมาะสม สอดคล้องกับหนี้ที่ครบกำหนดชำระ และจัดสรรรายจ่ายชำระดอกเบี้ยให้มีความยืดหยุ่นเพื่อรองรับความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย

3) การประเมินความสามารถในการชำระหนี้ จากภาระดอกเบี้ยในแต่ละปีงบประมาณต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ร้อยละ 10.24 ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการกู้เงินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำเนินนโยบายการคลังในช่วงที่ผ่านมา 

2. การปรับกฎเกณฑ์ทางการคลัง (Fiscal Rules) เพื่อเพิ่มวินัยทางการคลัง

โดยให้มีการทบทวนสัดส่วนวินัยการคลังตามมาตรา 11 (4) ได้แก่ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบชำระคืนต้นเงินกู้ และการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่า/นอกเหนือจากกฎหมายงบประมาณ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณต่อสาธารณะถึงเจตนารมณ์ในการรักษาวินัยที่เข้มงวดขึ้นของรัฐ

3. การกำหนดแนวทางกำกับการดำเนินการตามมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ

โดยเสนอขอความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีกำหนดแนวทางในการพิจารณาอนุมัติโครงการตามมาตรา 28 ให้อยู่ภายใต้กรอบร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งหลีกเลี่ยงการอนุมัติโครงการในลักษณะเงินอุดหนุนแบบให้เปล่าที่ไม่ก่อให้เกิดการปรับตัวเพื่อยกระดับผลิตภาพการผลิตของภาคการเกษตร ทั้งนี้ ในการเสนอโครงการต่อคณะรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการจะต้องได้รับความเห็นชอบโครงการจากนายกรัฐมนตรีก่อน โดยหน่วยงานของรัฐนั้นจะต้องส่งรายละเอียดของโครงการให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้ความเห็น และเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป  

“จากแนวทางการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลังทั้ง 3 ด้านดังกล่าว นำไปสู่การกำหนดเป้าหมายการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเอื้อต่อการเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) โดยปรับลดขนาดการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ 3.0 ของ GDP ภายในปี 2572 เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานด้านการคลังของรัฐบาล อันจะนำไปสู่การฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศให้กลับสู่สภาวะที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต”


สรุปแนวทางเพิ่มรายได้-ลดรายจ่ายของรัฐ

จากแนวทางการดำเนินนโยบายในหัวข้อที่ผ่านมา สรุปได้ว่า แผนการคลังระยะปานกลาง (ปี 2570-2573) มีเป้าหมายที่จะลดขนาดการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ 3.0 ของ GDP ภายในปี 2572 เพื่อให้ฐานะการคลังของประเทศกลับสู่สภาวะที่แข็งแกร่งและยั่งยืน และสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดยแนวทางดำเนินการ คือ 

ด้านรายได้ จะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บโดยใช้ระบบดิจิทัล/Big Data มาใช้เพื่อขยายฐานภาษีและเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบ, ทบทวนกฎหมายภาษี, ปรับเพิ่มอัตรานำส่งรายได้รัฐวิสาหกิจ, และมีแผนทยอยยกเลิกการปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้กลับไปเป็นร้อยละ 10.0 ภายในปี 2573

ด้านรายจ่าย เน้นการจัดทำงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้เพิ่มรายจ่ายประจำ และจัดทำงบประมาณโดยพิจารณาความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ โดยให้หน่วยงานใช้เงินนอกงบประมาณเป็นอันดับแรก และพิจารณาใช้แหล่งเงินอื่น เช่น การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเงินกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFFIF) สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อลดภาระงบประมาณ

ด้านหนี้สาธารณะ จะบริหารหนี้ในเชิงรุก ปรับโครงสร้างหนี้ และรักษาวินัยในการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 

การปรับปรุงกฎเกณฑ์ทางการคลัง จะทบทวนสัดส่วนวินัยทางการคลังตามมาตรา 11 (4) เพื่อส่งสัญญาณถึงการรักษาวินัยที่เข้มงวดขึ้น 

การกำกับมาตรการกึ่งการคลัง (ม.28) จะกำหนดให้การอนุมัติโครงการตามมาตรา 28 อยู่ภายใต้กรอบร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่าย และหลีกเลี่ยงการอนุมัติโครงการลักษณะเงินอุดหนุนแบบให้เปล่าที่ไม่ก่อยกระดับผลิตภาพของเกษตรกร

แชร์
ส่องแผนการคลัง ปี 70-73 รัฐจะเพิ่มรายได้อย่างไร นอกจากเลิกลด VAT