Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
กูรูชี้สิทธิ4,000บาทคนละครึ่งพลัสเฟส2อยู่ในกรอบงบ แต่ไม่ควรกระตุ้นบ่อย
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

กูรูชี้สิทธิ4,000บาทคนละครึ่งพลัสเฟส2อยู่ในกรอบงบ แต่ไม่ควรกระตุ้นบ่อย

14 พ.ย. 68
18:43 น.
แชร์

ท่ามกลางแรงกดดันด้านการคลังจากหนี้สาธารณะที่เร่งตัว รายได้รัฐที่อ่อนแรง และการถูกลดมุมมองความน่าเชื่อถือ รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งจัดระเบียบรายจ่ายและเร่งเพิ่มรายได้เข้าระบบ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยแนวทางจัดทำแผนการคลังระยะปานกลาง โดยมีเป้าหมายเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากสถาบันจัดอันดับเครดิตลดดุลการคลังสู่ระดับ 3% ของ GDP ภายในปี 2572 

อย่างไรก็ดี แม้รัฐบาลประกาศเดินหน้าฟื้นวินัยการคลัง แต่ขณะเดียวกันยังมีแนวคิดขยาย “คนละครึ่งพลัสเฟส 2” พร้อมเพิ่มวงเงินเป็น 4,000 บาทสำหรับผู้ที่พลาดสิทธิในรอบแรก จนเกิดคำถามว่ารัฐบาลจะรักษาวินัยทางการคลังควบคู่กับการกระตุ้นกำลังซื้อได้อย่างไร ในช่วงที่ฐานะการคลังกำลังอยู่ในภาวะเปราะบาง

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ให้ความเห็นต่อประเด็นนี้ว่า การเดินหน้ามาตรการคนละครึ่งพลัสเฟส 2 ไม่ได้ขัดแย้งกับกรอบวินัยการคลังที่กระทรวงการคลังประกาศไว้ เพราะแผนการคลังระยะปานกลางจะเริ่มมีผลจริงในปีงบประมาณ 2570 ขณะที่ปีงบประมาณ 2569 ยังคงใช้กรอบงบประมาณที่อนุมัติไปแล้ว

นางสาวณัฐพร ระบุเพิ่มเติมว่า หากไม่มีสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลมีข้อจำกัดในการกู้เงินนอกงบประมาณมากขึ้น อีกทั้งพื้นที่ดำเนินนโยบายการคลังระยะสั้นก็ค่อนข้างจำกัด ทั้งในแง่กรอบวงเงินและเวลา ทำให้มาตรการที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ต้องอยู่ภายในงบประมาณที่มีอยู่เดิมเท่านั้น

สำหรับการใช้งบประมาณ นางสาวณัฐพร มองว่า โครงการคนละครึ่งและการใช้งบกลางยังอยู่ภายใต้กรอบที่กำหนดไว้ โดยงบกลางเป็นเครื่องมือที่เปิดทางให้นายกรัฐมนตรีใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหรือรองรับผลกระทบต่าง ๆ รวมถึงสถานการณ์ฉุกเฉินหรือภัยพิบัติ นางสาวณัฐพรย้ำว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎวินัยการคลัง และไม่ถือเป็นการเพิ่มภาระหนี้ของรัฐ

เมื่อถูกตั้งคำถามว่าโครงการอาจถูกมองเป็นนโยบายประชานิยมและไม่สร้างผลระยะยาว นางสาวณัฐพรระบุว่า โครงการคนละครึ่งพลัสที่กำลังดำเนินอยู่ “เห็นผลจริง” ต่อการใช้จ่าย โดยสังเกตได้จากร้านค้ารายย่อยที่เข้าร่วมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เริ่มโครงการในสัปดาห์แรกที่มีผู้เข้าร่วมเพียงไม่กี่ร้าน แต่เพียงหนึ่งสัปดาห์ถัดมา ร้านค้าส่วนใหญ่ในพื้นที่ต่าง ๆ เลือกเข้าร่วม เพราะร้านที่ไม่เข้าร่วมสูญเสียยอดขายอย่างชัดเจน

นางสาวณัฐพรชี้ว่า รูปแบบที่รัฐออกเงินครึ่งหนึ่งและผู้บริโภคออกเงินอีกครึ่งหนึ่งช่วยให้การจับจ่ายหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ไม่ได้เป็นการใช้เงินภาครัฐฝ่ายเดียว แต่เป็นการดึงกำลังซื้อจากภาคประชาชนเข้ามาเสริม

อย่างไรก็ดี นางสาวณัฐพรสรุปว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นมีข้อจำกัดในตัวเอง โดยทั่วไปให้ผลเพียงชั่วคราว และเมื่อดำเนินการบ่อยครั้ง ประสิทธิผลจะค่อย ๆ ลดลง ขณะที่โจทย์เรื่องความยั่งยืนด้านการคลังยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลต้องเผชิญในระยะยาว

เปิดงบกลางหนุนคนละครึ่งพลัส เฟส 2

ทั้งนี้ สำหรับแหล่งเงินที่จะใช้ดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 รัฐบาลสามารถดึงจากงบกลาง รายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วน ปี 2569 วงเงิน 9.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่ไม่ได้ถูกกำหนดไว้สำหรับโครงการเฉพาะเจาะจงใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 และโดยปกติใช้สำหรับภัยพิบัติหรือสถานการณ์เร่งด่วนอื่น ๆ 

สำหรับเฟสแรกของโครงการคนละครึ่งพลัส รัฐบาลสนับสนุนเงินร่วมจ่าย (Co-Pay) ครึ่งหนึ่งแต่ไม่เกินวันละ 200 บาท โดยผู้ที่มีประวัติยื่นภาษีได้รับวงเงินรวม 2,400 บาท ขณะที่ผู้ที่ไม่อยู่ในระบบภาษีได้รับ 2,000 บาท ครอบคลุมทั้งหมด 20 ล้านสิทธิ ใช้งบประมาณรวม 44,000 ล้านบาท โดยมาจากงบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลชุดก่อนกันไว้เพื่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และจากงบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินฯ อีก 19,000 ล้านบาท

สำหรับผลกระตุ้นเศรษฐกิจของโครงการคนละครึ่งพลัวเฟส 1 รายงานจากกระทรวงการคลังระบุว่า ตั้งแต่เริ่มโครงการวันที่ 29 ต.ค.-13 พ.ย. 2568 เวลา 23.00 น. มียอดการใช้จ่ายสะสม 35,857.2 ล้านบาท แบ่งเป็นการใช้จ่ายของประชาชน 18,161 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าวงเงินที่รัฐบาลร่วมจ่ายที่ 17,695 ล้านบาท สะท้อนว่าอุปสงค์ฝั่งผู้บริโภคค่อนข้างแข็งแรง ขณะเดียวกันมีผู้ได้รับสิทธิที่ใช้วงเงินอุดหนุนจากรัฐบาลครบแล้วกว่า 626,036 คน และมีผู้ถูกตัดสิทธิเนื่องจากไม่ใช้สิทธิครั้งแรกภายในเวลาที่กำหนด 239,731 คน ทำให้อัตราการเข้าร่วมโครงการในภาพรวมสูงถึง 98.8%

ด้านร้านค้าที่สมัครเข้าร่วมและผ่านการตรวจสอบข้อมูลมีจำนวน 922,491 ร้านค้า ครอบคลุมทั้งร้านค้าทั่วไป ผู้ประกอบการรายย่อย และร้านอาหารขนาดเล็ก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการกระจายเม็ดเงินสู่ระดับชุมชน รัฐบาลยังคงเปิดรับสมัครร้านค้าไปจนถึงวันที่ 19 ธ.ค. 2568 และเปิดให้ประชาชนใช้จ่ายได้ต่อเนื่องจนถึงวันสิ้นสุดโครงการ 31 ธ.ค. 2568


แชร์
กูรูชี้สิทธิ4,000บาทคนละครึ่งพลัสเฟส2อยู่ในกรอบงบ แต่ไม่ควรกระตุ้นบ่อย